ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

วันที่ยี่สิบสองเมษา มาคิดสมมติให้คุณเป็นเจ้าภาพจัดงาน


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 14 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 laity

laity
  • Members
  • 214 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 08:26 PM

สมมติให้คุณเป็นเจ้าภาพงานในวันที่ยี่สองเมษา นี้ คิดว่าการจัดงานในวันที่ยี่สิบสองเมษา ต้องใช้ปัจจัยเป็นเงินเท่าไร สำหรับถวายปัจจัย และอาหาร พระภิกษุสงฆ์หมื่นวัด ๆ ละสิบสองรูป รวมพระสงฆ์แสนสองหมื่นรูป รวมกับสาธุชนสักแสนคน

โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณดังนี้

ค่าน้ำค่าไฟทั้งวัน
ค่าอาหารสาธุชน มื้อเช้า มื้อกลางวัน
ถวายอาหารพระสงฆ์ เช้า และเพล
น้ำปานะสาธุชนและพระสงฆ์ ช่วงเย็น
จตุปัจจัยถวายพระสงฆ์แสนสองหมื่นรูป
ปัจจัยถวายค่าเดินทางให้พระสงฆ์เดินทางกลับ
อื่น ๆ เช่น ดอกไม้ประดับในงาน เป็นต้น

ลองคิดเป็นโจทย์กันดูครับ
แล้วคำถามสุดท้าย ลองคิดกันดูว่าจะหาปัจจัยได้อย่างไรครับ

#2 CEO

CEO
  • Members
  • 577 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:พระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย

โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 08:39 PM

หาอยากมากนะครับ
ต้องใช้บุญมากเลยที่จะให้มีคนมาทำบุญ
สร้างบารมีทุกวินาที
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้

#3 kran

kran
  • Members
  • 73 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 09:07 PM

ผมว่าเป็นล้านแน่ๆครับวันนั้นแค่วันเดียว ให้ผมคาดการณ์เล่นๆผมว่าวันนั้นวันเดียวคงต้องใช้เงินไปทั้งสิ้น 50 ล้านอะครับหรืออาจมากกว่าซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

#4 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 09:12 PM

เท่าไหร่ก็คุ้มค่ะ
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#5 laity

laity
  • Members
  • 214 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 09:51 PM

มีเงินห้าสิบล้านก็จัดงานนี้ไม่ได้นะครับ เพราะอะไรหรือครับ

ผมลองใช้สมการง่าย ๆ นะครับ
- อาหารมื้ออย่างดีสองมื้อ รวมน้ำปานะอีกหนึ่งมื้อ รวมประมาณสักร้อยบาท (พระสงฆ์รวมสาธุชน มารวมสองแสนสี่) ก็เท่ากับยี่สิบสี่ล้านบาท
- ถวายจตุปัจจัยอย่างดี มีย่ามอย่างดี ร่ม ฯลฯ สมมติเจ็ดร้อยบาท ต่อพระสงฆ์หนึ่งองค์ เท่ากับแปดสิบสี่ล้านบาท
- ปัจจัยเดินทางมาและกลับ พระและผู้ติดตาม สมมติวัดละสองพันบาทหมื่นวัด เท่ากับยี่สิบล้านบาท
- ค่าน้ำค่าไฟ สมมติสิบบาทต่อคนต่อรูป เท่ากับสองล้านสี่แสนบาท

ไม่นับรวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เท่ากับต้องเตรียมค่าจัดงานไว้ ประมาณร้อยสามสิบล้านบาทเศษ!!! (อย่างน้อย)

มาลองสมมตินะครับว่า คนมาทำบุญส่วนใหญ่ทำคนละสิบบาทยี่สิบบาท มีร้อยละยี่สิบที่ทำได้มากกว่า เท่ากับว่าคนสองหมื่นต้องทำแทนคนแปดหมื่น ก็เท่ากับว่าแต่ละคน ควรต้องทำขั้นต่ำอย่างน้อยหกพันห้าร้อยบาท เพื่อให้วัดฯ อยู่้จัดงานใหญ่ต่อไปได้
อย่าให้อุปสรรคใด ๆ มาขัดขวางในชีวิตการสร้างบารมี และ
อย่าให้ความตั้งใจที่ดี เปลี่ยนแปลงไป กับกาลเวลา
เพราะเราไม่รู้ว่า่วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราอาจจะอยู่หรือตาย
สิ่งที่เอาไปได้มีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ฉนั้น เราต้องอยู่กับวันนี้
วันที่เราบอกตัวเองว่า วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุด ในวันหนึ่งของชีวิตการสร้างบารมีของเรา

โอไดบะ
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

#6 danaiporn

danaiporn
  • Members
  • 73 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 10:38 PM

เป็นข้อคำถามที่ไม่สมควรจะนำเสนอออกมา ไม่เห็นด้วยกับการตั้งคำถามเช่นนี้ อยากให้ลืมตาออกมาหาข้อเท็จจริงทางวิชาการบ้าง

ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมาประมาณ 200% คาดว่าค่าใช้จ่ายในการจัดงานจะเพิ่มมากขึ้นอีก ประมาณ 2 เท่า ของที่จัดกันมา อัตราเงินเฟ้อประมาณ 5% ของปีที่ผ่านมา คิดอย่างคร่าว ๆ ก็คือ ประชาชนธรรมดา ถ้ามีรายได้เท่าเดิม จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่มอีก 5% ซึ่งถ้ารวมคร่าว ๆ แล้ว ปีที่แล้ว ใช้จ่าย 100 บาท ค่าใช้จ่ายในปีนี้ คงจะเพิ่มขึ้น อีก ประมาณ 120 บาท เพราะว่าสภาวะไม่ได้เกิดขึ้นแค่คุณคนเดียว มันไปกระทบทุกคนในสังคมด้วย

ผมว่า ต้องประหยัดอย่างเดียวครับ ห้ามไปกู้หนี้ยืมสินมาทำบุญเป็นอันขาด แม้นปัจจัยไทยธรรม ที่ได้มา จะไม่ปราณีตเหมือนแต่ก่อน แต่ในช่วงเศรษฐกิจอย่างนี้ ก็เป็นที่เข้าใจครับ

ถ้าคิดจะทำงานใหญ่และประสพความสำเร็จ ต้องออกมาคิดนอกกรอบบ้าง ไม่อย่างงั้น เคยได้ผลอย่างไร ก็จะได้อย่างนั้น แค่นั้นเอง

#7 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 11:26 PM

QUOTE
ผมว่า ต้องประหยัดอย่างเดียวครับ ห้ามไปกู้หนี้ยืมสินมาทำบุญเป็นอันขาด แม้นปัจจัยไทยธรรม ที่ได้มา จะไม่ปราณีตเหมือนแต่ก่อน แต่ในช่วงเศรษฐกิจอย่างนี้ ก็เป็นที่เข้าใจครับ

ถ้าคิดจะทำงานใหญ่และประสพความสำเร็จ ต้องออกมาคิดนอกกรอบบ้าง ไม่อย่างงั้น เคยได้ผลอย่างไร ก็จะได้อย่างนั้น แค่นั้นเอง

ผมเห็นด้วยกับพี่ดนัยพรนะครับ โดยเฉพาะความเห็นที่ผมเน้นเป็นตัวอักษรสีแดงขีดเส้นใต้ เนื่องจากวัดเราได้ถูกบุคคลภายนอกเข้าใจผิดเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอดเป็นเวลานานแล้ว


#8 laity

laity
  • Members
  • 214 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 06:18 AM

โทษทีนะครับ ผมชอบเอาความจริงมาคุยกัน ผมเป็นคนตรงไปตรงมา และเพราะผมเองก็มีครอบครัว มีภรรยา มีบ้าน มีหนี้สินที่ต้องจ่าย และส่งเสียพ่อ ส่งเสียแม่ หลาน ๆ เดือนหนึ่งเกือบห้าหมื่นเหมือนกัน และผมก็ไม่เคยไปยืมหนี้สินไหนมาทำบุญ

แต่ทุกๆ วัน ผมมีความรู้สึกเหมือนวัดฯ คือบ้านที่สองของผม มันเป็นเหมือนบางครั้งเป็นความรับผิดชอบของตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องการจัดงานซึ่งต้องใช้ปัจจัยจำนวนมาก ซึ่งบางทีเรามักจะหลีกเลี่ยงพูดความจริงกัน โดยเฉพาะเรื่องตัวเลข หลายครั้งผมได้ยิน เรื่องที่เราจะหลีกเลี่ยง ทั้งที่ความจริง ใครจ่ายเงินเหล่านั้น และจ่ายเพื่อใคร ถ้าไม่ใช่เพื่อเอาบุญมาให้เรา สำนึกมันเกิดขึ้นเอง

ผมยังจำได้ ในวันที่วัดฯ เำกิดปัญหาเมื่อหลายปีก่อน เมื่อเราเดินเข้าแถวไปรับอาหารเช้า กลางวัน วัดฯ มีแต่แกงสัมผักบุ้งอย่างเดียวกับข้าวเปล่า ก็เป็นวันที่ผมเศร้าใจมาก จำได้ว่าผมบอกกับภรรยาว่า ตั้งแต่วันนี้เราเอาข้าวมากินเองเถอะนะ อย่าให้วัดฯ เดือดร้อนไปกว่านี้เลย ผมเชื่อว่าทุกคนรู้สึกสำนึกดี เพราะผมเริ่มเห็นหลาย ๆ คน เอาข้าวมากินเองกันหลังจากนั้น

วันนี้ก็เช่น หลายคนบอกว่าครอบครัวตัวเองเดือดร้อน ผมก็เดือดร้อน แต่ทำไมไม่ลองถามวัดฯ ดูบ้างละครับว่าวัดฯ เดือดร้อนหรือเปล่า อย่ามองแค่ว่าบางคนบริจาคมากน้อย แต่ลองถามดูว่าพอหรือเปล่า เพราะงานแต่ละงานไม่ใช่เล็ก ๆ ถ้าไม่ลองคิดเรื่องปัจจัยที่นำมาใช้ในงานแล้ว บางครั้งก็ดูเหมือนเป็นเรื่องผ่าน ๆ และบางคนก็จะเหมาไปว่า วัดฯ มีพอแล้ว มีมากแล้ว ...

ถ้าเป็นโจทย์ที่ตอบกันยากไป ข้ามไปตอบข้ออื่น ก็ได้นะครับ

ผมยินดีให้ลบกระทู้นี้ ถ้าข้อความดังกล่าวไม่ใช่ความจริง หรืออาจทำให้ใครบางคนเข้าใจผิดไปได้
อย่าให้อุปสรรคใด ๆ มาขัดขวางในชีวิตการสร้างบารมี และ
อย่าให้ความตั้งใจที่ดี เปลี่ยนแปลงไป กับกาลเวลา
เพราะเราไม่รู้ว่า่วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราอาจจะอยู่หรือตาย
สิ่งที่เอาไปได้มีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ฉนั้น เราต้องอยู่กับวันนี้
วันที่เราบอกตัวเองว่า วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุด ในวันหนึ่งของชีวิตการสร้างบารมีของเรา

โอไดบะ
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

#9 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 11:53 AM

ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งในเจ้าภาพร่วมงานบุญใหญ่แบบนี้

เราคงต้องร่วมแรงร่วมใจกันระดมกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ตามมีตามเกิด เพื่อให้ได้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งใจไว้

เพราะเราต่างรู้ถึงอานิสงค์ของผลบุญใหญ่นั้น แม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่เราก็ปิติ เบิกบาน แช่มชื่นเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่นี้ เพื่อประโยชน์ในภพนี้และภพหน้า

ตราบที่ใจเราเต็มร้อย ความสำเร็จย่อมเกิดขึ้น อานิสงค์นับอสงไขยอปมานัง
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#10 ฟ้ายังฟ้าอยู่

ฟ้ายังฟ้าอยู่
  • Members
  • 2511 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 12:05 PM

เพื่อพระรัตนตรัยแล้ว ไม่อยากให้อั้นเลยค่ะ หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว (ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าเทอมลูก ค่าน้ำมัน ค่าอาหาร ฯลฯ) ก็ต้องทำกันแบบเต็มกำลัง อย่าหวงแหนความตระหนี่ เพราะความตระหนี่ทำให้เกิดความยากจน แต่ไม่ใช่โลภบุญมากเสียจนต้องไปกู้หนี้ยืมสินมา เพื่อให้วัดอยู่รอด แล้วตัวเองต้องเดือดร้อนกับดอกเบี้ยกองโต แบบนี้ผิดหลักวิชชา

การใช้จ่ายที่ทางวัดจ่ายไปแต่ละบาทนั้น ได้มีการคิดทบทวนอย่างรอบคอบกับทุกๆ เม็ดเงินที่เสียไปค่ะ เพราะเป็นเงินที่ญาติโยมตั้งใจหามาด้วยน้ำพักน้ำแรง หยาดเหงื่อแรงงาน เพียงเพราะว่าอยากได้บุญ

