ทำไมนะ
#1
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 03:36 PM
ทำไมคนเราต้องมีความรู้สึกที่ต้องแคร์คนอื่นด้วย
ทำไมคนเราเมื่อมีความสุขสุดท้ายมาก็มีความทุกข์ตามมา
ทำไมคนเราต้องมีรัก โลภ โกรธ หลง ที่มีอิทธิพลต่อจิตใจยากที่จะตัดออก
และทำไมฉันถึงต้องคิดมาก คิดทุกสิ่งทุกอย่างเก็บไว้ในใจด้วย ทำไมถึงไม่เป็นคนที่สบายๆ ไม่เก็บรายละเอียดทีคนอื่นเค้ากระทำต่อเรา
ทำไมอดีตที่เลวร้าย ณ ปัจจุบันถึงยังไม่ลืม
ทำไมต้องมีความรู้สึกด้วย
#2
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 03:40 PM
นั่งสมาธิเยอะ ๆ ทุกวัน...สิ่งเหล่านี้หายไปได้แน่ ๆ ค่ะ
..........................................................
กิเลส
คำว่า กิเลส แปลว่า สิ่งที่เศร้าหมอง หรือ เครื่องทำให้เกิดความเศร้าหมอง มีความหมาย ๓ อย่าง คือ
ให้เกิดความสกปรก หรือ เศร้าหมองอย่างหนึ่ง
ให้เกิดความมืดมิดไม่สว่างไสวอย่างหนึ่ง
ให้เกิดความกระวนกระวายไม่มีความสงบอีกอย่างหนึ่ง
เพื่อให้เข้าใจง่าย ท่านแบ่งชั้นกิเลสเป็น ๓ ชั้น คือ ชั้นละเอียดหรือชั้นใน อย่างหนึ่ง, ชั้นกลางอย่างหนึ่ง, ชั้นหยาบหรือชั้นนอก อย่างหนึ่ง
ที่เป็นชั้นใน หมายถึง ชั้นที่นอนนิ่งอยู่ในสันดานอย่างเงียบๆ จนกว่าจะมีอารมณ์มากระทบ จึงจะปรุงขึ้นเป็นกิเลสชั้นกลาง ที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต หรือ เป็นกิเลสชั้นหยาบ ที่ทะลุออกมาปรากฏเป็นกิริยาต่างๆ ที่ชั่วร้ายภายนอก ตัวอย่างกิเลสชั้นละเอียดที่เป็นภายใน มีชื่อเรียกว่า อกุศลมูล มี ๓ อย่าง คือ โลภะ-ความโลภ, โทสะ-ความโกรธ ประทุษร้าย, โมหะ-ความหลง หรือ ที่มีชื่อเป็นอย่างอื่นอีกมากชื่อ แต่โดยใจความแล้ว ได้แก่ กิเลสที่ยังสงบอยู่ภายใน จนกว่า ได้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง จนเกิดความรู้สึกอยากได้รุนแรง รบกวนอยู่ในใจ พลุ่งพล่านอยู่ด้วยความอยาก หรือ พลุ่งพล่านอยู่ด้วยความโกรธแค้นเกลียดชัง หรือ พลุ่งพล่านอยู่ด้วยความโง่สงสัย กระวนกระวายอยู่ในใจ เป็นกิเลสชั้นกลาง เรียกชื่อว่า นิวรณ์ มี ๕ อย่าง คือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา. ถ้าความปรุงแต่งไม่หยุดอยู่แต่เพียงเท่านั้น ก็จะทะลุออกมา ทางกาย ทางวาจา เป็นการกระทำด้วยเจตนา เช่น การล่วงละเมิดในทางกาม การฆ่าเขา เบียดเบียนเขา การพูดเท็จ ตลอดจนการดื่มน้ำเมา เป็นต้น ซึ่งเรียกว่า กิเลสหยาบ ถ้าพิจารณากันอีกทางหนึ่งจะเห็นได้ว่า ตัวกิเลสที่แท้นั้น คือ กิเลสชั้นใน หรือ ชั้นละเอียดนั่นเอง ส่วนอีก ๒ ชั้นที่เหลือ เป็นเพียงกิริยาอาการของกิเลสชั้นในที่แสดงออกมา มากกว่าที่จะเป็นตัวกิเลสเอง แต่โดยเหตุที่ท่านเพี่งเล็งถึงตัวความเศร้าหมองมืดมัว และไม่สงบ ท่านจึงจัดกิริยาอาการของกิเลสอย่างนั้นทั้ง ๒ ชั้น ว่าเป็นตัวกิเลสโดยตรงอีกด้วย เช่นกิริยาอาการที่เรียกว่า กามฉันทะ หรือ พยาบาทนั้น ทำให้มโนทวาร หรือ ใจเศร้าหมอง และ กิเลสในการล่วงละเมิดในกาม และการพูดเท็จ เป็นต้นนั้น ทำให้กายและวาจาเศร้าหมอง ในทำนองเดียวกันกับที่กิเลสชั้นละเอียดได้ทำให้สันดานพื้นฐานส่วนลึกของใจเศร้าหมอง ในที่สุดเราก็จะได้เป็นคู่ๆ กันดังนี้
๑. กิเลสชั้นละเอียด ทำให้สันดานเศร้าหมอง
๒. กิเลสชั้นกลาง ทำให้มโนทวารเศร้าหมอง
๓. กิเลสชั้นหยาบ ทำให้วจีทวารและกายทวารเศร้าหมอง
กิเลสชั้นละเอียด ซึ่งได้กล่าวแล้วเรียกว่า อกุศลมูล ในที่นี้ มีเพียง ๓ อย่าง แต่ในที่อื่นมีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่น และจำแนกออกไปมากกว่า ๓ อย่าง ตัวอย่างเช่น แทนที่จะจำแนกเป็น โลภะ โทสะ โมหะ ก็จำแนกเป็น กามราคะ ปฏิฆะ ทิฎฐิ วิจิกิจฉา มานะ ภวราคะ อวิชชา รวมเป็น ๗ อย่าง และเรียกว่า อนุสัย แต่ในที่สุด เราก็เห็นได้ว่า กามราคะ ความกำหนัดในกาม และ ภวราคะ ความกำหนัดในความมีความเป็น ในที่นี้ ได้แก่ โลภะ หรือ ราคะ นั่นเอง ปฏิฆะ ในที่นี้ ก็คือ โทสะนั่นเอง ส่วน ทิฎฐิ วิจิกิจฉา มานะ อวิชชา ทั้ง ๔ อย่างนี้ สรุปลงรวมได้ในโมหะ จึงยังคงเหลือเพียง โลภะ โทสะ โมหะ อยู่นั่นเอง แม้จะจำแนกให้มากออกไปกว่านี้ เช่น เป็น สังโยชน์ ๑๐ ก็ทำนองเดียวกัน คือ อาจจะย่นให้เหลือ เพียง ๓ ได้ดังกล่าว หากแต่ว่า เป็นเรื่องละเอียดเกินภูมิ ของผู้เริ่มศึกษา จะงด ไม่กล่าวถึง
#3
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 03:54 PM
#4
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 04:25 PM
แต่เห็นด้วยค่ะว่า...เป็นอาสาสมัครช่วยงานบุญสิ...น่าจะช่วยอะไร ๆ ได้เยอะค่ะ
#5
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 05:00 PM
ทุกคนเคยเป็นอย่างนี้ก็เหมือนฝัน
พอตื่นมาทุกสิ่งนั้นพลันจบกัน
เธอกับฉันเป็นเหมือนกันนั่นแหละเอย
อาการนี้แก้ไม่ยากหากอยากแก้
ที่แน่แน่ต้องตั้งใจให้สลาย
อยู่ที่ว่าเธอจะคลายได้อย่างไร
จดจำไว้ความผูกพันนั่นนะเออ
คลายมันได้ต้องหยุดใจไว้จงมั่น
ที่สำคัญหมั่นตรึกนึกใสใส
นึกถึงพระนึกถึงดวงอยู่ภายใน
แล้วจะหายไปได้สบายเลย
#6
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 05:01 PM
ทำไมคนเราต้องมีความรู้สึกที่ต้องแคร์คนอื่นด้วย
