QUOTE
ไม่ได้ท้อครับ แค่ขอความมั่นใจว่า ที่ทำลงไปทั้งหมด ได้อะไรหรือไม่ได้อะไร หวังกับอะไรได้บ้างไม่ควรตั้งความหวังกับอะไรบ้าง
สาธุ..ที่ท้อไม่เป็น ให้สู้ทำดีต่อไป ไปเอาดีในชาติหน้าให้ได้ ถ้าได้ตั้งแต่ชาตินี้ถือว่าเป็นของแถม
ขอให้มั่นใจได้เลยว่า "ใครทำอะไรย่อมได้ผลอย่างนั้น"ต่างแต่จะช้าหรือเร็วก็อีกเรื่องหนึ่ง
ให้ ประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิด ประเสริฐนัก ๆๆๆๆๆๆๆๆ ทำอย่างนี้ไปตลอดชีวิต
สิ่งที่ควรหวังก็คือบุญบริสุทธิ์ สิ่งที่ไม่ควรหวังก็คือ ความคิดที่ว่า"เมื่อไหร่ผลบุญจึงจะส่งผลอย่างที่ใจต้องการ"(เพราะไม่อยู่ใน วิสัยที่คุณโยมตำรวจรักบุญจะไปกำหนดกะเกณฑ์ใดๆได้เลย แล้วมันจะทำให้ต้องมาผิดหวังอยู่เรื่อยๆ ถ้ามันจะส่งผล ถึงเวลามันก็จะส่งผลเอง มันเป็นหน้าที่ของบุญกับ
ของผู้มีอานุภาพเขาประมวลฤทธิ์กันอยู่ มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณตำรวจรักบุญ หน้าที่ของคุณตำรวจรักบุญก็คือ สั่งสมเหตุดีเข้าไว้ให้มากๆๆๆ จนตลอดชีวิต และเป็นต้นบุญต้นแบบที่ดีให้กับน้องๆที่จะตามเข้ามาภายหลังไปจนตลอดชีวิต ถ้าทำได้อย่างนี้ มนุษย์ก็สรรเสริญ เทวดาก็สรรเสริญ)QUOTE
ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยตอบแบบหลักการทั่วไป ช่วยให้ไม่รู้อะไรอีกเยอะ
QUOTE
ถ้าไม่รู้จริงๆก็ไม่ต้องจำคำหลวงพ่อมาตอบก็ได้ครับ เพราะฟังมาเหมือนกันทุกคนอยู่แล้ว
คราว หน้า คุณโยมตำรวจรักบุญ อย่าพูดอย่างนี้อีกนะ เพราะจะทำให้เพื่อนๆสมาชิกที่เขาหวังดีมาตอบคำถามให้กับคุณโยมเสียกำลังใจ และกรรมทางวาจานี้จะทำให้ต่อไปภายหน้าเวลาคุณโยมตำรวจรักบุญต้องประสบ เคราะห์ภัยใดๆอีกก็จะไม่มีใครเขาเห็นใจหรือมาให้กำลังใจคุณอีกเลย
และ เท่ากับกำลังดูถูกสติปัญญาของผู้ที่หวังดีที่มาแนะนำสิ่งดีๆให้กับคุณโยม ด้วย ว่าไม่รู้จริงก็อย่ามาสอน อย่างนี้ไม่ถูกนะโยม เพราะเพื่อนๆของเราก็อาศัยความรู้ที่ได้ยินได้ฟังมาจากครูบาอาจารย์และ หนังสือธรรมะ ก็เอามาแบ่งปันแนะนำกันไป ยังไม่มีใครหมดกิเลส ยังไม่มีใครรู้แจ้งแทงตลอด แต่ต่างก็มีความหวังดีปรารถนาดีต่อเพื่อนๆด้วยกัน เวลาเห็นใครมีปัญหา หมดกำลังใจ ต่างก็กุลีกุจอเข้ามาตอบให้ข้อคิด ให้กำลังใจ กันไป... ที่ถูกแล้วคุณตำรวจรักบุญ ควรจะพูดว่า
ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยตอบแบบหลักการทั่วไป แต่ผมยังอยากจะรู้อะไรอีกเยอะในสิ่งที่ผมยังไม่รู้
เช่นว่า ..... ก็ว่ากันไป...