หลวงพ่อบอกแล้ว ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำ บ้านเมืองจะย่ำแย่เพียงไหนก็ตาม หากเรามีบุญซะอย่าง ไม่มีทางที่จะอับจนได้ค่ะ เพราะฉะนั้นมาหาบุญกักตุนเป็นเสบียงติดตัวไปตั้งแต่ชาตินี้ และภพชาติเบื้องหน้า จนกว่าจะถึงเป้าหมายกันเถอะค่ะ อย่าไปกังวลกับสภาวะแวดล้อม หรือเศรษฐกิจมากนัก เพราะนั่นแหล่ะ คือตัวการที่ทำให้บุญชะงัก ทำให้ความตระหนี่ได้ช่อง เวลาสมบัติจะเกิด มันก็จะไปหยุดชะงักกับภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้นจนได้ล่ะน่า

เคยเห็นไหมคะ ที่แม้ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำขนาดไหน แต่คนมีบุญ ก็รวยเอารวยเอาแบบไม่มีข้อแม้และเงื่อนไขน่ะค่ะ

#11 saowanee15

saowanee15
  • Members
  • 207 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 09:42 PM

อ่า....เรื่องนี้ต้องคุยกันหมู่คณะที่เข้าใจสถานเดียวนะค่ะ...จุ๊ๆ อย่าดังไป...คนที่ไม่เข้าใจพวกเราอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้เค้าสับสนไปกันใหญ่....
เออ! หลวงพ่อท่านเต็มใจช่วยพวกเราทุกคนกลับดุสิตบุรีกันให้ได้เยอะที่สุด...อันนี้แล้วแต่ใครจะมีปัญญาแค่ไหน...คิดได้มากน้อยแค่ไหนด้วยนะค่ะ.....
หนี้ก็ส่วนหนี้นะ อย่าเอามาปะปนกัน....
ทำเต็มกำลังเต็มใจที่จะทำได้ ถือว่าดีที่สุดแล้ว...(ดีกว่าไม่ทำเลย)
ไม่ใช่ว่า ทำมากแล้วจะบุญเยอะเสมอไป...แต่มันอยู่ที่ใจปลื้มมากปลื้มน้อยด้วยค่ะ...
ไม่มีเงินมากก็อาศัยแรงกายเข้าช่วยได้นิค่ะ...เมื่อไรมีเงินก็ทำตามที่มี...แบ่งเงินให้เป็นส่วน ๆ
ก็ได้...ใช้หลักพุทธบริหารการเงินกัน...(แต่บางทีมันก็ยากเอาการอยู่นะ) โดยเฉพาะหากใครเป็นเจ้าของกิจการหรือแม้แต่พนักงานกินเงินเดือนแต่มีรายจ่ายมากโขอยู่...ต้องใช้คำว่า ตัดใจได้มั๊ย! ที่จะทำความดี มีเงินหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมถึงค่าใช้จ่ายส่วนตัวครอบครัวหนี้สินที่ต้องจ่ายจริง ๆ แต่เชื่อมั๊ย! เหตุการณ์เล่านี้ครอบครัวเราผ่านมาแล้ว...มีหนี้เกือบ 10 ล้านบาท แต่ไม่รู้ยังไงช่วงเศรษฐกิจเค้าแย่ ครอบครัวกลับไม่แย่ตาม

#12 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 06 April 2006 - 01:21 PM

ต้องลองฟังเรื่องราวของเศรษฐีตีนแมวดูครับ ซึ่งเป็นเรื่องเศรษฐีผู้หนึ่งในอดีตกาล เรื่องราวมีอยู่ว่า มีอุบาสกคนหนึ่งไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า เห็นความสำคัญของการสร้างบุญ และชักชวนคนอื่นสร้างบุญ แล้วเกิดใจใหญ่ นิมนต์พระทั้งหมด หลายร้อยรูป ไปรับภัตตาหารที่หมู่บ้านของตนในวันรุ่งขึ้น จากนั้น ก็เที่ยวไปบอกบุญคนทั้งหมู่บ้าน