ทำไมคนเราเมื่อมีความสุขสุดท้ายมาก็มีความทุกข์ตามมา
ทำไมคนเราต้องมีรัก โลภ โกรธ หลง ที่มีอิทธิพลต่อจิตใจยากที่จะตัดออก
และทำไมฉันถึงต้องคิดมาก คิดทุกสิ่งทุกอย่างเก็บไว้ในใจด้วย ทำไมถึงไม่เป็นคนที่สบายๆ ไม่เก็บรายละเอียดทีคนอื่นเค้ากระทำต่อเรา
ทำไมอดีตที่เลวร้าย ณ ปัจจุบันถึงยังไม่ลืม
ทำไมต้องมีความรู้สึกด้วย
เปิดตา และ เปิดใจ ให้กว้างๆ ลองมองดูรอบๆตัวนะคะ
คนที่มีเรื่องไม่สบายใจมากกว่าเรา
คนที่ "จำเป็น"ต้องแคร์คนอื่นมากกว่าเรา
คนที่มีทุกข์มากกว่าเรา
คนที่มีรัก โลภ โกรธ หลง มากกว่าเรา
คนที่เป็นคนคิดมาก...ที่มากกว่าเรา
คนที่มีอดีตเลวร้าย...ที่เลวร้ายยิ่งกว่าเรา
การมีความรู้สึกนี่ เป็นของคู่กันกับการมีชีวิตนะคะ เพียงแต่ "อยู่ที่เรา" จะเลือกที่จะรู้สึกอะไร
ไม่มีใครหรอกนะคะ ที่ไม่เคยทุกข์ และไม่มีอดีต ...เพียงแต่...
อยากให้คุณ ohoo คิดเสียว่า ไม่มีใครหรือสิ่งมีชีวิตชนิดใด...ถอยหลังเดิน หรือ เดินถอยหลัง
ทุกชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้านะคะ
อดีตเลวร้ายที่ผ่านมา ถ้าจะจำ...ให้จำเป็นบทเรียนนะคะ จะได้ไม่ทำอีก เจ็บแล้วต้องจำค่ะ
บอกตัวเองบ่อยๆนะคะ ว่าเราจะต้องเป็นคนดี ที่มีความสุขให้ได้ อย่าให้ใครมาทำร้ายเรา เหนือสิ่งอื่นใด.....เราต้องไม่ทำร้ายตัวเองค่ะ
when you walk through the storm hold your head up high
เพราะสักวันนึงมันก็จะเป็นเพียงแค่
one day when we were young
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#7
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 05:15 PM
#8
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 05:47 PM
วิธีนี้พิสูจน์มาแล้วค่ะ (โดยตัวดิฉันเอง) ปัจจุบันประมาณว่าขุ่นน้อยมาก ตอนนี้เลยเสพติดการไปวัดทุกวันอาทิตย์ค่ะ หัวหน้าให้ทำงานเพิ่มวันอาทิตย์ก็ไม่เอา ( แม้จะได้เงินเพิ่ม ) ขอไปวัดก่อน
ถ้ายังไงลองมาวัดทุกวันอาทิตย์สิคะ อาจไปเป็นอาสาสมัครอย่างที่ท่านอื่นแนะนำ หมั่นสั่งสมบุญทุกบุญและทุกวันให้เข้มข้นทับทวี บุญนี้หล่ะค่ะจะช่วยทำให้ใจเราแช่มชื่นได้นะคะ
เอาใจช่วยค่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 08:10 PM
Answer... (ย้ำ ทรรศนะผมนะครับ) การคิดแบบนี้แสดงออกถึง
1.มีความกลัวในจิต
2.ไม่มีความตั้งใจที่จะสร้างคุณค่าให้ตนเอง
3.มิติความคิดยังไม่มีความเหมาะสม
4.มีความกังวลมากไปครับ แค่
5.ไม่มีคาถาลดความกดดันเวลาเครียด
6.ขาดการชมชื่นตนเอง
7.ต้องถ่อมตน มีสัมมาคารวะ ในสถานการณ์ที่ทำให้ไม่สบายใจครับ