และควรจะพูดว่า
เข้าใจว่าเพื่อนๆยังไม่รู้จริง แต่ต้องขอขอบคุณที่นำธรรมะหรือคำสอนดีๆมาแนะนำนะกันครับ
อย่างนี้จึงจะถูกต้อง เหมาะสม และเป็นการให้กำลังใจกับเพื่อนสมาชิกที่เข้ามาตอบและหัดตอบคำถามในกระทู้นี้ และทุกๆกระทู้ที่โพสต์กันเข้ามา ไม่ใช่ว่า ผู้ที่จะตอบกระทู้ได้จะต้องรู้วาระจิต หรือรู้แจ้งแทงตลอดไปทุกเรื่องจึงจะมาตอบกระทู้ได้ ถ้าอย่างนี้ ก็เตรียมปิดเว็บบอร์ดได้เลย เพราะหา
ไม่เจอหรอกนะโยมQUOTE
ถึงแม่ตอนนี้จะนั่งสมาธิอธิฐานจิตทุกวัน ก็คงไม่หวังหรอกครับว่าจะช่วยให้ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงอะไรได้
สาธุ..ให้ นั่งสมาธิแล้วอธิษฐานจิตทุกวันต่อไป ถ้าชาตินี้อดทนทำได้อย่างนี้ตลอดชาติ ชาติต่อๆไปฉลุยแน่ ในสมัยพุทธกาลก็มีตัวอย่างหลายคนที่ทุ่มสร้างความดีทั้งชีวิต แต่ในชาตินั้นก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จใดๆเพราะวิบากกรรมยังไม่หมด (ทำให้หลายคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนาได้ช่องใส่ความว่า เห็นไหมทำดีมาตลอดชีวิต แต่ต้องมาตกระกำลำบาก สุดท้ายก็ต้องมาตายอย่างอนาถอีก) ก็มันเป็นเรื่องของกรรมเก่านี่นา แต่พอไปเกิดชาติใหม่ชีวิตก็กลับรุ่งเรืองด้วยผลแห่งบุญชนิดหน้ามือเป็นหลัง มือเลย ลองไปค้นในพระไตรปิฎกดูจะพบเรื่องทำนองนี้อยู่หลายเรื่องทีเดียว
QUOTE
ตอนนี้คงไม่หวังพึ่งใครแล้วล่ะครับ หลวงพ่อจะให้ทำบุญอะไรก็จะทำให้เต็มที่ แต่คงเอาเท่าที่ได้แหละ
สาธุ...ณ เวลานี้ก็ให้ทำอย่างนี้ไปก่อน แล้วเมื่อไรที่บุญได้ช่อง ผลแห่งบุญเกิดขึ้นกับคุณโยมตำรวจรักบุญแล้ว ค่อยกลับมาว่ากันใหม่
QUOTE
แต่ถ้ารู้ชัดเจนว่าหวังอะไรแบบนี้ไม่ได้ จะได้บริหารปัจจัยให้พอดี ลดการทำบุญลงบ้าง เพื่อให้สามารถมีทัพย์มาทำบุญได้เรื่อยๆ จะได้ไม่ตกบุญบางอย่างไป เพราะเวลามีบุญอะไรมาตรงหน้าผมก็ทำหมดทันที พอมีบุญใหม่มา ก็ไม่สามารถทำได้อีกแล้ว เพราะทรัพย์หมดไปกับบุญก่อนหน้า คืออยากรู้จริงๆครับว่า จะพึ่งพาอานุภาพบุญ อานุภาพของมหาปูชนียาจารย์ได้ไหม ถ้าพึ่งไม่ได้จะได้ไม่หวังอะไรอีก
พึ่งตนเองดีที่สุดนะโยม และพระพุทธองค์ก็ทรงสอนวิธีใช้ทรัพย์ออกเป็น 2 ระดับ
ระดับที่หนึ่ง ระดับจิตเดียวกับพระโพธิสัตว์ทั้งหลายท่าน จะสอนให้สละทรัพย์จนหมดไม่มีเหลือ เหมือนหม้อน้ำที่คว่ำไม่เหลือน้ำไว้แม้เพียงหยดเดียว การที่พระพุทธองค์ตรัสสอนบุคคลในระดับนี้ ก็เพราะจิตของเขากล้าแข็ง ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้ง 8 คือ มีลาภ-เสื่อมลาภ มียศ-เสื่อมยศ สุข-ทุกข์ สรรเสริญ-นินทา แม้ทำทานหรือความดีอื่นๆจนต้องแลกกับการสูญเสียอวัยวะหรือชีวิต ก็ไม่หวั่นไหวใดๆทั้งสิ้น และจิตใจของบุคคลเหล่านี้จะแช่มชื่นเบิกบาน มีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญาเหนือปุถุชนทั่วไป เพราะมีความเข้าใจในเรื่องชาตินี้ชาติหน้า และกฎแห่งกรรม อย่างไม่คลอนแคลน แม้มีพญามารมาทดสอบกำลังใจก็จะไม่ท้อแท้ท้อถอยเลย มุ่งไปสู่เป้าหมายของชีวิตด้วยการทำความดีโดยไม่สนใจเรื่องปลีกย่อยที่คอยมา เป็นอุปสรรคขัดขวางการทำความดี สู้กับอุปสรรคเหล่านั้นไปจนกว่าจะชนะในชาติใดชาติหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรี เป็นที่กล่าวขวัญของหมู่มนุษย์และปวงเทวาทั้งหลาย เพราะมีจิตใจดุจบุรุษอาชาไนย คือ ท้อไม่เป็น และไม่มัวเสียเวลามากล่าวโทษใคร มุ่งแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี เยี่ยงพระบรมโพธิสัตว์ในกาลก่อน
ระดับที่สอง ระดับจิตเดียวกับปุถุชนทั่วไปเมื่อระดับจิตของเรายังไม่ถึงกับระดับจิตของพระโพธิสัตว์ ท่านจะสอนให้บริหารการใช้ทรัพย์ดังนี้
เมื่อได้ทรัพย์มาแล้วจำนวนหนึ่ง ก็ให้แบ่งออกเป็น 4 ส่วน
1.ส่วนที่ใช้สำหรับ ส่วนตัว ได้แก่ ค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า ค่ารถ ค่าน้ำมันรถ ฯลฯ
2.ส่วนที่ใช้สำหรับ ลงทุน ได้แก่ ค่าศึกษาเล่าเรียน ค่าดำเนินการธุรกิจ
3.ส่วนที่ใช้สำหรับ สำรอง ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาลยามเจ็บไข้ ค่าซ่อมแซมอุบัติเหตุต่างๆ
4.ส่วน ที่ใช้สำหรับ ทำบุญ ได้แก่ ทำบุญกับพระในบ้าน ผู้มีพระคุณ สงเคราะห์หมู่ญาติ สาธารณกุศลต่างๆ และทำบุญกับพระสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญ
แต่ทั้ง 4 ส่วนนี้ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องแบ่ง 25% เท่ากันทั้งหมด เราสามารถแบ่งตามสัดส่วนความจำเป็นในแต่ละงบได้
ถ้าบริหารการใช้ทรัพย์อย่างนี้ได้ เราก็จะมีความสุขจากการไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากใคร และสามารถทำบุญได้อย่างสุขใจโดยที่ไม่ต้องกระทบตนและผู้อื่น สามารถประคองนาวาชีวิตให้ไปสู่สุคติและพระนิพพานได้เช่นกัน
สุดท้ายนี้ ก็ต้องขออนุโมทนาบุญกับคุณโยมตำรวจรักบุญ และคุณโยมผู้อ่านทุกท่าน ที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย และหวังว่าทุกท่านจะได้แง่คิด นำไปดำเนินชีวิตในการสร้างบารมีได้อย่างถูกทิศทาง ไม่หลงทางไปกับกระแสความคิดที่พญามารสอดละเอียดเข้ามาในใจของเรา แล้วบิดเบือนให้เราหมดศรัทธาในเรื่องบุญและอานุภาพของผู้ทรงธรรม
บุญรักษา