ทีนี้ก็มีเศรษฐีคนหนึ่ง เห็นอุบาสกมาบอกบุญ จึงซักถามต้นสายปลายเหตุ แล้วก็คิดในใจว่า อุบาสกจอมเวอร์ เอ็งอยากทำบุญ เอ็งก็นิมนต์พระแค่ 1-2 รูป แล้วก็ทำอาหารถวายที่บ้านของเอ็งเองสิ มาทำให้คนอื่นเดือดร้อนตามเอ็งไปด้วยทำไม
แล้วก็ใช้นิ้ว 3 นิ้ว จุ่มอาหารมาหน่อยหนึ่งส่งให้อุบาสก อาการเช่นนี้ เหมือนกับตีนแมวที่มี 3 นิ้ว เศรษฐีจึงได้ฉายาว่า เศรษฐีตีนแมว อุบาสกก็ไม่ว่าอะไร เดินจากไป
ครั้นพอทำบุญเช่นนี้ ก็ไม่สบายใจ กลัวอุบาสกจะไปประจานว่า ตนขี้งก จึงตามไปดูในวันถวายภัตตาหาร พอไปเห็นอุบาสก ไม่ได้ว่าอะไร แต่กลับแบ่งบุญให้ทุกๆ คน เกิดซาบซึ้งใจ สำนึกผิด ขอโทษอุบาสก
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#13 saowanee15

saowanee15
  • Members
  • 207 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 April 2006 - 11:49 PM

เรื่องเศรษฐีในพุทธกาล แต่ละท่านนี่ก็สุดยอดและบางท่านก็แปลก ๆ เอาการด้วย...
ตอนนี้มีคนทำเป็นหนังสือการ์ตูนสวย ๆ รูปเล่มน่ารักดี..เห็นมีหลายเรื่องแหละค่ะ..
เรื่อง เศรษฐีในพุทธกาล..เล่มกระทัดรัดดี..ความยาวประมาณคืบหนึ่ง..
แต่ราคาเอาเรื่องอยู่เลย...
หากจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นสี่สีทุกหน้าบนกระดาษปอนด์ไม่เคลือบมันค่ะ..

#14 ratsrb

ratsrb
  • Members
  • 8 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 April 2006 - 01:07 PM

ขอมองต่างมุมแต่ใจไว้ตรงกลางนะคะ อันที่จริงการจัดงานบุญทุกบุญของวัดหลายครั้งจะเห็นได้ว่าจัดถี่มาก ๆ ในช่วงเศรษฐกิจของประเทศกำลังตกต่ำย่ำแย่ อย่างเช่นช่วงฟองสบู่แตก ก็ระดมเร่งสร้างเจดีย์ ฉลองเจดีย์ครั้งที่ 1 ก็ได้นิมนต์พระสังฆาธิการมาเป็นเนื้อนาบุญเรือนแสน เพราะในยามที่เศรษฐกิจฝืดเคือง ข้าวของน้ำมันแพงไปหมด ทุกคนจะหวงแหนทรัพย์ แม้มีทรัพย์ ก็ไม่ยอมนำออกมาใช้จ่ายเพราะกลัวทรัพย์จะหมด มีผลให้เม็ดเงินไม่หมุนเวียน นักลงทุนไม่กล้าลงทุน ทำให้การจ้างงานน้อยลง ธุรกิจต่อเนื่องหยุดชะงัก แต่การจัดงานบุญของวัดอย่างเช่น การถวายไทยธรรม กว่า 10,000 วัด การเช่ารถ การจัดเตรียมอาหารถวายพระ อื่น ๆ อีกมากมาย ไปกระตุ้นให้มีการจ้าง มีการลงทุน ทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งในความเป็นจริงในภาวะดังกล่าว ถ้าไม่มีการจ้าง การซื้อ จำนวนมาก ๆ เศรษฐกิจจะยิ่งแย่กว่าที่ควรเป็น เพราะฉะนั้น การร่วมทำบุญกับทางวัด มีอาณิสงส์ ทั้งได้บุญและทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถ้าเคยฟังโอวาทของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตะ ท่านเคยเล่าว่า ในยามประเทศประสบปัญหาเศรษฐกิจ จะมีการระดมสร้างวัดและทำบุญใหญ่ของประเทศ แล้วประเทศไทยก็รอดพ้นวิกฤติการได้ทุกครั้ง ทั้งนี้ จะห็นได้ว่าหลักพุทธศาสตร์สนับสนุนการแก้ปัญหาเศรษฐศาสตร์ได้อย่างมหัศจรรย์

#15 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 14 February 2007 - 08:34 AM

เหมือน เศรษฐกิจกับจิตใจ ต้องไปด้วยกันใช่ไหมครับ กราบอนุโมทนาบุญ สาธุ