8. รักตัวเรามากๆๆ กล่าวคือ
9.มองคนรอบข้างด้วยความรัก และเมตตา
10.นึกถึง ครูไม่ใหญ่ทุกๆๆวัน
11.นึกเสมอว่า มนุษย์คือผู้มีจิตใจสูง ครับ
......ยังมีอีกมากที่ผมใช้กับตัวผมเอง เวลามีเรื่องไม่สบายใจครับ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#10
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 09:16 PM
ทำไมคนเราต้องมีความรู้สึกที่ต้องแคร์คนอื่นด้วย
ทำไมคนเราเมื่อมีความสุขสุดท้ายมาก็มีความทุกข์ตามมา
ทำไมคนเราต้องมีรัก โลภ โกรธ หลง ที่มีอิทธิพลต่อจิตใจยากที่จะตัดออก
และทำไมฉันถึงต้องคิดมาก คิดทุกสิ่งทุกอย่างเก็บไว้ในใจด้วย ทำไมถึงไม่เป็นคนที่สบายๆ ไม่เก็บรายละเอียดทีคนอื่นเค้ากระทำต่อเรา
ทำไมอดีตที่เลวร้าย ณ ปัจจุบันถึงยังไม่ลืม
ทำไมต้องมีความรู้สึกด้วย
ไม่เป็นไร ...เอาใหม่ เริ่มมองใจตนเองอย่างปรารถนาดีต่อตัวเอง
รักตัวเอง เอาใจใส่ "ใจ"ตัวเอง
เริ่มๆ ที่จะแคร์ตัวเอง...
ด้วยการเอาขยะออกจากใจ
เก็บไว้แต่สิ่งดีๆ รักษาใจตัวเอง
เมื่อมีสุข มีทุกข์บ้าง ช่างมันเถอะ
โลกก็เป็นอย่างนี้ละ มีสุขเคล้าทุกข์ปนกันไป ใครๆก็เจอ
ทำใจให้ใส มอบของขวัญให้กับใจของตน ด้วยการ นั่งสมาธิ
เมื่อทำสมาธิไปนานๆเข้า ให้ของขวัญชิ้นที่ดีที่สุดแก่คนที่รักเราที่สุด(ตัวเอง)
แล้วก็กลับมาเผชิญกับโลกอีกครั้ง อย่างเข้มแข็งและมั่นคง(ขึ้น)
#11
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 11:44 PM
สิ่งทั้งหลายก็คล้ายความฝัน ตื่นขึ้นมาก็พลันหายไป
ดั่งของที่ขอยืมมา ในไม่ช้าต้องคืนเขาไป
ชีวิตที่ผ่านมา เหมือนภาพลวงตา กลางทะเลทราย
สักวันต้องไปสู่จุดสลาย ทำไมจะต้องไปผูกพัน
ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากคลายความผูกพัน คลายความผูกพัน
ปล่อยวางได้ ใจก็จะสบาย สบายอย่างที่ไม่เคยเป็น
ไม่ช้าใจจะใสบริสุทธิ์ หยุดนิ่งอยู่กลางกาย
จะเข้าถึงความสุขที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีประมาณ
ชีวิตจะเบิกบาน ด้วยตัวของเราเอง
"ชีวิตจะเบิกบานด้วยตัวของเราเอง"
ด้ายเส้นเดียว .........ไม่เป็นผืนผ้า
อิฐก้อนเดียว .... ไม่เป็นบ้านเรือน
ทำบุญคนเดียว ...ไม่เป็นกัลยาณมิตร
#12
โพสต์เมื่อ 02 August 2006 - 01:25 AM
#13
โพสต์เมื่อ 02 August 2006 - 09:29 AM
อาการอย่างนี้ เขาเรียกว่า กรุณาครับ เกิดกรุณาต่อตนเองและสัพพสัตว์ บุญในตัวของนักสร้างบารมีมาเตือนแล้ว แต่เรื่องที่อยากจะให้ระวังก็คือ โยนิโสมนสิการ เพราะถ้าทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ปล่อยวาง (อุเบกขาช่วย) ธรรมสังเวชจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ และถ้าประคับประคองใจไม่ดี มันจะเกิดอาการซึมเศร้าได้นะ แทนที่จะบำเพ็ญกรุณาพรหมวิหาร จะกลายเป็นโรคซึมเศร้าไปแทน
