คนวัดทะเลาะกัน ทำไงดี
#1
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 08:48 PM
ไม่ใช่ใครอื่นไกลเลยค่ะ เป็นคนใกล้ชิดเราเอง ท่านทั้ง 2 เป็นผู้นำบุญทางภาคอีสาน แต่งงานกันมาก็ 30ปีแล้วค่ะ เข้าวัดมานานแล้วสั่งสมบุญทุกบุญทั้งบุญใหญ่บุญน้อยไม่เคยขาด คุณพ่อนี้เป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว ส่วนลูกๆก็โตช่วยเหลือตัวเองได้แล้วเหลือคนเล็กที่ยังเรียนไม่จบอีก 1 ปี ท่านเป็นพ่อแม่ที่ดีทุกอย่างค่ะ เลี้ยงลูกจะออกแบบคนไทยสมัยก่อนหน่ะค่ะ (คิดเอาเองนะค่ะ ไม่ขอลงรายละเอียด :) )
ปัญหาก็คือ (เอ เรียกปัญหาดีรึเปล่านะ) ท่านทั้งคู่จะต้องมีเรื่องมาระหองระแหง (ก็ทะเลาะ นั้นแหละค่ะ) กันประจำเลย เฉลี่ยเดือนละครั้งได้ ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน ไม่ยอมมีใครลงให้กันเลย ส่วนมากสาเหตุก็เป็นเรื่องพูดไม่เข้าหูกันเล็กๆน้อยๆ คนนึงอาจพูดกระทบแบบไม่ตั้งใจอะไรทำนองนี้ ก็ทะเลาะกันแล้ว ลูกๆก็ไม่รู้จะทำอย่างไรค่ะ พยายามบอกให้คิดถึงคำหลวงพ่อ และอีกหลายอย่าง ช่วงอารมณืดีก็พอฟัง แต่ตอนทะเลาะกันเนี่ย เราก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เลย เตือนไม่ได้บอกอะไรไม่ได้เลยคะ ไม่มีใครยอมว่าตัวเองผิด ลูกป็นลูกก็ไม่มีสิทธิมาบอกท่านมาก ท่านจะไม่พอใจ เราเคยอยากเขียนมาปรึกษาเป็น case study ก็เกรงท่านโกรธเราอีก เพราะท่านไม่อนุญาติ ท่านขู่จะแยกทางกันหลายรอบแล้ว ลูกๆตอนหลังก็ไม่ห้ามแล้วเพราะถ้าอยู่แล้วเป็นแบบนี้แยกกันดีกว่า การทำบุญจะได้ดีขึ้นกว่านี้ แต่เอาไปเอามาก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวไม่ดีอยู่นี่แหละค่ะ
ที่อยากให้สมาชิกช่วยแนะนำคือ แนวทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้
ส่วนอีกเรื่องคืออยากให้เป็นข้อเตือนใจสำหรับท่านสมาชิกทุกท่านเลยนะค่ะ เพราะส่วนมากเราก็คิดว่าคนที่เข้าวัด ไปพนาวัตณ์มา หรือแม้แต่คนที่นั่งสมาธิแล้วนั่งดีเริ่มเห็นนิมิตบ้างแล้ว (แต่ยังไม่ได้เห็นของจริง เพราะถ้าเข้าถึงองค์พระภายในแล้วก็คงคิดได้) จะเป็นคนใจเย็น ดีทุกอย่าง ชีวิตมีความสุขไม่มีการทะเลาะกัน (ขนาดเราเองยังดีใจเลยพ่อแม่เข้าวัด ทำบุญมากๆ แถมท่านป็นผู้นำบุญด้วย ก็คิดว่าเรื่องอารมณืร้อนนี้จะดีขึ้นกว่าเก่า แต่กลับกันเลยค่ะ เอ่อ เราไม่ได้โทษการทำบุญนะค่ะ คนละประเด็นค่ะ) ทีนี้พอในบ้านเกิดปัญหาขึ้น การที่เราไปอธิบายหรือชวนคนที่ไม่เข้าใจวัดมาสร้างบารมี ก็จะติดตรงนี้แหละค่ะ สำหรับคนที่เข้าใจก็ดี แต่คนที่ไม่เข้าใจก็จะประมาณว่า ครอบครัวเราเองขนาดเข้าวัดยังเป็นแบบนี้เลย แล้วจะแนะนำคนอื่นได้อย่างไร ใครจะมาเชื่อ แถมอาจโดนว่ามาถึงวัดอีก
เนี่ยหละค่ะ การที่กัลยาณมิตรมาทะเลาะกันเอง ยิ่งเป็นผู้นำบุญด้วย ยังแก้ไขตนเองไม่ได้ ทั้งที่ทำบุญนั่งสมาธิไม่ขาด อย่างนี้คนอื่นที่ไม่เข้าใจเรื่องบุญเค้าจะเข้าใจได้อย่างไร เพราะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น จึงอยากขอให้เราทุกคน ที่เกิดมาสร้างบารมี ลองสำรวจตัวเองกันนะค่ะ ทุกคนก็มีสิ่งที่ต้องแก้ไข มีทั้งดีไม่ดีในตัวค่ะ เรากระทบกระทั่งกันได้ตลอดแหละค่ะ แต่อยู่ที่ว่าพอกระทบแล้วเราจะหาทางแก้ หรือยิ่งทำให้เรื่องมันหนัก แล้วท้ายสุด คนที่กลุ้มก็คือ ตัวเรา คนใกล้ชิดเรา คนที่เรารักทั้งนั้น คนที่ไม่รักไม่แคร์เราเค้าก็ไม่มาสนหรอกค่ะ บุญก็ตกๆหล่นๆ ทำเยอะได้น้อย ไม่คุ้มนะค่ะ นำบุญให้คนอื่นได้หมด แต่พอคนใกล้ตัวเองกลับร้อนเนี่ย ไม่ดีเลยค่ะ
อะไรที่มันไม่หนักหนาก็ยอมถอยกันคนละก้าว จะได้เดินหน้าไปด้วยกันได้บุญเนตๆดีกว่านะค่ะ ลดทิฐฐิกันลงมาหน่อย เพื่มความอดทนต่อการกระทบกระทั่งกันอีกนิด พูดจากันดีๆ อันไหนพูดหรือแนะนำแล้วเค้าไม่พอใจก็ขอโทษถึงแม้เราจะถูกก็ตามนะ แล้วพออีกฝ่ายอารมณ์ดี พร้อมฟังค่อยเอาใหม่ไปเรื่อยๆ อะไรๆก็จะได้ดีขึ้น ถือเป็นการสร้างบารมีไปด้วยไงค่ะ เราจะได้ไม่ทำให้ใครหลุดออกนอกหมู่คณะเป็นกรรมติดเราไปอีก คงไม่มีใครอยากหลุดจากหมู่คณะ ทั้งชาตินี้ชาติไหนหรอกนะค่ะ
สุดท้ายก็ฝากไว้แค่นี้แหละค่ะ ฝากถามความเห็นชาว DMC ถึงแม้ลึกๆเนี่ยเราคิดว่าปัญหาท่านทั้งสองคงแก้ได้อยากถ้าท่านไม่เปลี่ยนทัศนคติของตนเอง แต่ยังไงก็ฝากรื่องไว้เตือนใจพวกเราทุกคนด้วยนะค่ะ.....สาธุ ส่วนตัวเองก็จะเอาบุญขอให้ท่านดีขึ้นเรื่อยๆหล่ะ :)
#2
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 08:56 PM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#3
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 09:15 PM
เป็นปัญหาเศรษฐกิจหรือไม่ ครอบครัวญาติเราที่เงิน ๆ ทองมันไม่ลงตัวไม่ได้เหมือนเดิม
หรือติดขัดมีปัญหา ดู ๆ ก็ไม่น่าทะเลาะกันเรื่องนี้ แต่ความเครียดมันบีบให้ต้องทะเลาะกัน
เล็กน้อย ๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่พอแก้ปัญหาเรื่องนี้ไปได้ทุกอย่างก็ราบรื่น เรื่องใหญ่ก็
กลายเป็นเบา เรื่องเบาก็กลายเป็นหาย และพวกผู้ใหญ่มีปัญหาเขาก็ไม่บอกให้เด็ก ๆ รู้หรอก
กลัวจะคิดมากและไม่ใช่เรื่องของเด็ก
เล่าจากประสพการณ์ให้ฟังนะ อาจจะคนละแบบก็ได้ แต่ที่เหมือนกันก็คือ "ความเครียด"
หาเหตุที่มาของความเครียดได้แล้วก็จะเข้าใจเอง
แต่เรื่องของผู้ใหญ่เขาจะไม่ให้เด็ก ๆ ยุ่งหรอก บางครั้งต้องวางอุเบกขาเหมือนกัน
#4
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 10:02 PM
ท่านทั้ง 2 แต่งงานเพราะรักและเข้าใจกันมาก่อนหรือป่าวหละครับ หรือถูกบังคับให้รักกันครับ
ถ้าท่านแต่งงานเพราะรักและเข้าใจกันจึงอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ ปล่อยให้ท่านทะเลาะกันเถอะครับ
หยิกบ้าง หยอกบ้าง รักบ้าง ตบบ้าง เป็นของธรรมดาของชีวิตคู่ครับ ผมว่าท่านสามารถปรับตัวเข้าหากัน
ได้เองนะครับ ไม่น่าจะเกินความสามารถครับ
สาเหตุของปัญหามาจากความต้องการเป็นใหญ่ในครอบครัวครับ ถ้าผมวิเคราะห์เหตุการณ์ไม่ผิดมารดาของคุณจังกึมน่าจะมีลักษณะของคุณแม่ที่มีความเป็นผู้นำสูง ไม่แพ้คุณพ่อเลยหละครับ เข้าข่ายคุณแม่หรือหญิงสมัยใหม่ที่ต้องการอำนาจในการดูแลครอบครัวต้องการความเป็นใหญ่ครับ
ธรรมดาเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ครับ ถ้ายังมีทิฐิต้องการเป็นใหญ่อยู่ก็แน่หละครับที่ปัญหาจะต้องเกิดตามมาแน่ครับ ถ้าคุณพ่อคุณจังกึมสามารถรอมชอมหรือยอมคุณแม่ได้ก็เท่ากับเป็นการยอมสูญเสียภาวะผู้นำซึ่งปกติแล้วผู้ชายทุกคนถ้ามีความรับผิดชอบในครอบครัวแล้วจะไม่ค่อยยอมลดนิสัยข้อนี้นะครับ
ดังนั้นการแก้ปัญหาข้อนี้ต้องอาศัยบารมีแล้วว่าใครจะมากกว่ากัน บอกท่านไปครับว่าคนที่มีบารมีแก่กล้าที่สุดเท่านั้น
ที่จะรอมชอมเห็นคุณค่าของจิตใจสำคัญยิ่งกว่าปัญหาขัดแย้งกันครับ
ใช่เลยครับเข้าสูตรราชสีห์ 2 ตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้ครับ คนที่พูดเตือนไม่ได้ หรือไม่รับฟังเหตุและผลหรือธรรมะใดๆ คือคนดื้อครับ อุปมาเหมือนน้ำเต็มแก้ว เทศนาไปก็ป่วยการพระพุทธองค์จะทรงชักสะพานออกเสีย โปรดไม่ขึ้นครับ
คนที่มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นราชสีห์ หรือราชา หรือเทพผู้ยิ่งใหญ่ โดยมากมักจะเป็นคนที่มีกิเลสคือมานะทิฐิสูง อันเกิดมาจากการที่ท่านทำบุญมามาก ทำให้กิเลสคือมานะถือตนว่าตนเองดีกว่า เลิศกว่าบุคคลอื่นในจิตสันดานเกิดการกำเริบขึ้นครับ
ลำพังเพียงแค่เห็นองค์พระภายในคงยังไม่พอครับ เพราะการเห็นภายในนั้นเป็นเพียงแค่การเห็นแต่กิเลส ณ ภายใน
ยังไม่ได้ถูกกำจัดไปครับ ดังนั้นถ้าเห็นองค์พระภายในได้ก็ไม่ควรประมาทคิดว่าตนเองดีกว่าคนอื่น เพราะถ้าคิดแบบนั้น
จิตก็จะเลวทันทีครับที่มองไม่เห็นความเลวที่มีในตนดังภาษิตที่ว่า "อัตตนา โจทยัทตานัง" จงกล่าวโทษโจษความผิดของตนเองไว้เสมอๆ ครับ
ลองนำภาษิตข้อนี้ไปแปะไว้ที่บ้านตัวใหญ่ๆ ให้ท่านได้อ่านกันสิครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#5
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 10:37 PM
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#6
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 11:36 PM
ลองนำภาษิตข้อนี้ไปแปะไว้ที่บ้านตัวใหญ่ๆ ให้ท่านได้อ่านกันสิครับ]
น้องได้บอกคุณแม่ว่า ลองคิดว่าตัวเองเป็นคนผิดดูหน่อยสิค่ะ ได้คำตอบว่า ไม่แม่ไม่เคยผิด ส่วนพ่อก็เหมือนกันเลยค่ะ
อันนี้นะเวลาดีๆ ท่านแม่แหละเป็นคนพูดเองเลย แต่พอโกรธขึ้นมาอะไรๆก็ไม่ฟังค่ะ
ปัญหาก็คือ แต่ละคนไม่ยอมรับฟังปัญหาของอีกคน กลับพูดแล้วทำให้อีกฝ่ายฟังรู้สึกไม่ดีด้วย แถมยังมองว่าตัวเองถูกเสมอทุกที ก็ไม่เข้าใจค่ะแต่งกันก็เพราะรักกันไม่ได้มีคนบังคับนี่ค่ะ ทำไมท่านไม่มองภาพตอนที่รักกันใหม่ๆบ้างนะ
#7
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 11:40 PM
http://www.dmc.tv/fo...indpost&p=21290
อ่านทุกวันแล้วถามว่าจำได้หรือยังเจ้าคะ ถ้าจำได้รบกวนท่านพ่อท่านแม่ช่วยเทศน์ให้หนูฟังหน่อยเจ้าค่ะ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#8
โพสต์เมื่อ 26 April 2006 - 11:45 PM
แบบนี้จะแก้ทัศนคติท่านได้ไงค่ะ เพราะเราก็ไม่ได้ว่าห่างวัดเลยนะ อยากให้ท่านกลางๆ เพราะการถูกบังคับทำโน่นทำนี่ เช่นบังคับไปปฏิบัติธรรมเป็นอาทิตย์ หรือเข้าค่ายเป็นเดือน น้องๆเราเนี่ยก็ไปแบบงั้นๆ ตัวเองกลัวไปแล้วจะได้บุญไม่เต็มมากกว่าค่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 27 April 2006 - 12:00 AM
การพยายามทำสุดโต่งเกินไป 2 ทาง ย่อมไม่สามารถเข้าถึง เอกายนมรรค คือทางสายกลางได้ครับ
เคร่งเกินไป หรือหย่อนเกินไป ก็ไม่ดีนะครับ
กรณีของน้องจังกึม ยังถือว่าโชคดีมากนะครับที่มีพ่อแม่เป็นนักบุญ
ถึงแม้ว่าบางครั้งเราอาจจะรู้สึกอึดอัดใจไปบ้างที่จะต้องไปทำบุญด้วยความ
ไม่เต็มใจ แต่ก็อีกนั่นแหละครับ บุญก็ยังเกิดอยู่ดีแม้เราจะไม่เต็มใจทำ
อุปมาเหมือนคนกินข้าว แม้จะไม่อยากกินข้าว ถ้ากินข้าวแล้วก็ต้องอิ่มอยู่ดีแหละครับ
ดังนั้นหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ลาออกจากงานเลยครับ และก็ไม่ต้องเรียนอีกครับบอกท่านเลยว่า
หนูอยากบวชเป็นชีเจ้าค่ะ หนูไม่อยากทำงานแล้ว หนูอยากบวช หนูไม่อยากเรียนแบบเรียนๆ โดดๆ
หนูบวชเลยดีกว่า ถ้าเรียนแล้วไม่ตั้งใจเรียนหนูเลิกเรียนเจ้าค่ะ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#10
โพสต์เมื่อ 27 April 2006 - 12:12 AM
พึ่งเห็นว่าแข่งกันทำบุญจนเครียด ลูกหลานเครียดไปด้วย
แต่ว่าเป็นความเครียดที่ดี ๆ ถ้าลด ๆ ลงมาหน่อยก็พอดี
ม่ายงั้นบุญหกหล่น เสียดายเด้อ
#11
โพสต์เมื่อ 27 April 2006 - 12:27 AM
ควรตั้งว่า "สามีภรรยาทะเลาะกันทำอย่างไรดี" เพราะ เมื่ออ่านเรื่องคร่าวๆ ก็ชัดเจนว่า เป็นปัญหาของสามีและภรรยา ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ คนละเรื่องกับหัวข้อกระทู้ไปเลยครับ
ทีนี้มาถึงปัญหาของสามีภรรยาทะเลาะนั้น ต้องบอกว่าเป็นเรื่องปกติ (มากๆ) โดยเฉพาะยิ่งเมื่ออยู่กันมานาน จริงๆ คงมีการพูดจาถูกใจบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง ทะเลาะเล็ก ทะเลาะใหญ่มาตลอดอยู่แล้ว รับรองได้ว่าเป็นเช่นนั้น ดังนั้น ผู้ที่ฉลาดจึงแสวงหาธรรม คือ เน้นการนำเครื่องหล่อเลี้ยงใจให้ชุ่มเย็นมีความสุขจริงๆ เข้ามาเติมใจที่อ่อนล้าและเคลือบซึมอยู่ด้วยอวิชชาและกิเลสทั้งหลาย ให้เกิดสภาพใจที่คิดเป็น คิดถูกและคิด มีกำลังใจสูง เอาชนะอารมณ์ร้ายในตัว สู่การทำสิ่งดีๆ แก่ตนเอง คนรอบข้าง และสังคม โดยเฉพาะเมื่อเกิดเป้าหมายชีวิตที่ถูกต้องและแรงกล้าแล้ว จะนำไปสู่การสั่งสมบารมีอย่างต่อเนื่องและยิ่งยวด ก็จะยกฐานะตน คนรอบข้าง และสังคมให้ดีขึ้น
จึงให้ทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้ทั้งสองบุคคล หมั่นเตือนตนจากความประมาทอยู่ ไปสู่ผู้ไม่ประมาท มีใจมุ่งตรงต่อสิ่งที่เป็นคุณ มากกว่าจับผิด ติดในความไม่สมบูรณ์ของคู่ครองหรือเหตุการณ์ไม่สมใจที่เกิด นี่จะนำไปสู่ "อภัยทาน" กันได้บ่อยๆ และง่ายๆ สม่ำเสมอ
วันหนึ่ง เขาจะรู้ว่า ชีวิตที่แท้ต้องเร่งแก้ไขตน หมั่นสั่งสมบารมี ทำพระธรรมกายให้เกิดขึ้นเป็นที่พึ่งนั้น มีค่ามากมายเพียงใด
ขอเพียงเริ่มคิด คิดมากขึ้น ทำต่อเนื่อง พูดให้ดี มีกิจกรรมที่มุ่งตรงสู่หนทางพระนิพพานอยู่อย่างสม่ำเสมอ
สักวัน เสียงทะเลาะจะหายไป กลายเป็นแต่เสียงให้กำลังใจกัน เสียงอนุโมทนาบุญ
และความสงบ สบาย เพราะต่างแสวงหาความสุขภายใน...ที่แท้จริง
อนุโมทนาบุญครับ
HUGWORLD072
#12
โพสต์เมื่อ 27 April 2006 - 08:25 AM
#13
โพสต์เมื่อ 27 April 2006 - 01:20 PM
เข้าใจว่าเจตนาแม่ คือ เห็นว่าลูกยังไม่ศรัทธาในธรรมเท่าที่ควรหรือเปล่า อาจจะเกรงไปถึงลูกจะติดกระแสกรรมทางโลกด้วยวัยสะรุ่นนั้นพลาดพลั้งไปง่ายนัก จึงมัก คะยั้นคะยอให้ลูก ๆ มาวัด เพื่อว่าสักวันหนึ่งที่เติบใหญ่มีธรรมะยังภูมิคุ้มกันให้อยู่ในครรลองคลองธรรมแล้ว ถึงตรงนั้นคงไม่ต้องแนะนำอะไรอีกเท่าไหร่
ผู้ให้ย่อมจะภูมิใจเมื่อคนที่เรารัก อุ้มชูกันมา มีศรัทธาและเห็นความเป็นไป คือการเป็นนักบุญนักสร้างบารมี ที่เห็นภัยของวัฏสงสารอย่างคุณแม่ของน้องนี่ล่ะครับ ท่านคงอยากให้ครอบครัวเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน ไม่พะว้าพะวงเรื่องทางโลกมากนัก อย่างว่าล่ะครับ ต่างเหตุต่างผลวิธีการกัน
ต้องจูนเท่านั้นล่ะครับ ความถี่ที่เหมาะสมต้องอาศัยคนในบ้านช่วย ๆ กันครับ องศาน้อย ๆ น่ะจ้ะ สุขภาพแข็งแรงครับผม
#14
โพสต์เมื่อ 27 April 2006 - 03:08 PM
เวลาทำอะไรพลาด อย่าคิดนำไปก่อน เพราะมารจะเข้าแทรกผัง ให้เราคิดได้เป็นเรื่องเป็นราวทันที ยิ่งคิด ยิ่งมีผลเสียแก่ตัวเราเอง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วใจจะตก มารจะแทรกผังสำเร็จใส่ทันที ทำให้เรื่องที่ยังไม่มีอะไร กลับกลายเป็นเรื่องร้ายทันที ยิ่งคิดจะยิ่งเสีย ฉะนั้น เมื่อเกิดเรื่อง ให้เราทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายอย่างเดียว (ขุมทรัพย์จากคุณยาย)
#15
โพสต์เมื่อ 27 April 2006 - 04:42 PM
1. ศีลเสมอกัน
2. ทิฏฐิเสมอกัน
3. จาคะเสมอกัน
4. ปัญญาเสมอกัน
เป็นไปตามลำดับ
ครับผม
เ พี ย ง พ บ พ า น . . . _ เ พื่ อ ผ่ า น ภ พ
Passing by to meet you.
#16
โพสต์เมื่อ 27 April 2006 - 05:27 PM
#17
โพสต์เมื่อ 27 April 2006 - 07:22 PM
เห็นด้วยตั้งแต่ข้อแรกว่า หัวข้อกระทู้ทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนจนเกือบไม่เข้ามาดูค่ะ
#18
โพสต์เมื่อ 27 April 2006 - 08:01 PM
แต่ส่วนตัวคิดแบบนั้นจริงๆนะค่ะ เพราะคนทั่วไปเค้าจะเข้าใจคำว่า คนวัด ก็ประมาณนี้นะค่ะ ยิ่งพอดีเห็นเป็นผู้นำบุญทั้งคู่อีก เลยใช้คำนี้หน่ะค่ะ
ขออภัยอีกทีค่ะ
#19
โพสต์เมื่อ 28 April 2006 - 07:06 PM
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#20
โพสต์เมื่อ 28 April 2006 - 10:17 PM
ครองตัวเป็นโสดดีกว่า
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#21
โพสต์เมื่อ 30 April 2006 - 12:47 AM
#22
โพสต์เมื่อ 30 April 2006 - 09:37 AM
เวลาท่านทะเลาะกัน เราก็ชวนอีกคนออกสักคนซิค่ะ...
แต่หากเหมือนอยู่ว่า ระหว่างศึกกำลังรบกันดุเดือด...หากทำอะไรไม่ได้ ก็เปิดดาวธรรมดังๆ เปิดซีดี เปิดเทป หลวงพ่อ...ให้ฟังเสียงหลวงพ่อ หรือ เพลงยักษ์ แล้วควรเป็นซีดี เพราะมันวนได้สะดวกกว่า...เปิดไปเรื่อย ๆๆๆๆ เด๊ยวศึกก็สงบ ๆ วิธีนี้เคยทำกับหลาน ๆ ไม่ใช้เปิด ใช้ร้องเอาเลย.... พอเริ่มร้องก็มีอาการกระฟัดกระเฟี้ยดมาเลย...ดูเหมือนจะโมโหมากกว่าเก่าก็จริง ๆ (ตัวหลานเราเองนะ ค่อนข้างโมโหง่ายมากกกๆๆๆ ง้อนก็เก่ง เหอๆ สงสัยอาการโดนตามใจ) แต่เราใช้วิธีนี้จริง ๆ กับหลาน พอเริ่มร้องก็จะมีลูกคู่ช่วย บางทีก็เป็นหลานสาวน้องสาวตัวเราอีกคน แต่ไม่ต้องยาวมากหรอกค่ะ วน ๆ ตรงจุดเนื้อสำคัญ ๆ ก็พอ...แต่บางทีนึกสนุกร้องเพลงรุมไม่ค่อยดี ง้อนไปเลยนั่น....แต่จะระงับได้เร็ว เพราะเด็ก ๆ เค้าก็ดูเรื่องยักษ์มา แล้วถามว่า อยากไปเกิดเป็นยักษ์อีกเหรอ...หรือชาติที่แล้วเป็นยักษ์มาคิดว่ายังไง เคยเป็นยักษ์มาเปล่า ถึงโกรธง่ายอย่างนี้....เค้าก็ทำหน้าคิดนะ...แล้วบางทีก็ยอมรับบางทีก็ปฎิเสธ... หาวิธี หากุศโลบาย
ที่ดี ๆ จะช่วยท่านได้เยอะ...แต่บางทีคนเราโมโหจัด ๆ เปิดเสียงหลวงพ่อ แต่กลัวจริง ๆ หากทำแบบนี้ อาจมีกรณีพาลเกิดขึ้น หากท่านทั้งสองรักหลวงพ่อจริง ๆ เป็นลูกที่ดีของท่านจริง ๆ ได้ ต้องพยายามขัดเกลาตัวเองให้ดีไปเรื่อย ๆ .....ส่วน ครอบครัว เราก็ประมาณว่า ใครจะมาก็มา ใครไม่มาก็ไม่ว่า ....บางทีเราหวังดีแล้วเค้าไม่เห็นก็ช่วยอะไรไม่ได้จริง ๆ บอกแล้ว ก็เฉย ๆ
หากเรารู้ว่าแม่เราเป้นแบบนี้ หรือแบบไหน เราก็ต้องหาวิธีตั้งรับมือกับท่าน หากยิ่งเข้าวัดทั้งครอบครัว แล้วค่อนข้างมีทิฐิอะไร ๆ ที่เสมอกัน เข้าใจเสมอ ๆ กัน น่าจะคุยง่าย..แต่ในความง่ายมันก็แฝงความลำบากอะไรไว้ด้วยเสมอ...บางทีคนเป็นลูกก็ไม่ใช่ย่อย...
เรื่องคนและครอบครัวนี่ น่าปวดหัวจริง ๆ...
จะหาแม่ที่ไหนได้...ไม่ให้ลูกทำงานภายนอก...ดีออก...ยิ่งหากตัวลูกไม่ติดภาระกิจอะไรเลย..
ไม่มีหวงไม่มีพันธะ....ดีจริง ๆ เลยค่ะ...แต่มันต้องยืนอยู่บนพื้นฐานครอบครัวด้วย....หากตัวลูกไม่ทำแล้ว ครอบครัวพ่อแม่อยู่ได้ไม่เดือดร้อนมากนัก...ท่านเปิดโอกาสให้แล้ว ......แม่ได้โอกาสเข้ามาช่วยงานหลวงพ่อ...เปิดทางให้ขนาดนี้...รีบ ๆ ซะน่ะค่ะ ไม่ฉวยก็ไม่รู้ว่าอะไร...คือ ตัวเด็กยังมี ยังอยาก ยังต้องการอยู่ทางโลก ตัวพ่อแม่ก็ต้องเข้าใจเค้าด้วย...บางคนกว่าพ่อแม่จะเข้าใจว่า จบแล้วไม่ทำงานทางโลก...กว่าพ่อแม่จะเข้าใจใช้เวลาร่วมหลายปี...บางท่านก็อาจทั้งชีวิต...เพราะฉะนั้น
พ่อแม่เปิดโอกาสให้แล้ว ถือว่าเป็นผลดีกับตัวลูก ๆ มากกว่า อีกอย่าง หากจะเปรียบก็เหมือนผู้ชายที่บวชเป็นพระเป็นเณร ยังไงคนเป็นพ่อเป็นแม่ ก็ต้องมาคอยดูแลถามไถ่สาระทุกข์สุกดิบ...พ่อแม่ก็ได้มีโอกาสเข้าวัดปฎิบัติธรรม
#23
โพสต์เมื่อ 04 May 2006 - 08:10 AM
#24
โพสต์เมื่อ 27 February 2007 - 12:58 PM