เรื่องนี้ก็มีเหตุการณ์ปัจจุบันเป็นอุทาหรณ์อยู่แล้ว คุณลองไปสัมผัสอาสาฯ ช่วยผู้ประสพภัยซึนามิ บางคนจนป่านนี้ก็ยังทำใจไม่ได้กับภาพความสูญเสียของคนอื่นก็มี
เพราะฉะนั้น ถึงได้บอกไงเล่า ถ้าทำใจกับเรื่องธรรมสังเวชไม่ได้ ก็ควรจะไปอยู่ในกลุ่มของอาสาฯ ที่รับบุญประเภทบุญบันเทิง ต้องสดใส ต้องร่าเริงตลอดเวลา และอยู่ในกลุ่มที่จะประคับประคองเราได้
#14
โพสต์เมื่อ 02 August 2006 - 11:39 AM
แล้วเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า
เราจะรักาใจของเราให้ใสปิ๊ง..
จะไม่ยอมให้เรื่องราว คำพูด หรือการกระทำใดๆของคนอื่น
มาทำให้ใจหมอง..อะไรที่เลี่ยงได้ก็เลี่ยง
มีอาการอย่างนี้แสดงว่ายังวัยรุ่นอยู่..พออายุมากขึ้นจะค่อยๆดีขึ้นค่ะ
เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน
#15
โพสต์เมื่อ 02 August 2006 - 03:04 PM
ทำไมคนเราต้องมีความรู้สึกที่ต้องแคร์คนอื่นด้วย
ทำไมคนเราเมื่อมีความสุขสุดท้ายมาก็มีความทุกข์ตามมา
ทำไมคนเราต้องมีรัก โลภ โกรธ หลง ที่มีอิทธิพลต่อจิตใจยากที่จะตัดออก
และทำไมฉันถึงต้องคิดมาก คิดทุกสิ่งทุกอย่างเก็บไว้ในใจด้วย ทำไมถึงไม่เป็นคนที่สบายๆ ไม่เก็บรายละเอียดทีคนอื่นเค้ากระทำต่อเรา
ทำไมอดีตที่เลวร้าย ณ ปัจจุบันถึงยังไม่ลืม
ทำไมต้องมีความรู้สึกด้วย
เพราะเรามีใจผูกพันธ์กับผู้อื่นมากเกินเหตุ(ใจอยู่นอกตัว) คือ เมตตา กรุณา เกินขอบเขต กลายเป็นเหวให้ใจเราเป็นทุกข์ เพราะแก้ปัญหาให้ตัวเราและคนรอบข้างไม่ได้
เมื่อหันกลับมาดูใจเรา(ใจกลับเข้ามาอยู่ในตัว) โดยเอาอุเบกขาวาง จะเหมือนมีเถาวัลย์ช่วยให้ใจเราไต่ขึ้นจากเหวแห่งทุกข์นั้นได้
เมื่อเราสว่าง โลกก็สว่างด้วย คำถามในกระทู้ก็จะมีคำตอบเป็นที่ประจักษ์ นำมาแก้ไขสถานการณ์ได้ถูกจุด
#16
โพสต์เมื่อ 02 August 2006 - 04:29 PM
ฟังเพลงของป้ากมลา ก็ดีเน้อ live & learn
เพราะชีวิต คือชีวิต... เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไปปปป
มีสุขสม มีผิดหวัง หัวเราะ หรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน...
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#17
โพสต์เมื่อ 02 August 2006 - 11:54 PM
#18
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 05:16 PM
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง