ไม่มีแล้วค่ะคำว่าเืพื่อน
#1
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 05:11 AM
(เพราะว่าเราเคยเปยๆไปเหมือนกันเกี่ยวกับวัด
เขายังพูดว่าวัดว่าได้ข่าวมาอย่างนั้นอย่างนี้ ดอกบัว ก็เลยไม่กล้าบอกไปตรงๆอ่ะค่ะก็เลยไว้รอโอกาสสักหน่อย)
พอดีเทศกาลเข้าพรรษาที่ผ่านมา ดอกบัว ก็ได้โอกาสค่ะชวนทำบุญค่ะ แต่ที่ใหนได้ไม่ทำค่ะแถมหาว่าเราบ้าไปแล้วด้วย(น่าเศร้าใหมเนี๊ยะ)
เราก็บอกว่าไม่เป็นไรเราแค่ทำหน้าที่ของเราคือชวนทำบุญก็แล้วแต่ว่าถ้าอยากจะร่วมบุญด้วยก็บอกเราแต่ถ้าไม่ก็ไม่เป็นไรเพราะการทำ
บุญเีนี๊ยะใครทำใครก็ได้(จำได้ว่าพูดให้ฟังแค่คนเดียวเองนะ เพื่อนคนไทยที่นี่ในกลุ่มประมาณ ๘ คนค่ะ)
ผลปรากฏว่าทีนี้เวลาเขาทำอะไรกันก็จะไม่ชวนเราค่ะจะซุบซิบกันเองอ่ะ อย่างเช่นปรกติเราจะไปหาอะไรกินกันตอนเย็นก็ไม่ชวนแล้วค่ะ
กินเลี้ยงกันที่บ้านวันหยุดก็ไม่ยอมชวนค่ะ ดอกบัวนะบอกตรงๆว่าตอนแรกก็รู้สึกเหมือนน้อยใจเหมือนกันค่ะ แต่พอมาฟังหลวงพ่อสอนก็หายค่ะก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรเราคิดมากไปหรือเปล่า ทีนี้ก็เลยโทรไปหาเพื่อนอีกคนหนึ่งค่ะ โทรไปตั้งหลายครั้งนะคะแต่ไม่ยอมรับสายเลย เราก็คิดว่าเพื่อนคงไม่ว่างมั้งอะไรประมาณนี้อ่ะ ดึกๆก็เลยโทรไปใหม่ทีนี้ก็กว่าจะรับได้ก็โทรแล้ววางครั้งที่ ๓ค่ะ (เพื่อนเราคนนี้นะปรกติจะเป็นโทรมาหาเราบ่อยมาคือโทรเกือบทุกวันค่ะ)เราก็ถามว่าปาตี้เป็นไงสนุกใหม เพื่อนเราก็ถามกลับมาว่า อ้าวว นึกว่าจะมาโทรชวนไปบริจาคกับวัดธรรมกายซะอีก เราก็เฮ้ยไม่ได้บริจาค แต่ชวนทำบุญ ก็บุญอ่ะใครทำใครก็ได้ ไม่ทำก็ไม่เป็นไร(รีบดักไปก่อนค่ะเดี๋ยวหาว่าเราบังคับให้ทำอีก) เขาก็ยังตอบกลับมาอีกนะว่า ไม่ต้องปิดหรอกเขารู้กันทั้งหมดแล้ว ยังมาถามเราอีกนะว่าไปตกเป็นทาสวัดนี้ตั้งแต่เมื่อใหร่ (เราก็เ่อ่อ พูดไม่ออกค่ะ คิดในใจเฮ้อเพื่อนเราเหรอเนี๊ยะ) ยังไม่ทันพูดอะไรเขา
ก็เออแค่นี้ก่อนนะ แล้วก็วางสายไปเลยค่ะ
จากก่อนเข้าพรรษามาจนถึงเมื่อวานนี้นะเพื่อน ๘ คนไม่มีใครโทรมาหาดอกบัวเลยค่ะ (ใจยังเข้มแข็งอยู่)วันนี้เลยลองโทรไปหาทุกคนทุกเบอร์
เลยค่ะ ไม่มีใครรับสายเลยสักคนเดียว สรุปว่าวันนี้เราไม่เหลือแล้วค่ะ หมายถืงเพื่อนนะคะ ตอนนี้ก็เริ่มท้อแล้วค่ะ ที่บ้านก็ไม่มีใครเข้าใจเรื่อง
วัดเหมือนกัน มีน้องชายกะเขาอยู่คนนึงก็โกรธดอกบัว ตอนนี้ไม่ยอมพูดด้วยเลย หาเราเอาดีเอ็มซีไปติดให้แม่ตัดหน้าเขา เพราะว่า
เขาตั้งใจจะติดยูบีซี(นี่ก็น้องเราเองแท้ๆนะคะเหตุผลแค่นี้เองค่ะที่ตอนนี้น้องชายไม่ยอมพูดด้วย)
มีคำถามค่ะ
๑ ดอกบัว ควรเลิกคบกับเพื่อนทั้ง ๘คนนี้ใหมคะ(ซึ่งก็คิดว่าตอนนี้คงไม่มีใครเขาอยากคบเราเหมือนกัน)
๒ ดอกบัว เลือกที่จะไม่อธิบายเรื่องวัดให้เขาฟังเพราะคิดว่าพูดไปก็ยังไม่มีใครฟังหรอกตอนนี้
๓ จากที่มาทบทวนดูก็ไม่เคยมีปัญหากับใครเลยนะคะ จากที่ดอกบัวเล่ามาทุกคนคิดว่าปัญหามันเกิดจากอะไรคะ
หรือว่าไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พอดีกรรมมาส่งผล
๔ จริงหรือเปล่าคะที่เขาว่าเมื่อไดที่รู้สึกน้อยใจจิตก็จะเศร้าหมอง แล้วดอกบัวควรจะทำตัวอย่างไรดีคะ โทรไปหาอีกใหม หรือว่า
เงียบไปเลย แล้วรออย่างเดียวดีคะ
#2
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 06:53 AM
#3
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 07:27 AM
และชีวิตการงาน การเรียน ชีวิตครอบครัวผม กลับกลายเป็นที่อิจฉาของเพื่อน ๆ ในทางตรงข้ามที่เราจะต้องโทร.ไปหาเพื่อน แต่เรา(ผมและภรรยา) กลับกลายเป็นคนที่เพื่อนโทร.หา เพราะยามที่ใจเขาตก เช่น ทะเลาะกันในครอบครัว เขาจะโทร.หาเรา แทนที่เขาน่าจะโทร.ที่เขาไปกินข้าวกันในกลุ่ม แปลกดีนะ เรารู้ว่าเขารู้ว่าควรคุยปัญหาใจเขากับใคร เพราะเราเป็นคนที่เขาไว้วางใจที่สุด เขาถึงกล้าคุยปัญหาเช่นนี้กับเรา สิ่งนี้พิสูจน์ความอดทน และการตั้งหน้าทำความดีเรื่อยมาในช่วงหลายปีของเรา ว่าสิ่งที่เราทำมาตลอดกับหมู่คณะนะ ทำให้เราคิดดี ทำดี และทำได้อย่างถูกต้อง
ทุกวันนี้เรามีวัดเป็นเสมือนบ้านที่สอง มีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เป็นเสมือนคุณพ่อคุณแม่ทางใจเรา และสิบกว่าปีที่เข้าวัด วันนี้เรากำลังพัฒนากลายเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่น ๆ ดังนั้นน้องดอกบัวต้องเข็มแข็งนะครับ เพราะเวลาเท่านั้นคือเครื่องพิสูจน์
#4
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 08:19 AM
สักวันหนึ่งก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป จากร้ายกลายเป็นดี หรือ จากดีกลายเป็นร้าย ตาม
กฏไตรลักษณ์ ที่มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และควบคุมไม่ได้ อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน )
เท่าที่อ่านมาดูแล้ว คุณดอกบัวก็ยังมีคุณแม่อีกคนนี่ ที่เข้าใจเพราะท่านติด DMC แล้ว
อย่างน้อยน่าจะเป็นที่ปรึกษาได้ คุณแม่น่าจะเป็นเพื่อนแทนคนอื่นได้ ถึงจะไม่เข้าใจ
ความรู้สึกแบบวัยรุ่นได้เท่าเพื่อน ๆ
ไม่ว่ารอบข้างเราเกิดอะไรขึ้น ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างอย่าพึ่งเป็นห่วง เป็นห่วงตัวเองก่อน
รักษาใจตัวเองให้ได้ก่อน อย่าให้ความทุกข์เข้าครอบงำ พยายามรักษาใจเราให้ตั้งมั่นให้ได้
ทำใจเราให้หยุดให้นิ่งให้ได้ก่อน แก้ปัญหาที่ตัวเองก่อนแล้วค่อยแก้ปัญหารอบข้างต่อไป
ถ้าเป็นกัลยาณมิตรให้เพื่อนยังไม่ได้ควรพยายามเป็นให้ตัวเองก่อน มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสำคัญที่สุด
๑ ดอกบัว ควรเลิกคบกับเพื่อนทั้ง ๘คนนี้ใหมคะ(ซึ่งก็คิดว่าตอนนี้คงไม่มีใครเขาอยากคบเราเหมือนกัน)
ก็คุณดอกบัวไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงแต่เพื่อน ๆ เข้าใจผิดไปเอง สักวันหนึ่งเขาอาจจะเข้าใจ
เราก็ได้ถ้าเราพยายามชี้นำทางที่ถูกให้แก่เขา
๒ ดอกบัว เลือกที่จะไม่อธิบายเรื่องวัดให้เขาฟังเพราะคิดว่าพูดไปก็ยังไม่มีใครฟังหรอกตอนนี้
ไม่ต้องอธิบายให้มากการกระทำดีกว่าครับ ทำให้เห็นดีกว่าอธิบายให้ฟัง รักษาศีล เป็นคนดี
เข้าวัดทุกอาทิตย์ เพื่อจะได้พบกับกัลยาณมิตร หรือเพื่อนใหม่ ๆ ด้วย
๓ จากที่มาทบทวนดูก็ไม่เคยมีปัญหากับใครเลยนะคะ จากที่ดอกบัวเล่ามาทุกคนคิดว่าปัญหามันเกิดจากอะไรคะ
หรือว่าไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พอดีกรรมมาส่งผล
น่าจะเกิดจากเพื่อน ๆ ยังไม่เข้าใจ ความจริงของชีวิต หรือมีมิจฉาทิษฐิ ถ้ามีมากเกินไปน่าจะต้องวางอุเบกขาเอาไว้ก่อน
๔ จริงหรือเปล่าคะที่เขาว่าเมื่อไดที่รู้สึกน้อยใจจิตก็จะเศร้าหมอง แล้วดอกบัวควรจะทำตัวอย่างไรดีคะ โทรไปหาอีกใหม หรือว่า
เงียบไปเลย แล้วรออย่างเดียวดีคะ
ถูกแล้วครับถ้าน้อยใจ ครุไม่ใหญ่บอกว่าเป็นอาการของความสุขเหลือน้อยลงไป ใจย่อมเศร้าหมอง
พยายามทำใจให้หยุดก่อน หาเวลานั่งสมาธิ เพื่อทำใจให้ใส ๆ ก่อน ทำใจให้มั่นคงว่า เราเลือกเดินทางที่ถูกต้องแล้ว
หวังว่าคุณดอกบัว จะสามารถรักษาใจตัวเองให้ใสได้ เลิกน้อยใจ แล้วทำหน้าที่กัลยาณมิตรชี้ทางที่ถุกให้เพื่อน ๆ ต่อไปครับ
#5
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 08:50 AM
ข้อ 1 เห็นด้วยกันที่คุณทศพลว่าเลยค่ะ และอย่างน้อยน้องดอกบัวก็มีเพื่อนที่วัด คิดว่าเดี๋ยวเรียนจบก็ต้องแยกจากกันไป ปัจจุบันเค้าก็เป็นแค่เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว ไม่มีอะไรมากกว่านั้นไม่ใช่เหรอค่ะ ทำใจใส ๆ ไม่ต้องคิดมากเลย...บุญโตก็โดนเยอะเหมือนกัน บางคนก็พูดกระแนะกระแหน เช่น เราบอกเพื่อนว่า "เรามีความสุขกับการไปวัด ไปปฏิบัติธรรมมากกว่า" (เค้าชอบชวนเที่ยว) เค้าบอกว่า "เค้าถามเราว่าเราหลอกตัวเองหรือเปล่า ที่เราทำอยู่คือความสุขจอมปลอม" แล้ววันหนึ่งเค้ามีปัญหาวุ่นวายในชีวิต (ซึ่งจริง ๆ แล้วก็เห็นมีตลอดที่รู้จักเค้ามา 10 ปี มีเรื่องให้ช่วยตลอด) เราก็เลยชี้ให้เค้าเห็น ส่วนเค้าจะเปิดใจรับไม่รับก็เรื่องของเค้า น้องดอกบัวก็คิดเสียว่า "บุญเค้ายังไม่ถึง" นะคะ น้องดอกบัวพิสูจน์ให้เค้าเห็นสิ่ง ๆ ดีก็พอ ไม่ต้องอธิบายอะไรให้เหนื่อยใจแล้ว เราไม่โกรธ ไม่อะไรทั้งสิ้น สักวันเค้ากลับมาพูดดี เราก็ดีตอบ เค้าไม่ดีเราก็ไม่ต้องไปเครียดค่ะ แต่อย่าใจอ่อนนะ..."อย่าทิ้งวัด เพราะเลือกเพื่อนนะคะ" (เพื่อนอาจจะช่วยกันทำเพื่อดึงดอกบัวกลับก็ได้ )
ทำความดีอุปสรรค มารเยอะ มาก...แต่ทำชั่วง๊ายง่าย มีคนเปิดทาง มีคนสนับสนุนตรึมค่ะ ... สู้ ๆ ค่ะ
พี่บุญโตกับลูก ๆ นะคะ...ขนาดคุณพ่อของลูก ๆ ไม่เข้าใจวัด+ปัญหาอื่น ๆ ด้วย (ได้รับคำแนะนำที่ดีจากกัลยาณมิตรเป็นแนวทาง)...พี่บุญโตกับลูก ๆ ยังเลือกวัดเลยค่ะ...จบกันด้วยความเป็นเพื่อนและช่วยกันเลี้ยงลูก...แต่พี่บุญโตก็ยังปรารถนาให้คุณพ่อของลูก ๆ หลุดพ้นจากวิบากกรรมทางโลกที่เค้าทำอยู่...คอยป้อนข้อมูลเค้าไปเรื่อย ๆ ... ข้อมูลไหนที่ตรงกับสิ่งที่เค้าปฏิบัติมากที่สุดก็จะส่งไป (อ่านไม่อ่านเราไม่รู้) แต่ดูเหมือนจะดีขึ้น ดีขึ้นตามลำดับ...สุดท้ายสามารถชวนเค้ามางาน 7 กันยายนที่จะถึงนี้ได้ แต่มาเพราะอยากให้เค้าได้บุญและมาในฐานะเพื่อนและมาเจอลูกเท่านั้นนะคะ (ซึ่งจริง ๆ แล้วคุณพ่อของลูกเป็นคนน่ารักมาก ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ความรับผิดชอบสูง สุภาพ เพียงแต่เค้ายังหลงและยึดติดกับอะไรอีก ๆ ในทางโลกอีกเยอะด้วยความไม่รู้)
#6
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 08:50 AM
1. เพื่อน มีความจำเป็นสำหรับเราแค่ไหน
2. เราสามารถอยู่ได้มั๊ย ถ้าไม่มีเพื่อน
3. เราสามารถมีความสุขได้หรือไม่ถ้าไม่มีเพื่อน
ส่วนตัวพี่ koonpatt แล้ว คำตอบของพี่ koonpatt เป็นอย่างนี้ค่ะ
1. มีไว้เที่ยว เป็นเพื่อนดูหนัง เป็นเพื่อนกินข้าว คุยเรื่องสนุกๆ สมัยเรียนก็มีไว้ปรึกษาเรื่องเรียน ถามการบ้าน คุยเรื่องแฟน (ความทุกข์จะเก็บ ไว้กับตัว คิดและแก้ปัญหาเองค่ะ) จริงๆแล้ว ทั้งหมดที่พูดมา มันใช้คำว่า "เรื่องจำเป็น" ไม่ได้ไงคะ เพราะคนเราสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องทำกิจกรรมเหล่านี้ทุกวันนี้ เพื่อนที่เรียกว่าเพื่อนจริงๆ มีไม่เยอะค่ะ เพราะเป็นคนไม่หาเพื่อนใหม่ มีแค่ไหนก็แค่นั้น ถ้ามีคนเข้ามารู้จัก ก็ไม่สานต่อค่ะ เจอก็คุย ไม่เจอก็ไม่คุย พอเพื่อนๆมีครอบครัวก็ต่างแยกย้าย ไม่ค่อยได้เจอกัน บางทีอยู่จังหวัดเดียวกัน ปีนึงเจอกันครั้งเดียวยังมีเลย
2. ถ้าเรามีงานอดิเรกที่ดี ที่เราชอบ เราสามารถอยู่คนเดียวได้ค่ะ พี่ koonpatt ชอบอ่านหนังสือค่ะ ที่บ้านมีหนังสือเป็น ร้อยๆ เล่มเลยค่ะ นอกจากนั้น ก็ถักโครเชต์ ต่อจิกซอว์ เล่นกีต้าร์ ทำกับข้าว ตอนนี้ เพิ่ม ดู DMC กับเข้า web บางทีเวลาเพื่อนชวนไปไหน เลยพลอยไม่อยากไปด้วยซ้ำค่ะ ลองนึกดูนะคะ ถ้าเลิกเรียนกลับบ้าน ทำการบ้าน ทำกับข้าว อาบน้ำ ดู DMC หรือทีวี อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ หมดเวลาไปทำอย่างอื่นแล้วค่ะ
3. ดังนั้น ในข้อ 3 พี่ koonpatt ตอบได้เลยค่ะ ว่า ถึงไม่มีเพื่อน พี่ koonpatt ก็สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข
จึงอยากบอกน้องดอกบัวน่ะค่ะ ว่า ถ้าเพื่อนจะเลิกคบเราเพราะเราเป็นคนดี ก็อย่าไปสนใจเลยนะคะ เพราะเด็กสมัยนี้เสียคนไปเพราะ "อาย" ที่จะเป็นคนดี เป็นคนดีแล้วเพื่อนล้อ เพื่อนไม่คบ อยากเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ เลยยอมทำตัวไม่ดี อย่างนี้ไม่ถูกต้องค่ะ ถ้าน้องดอกบัวมั่นใจว่า สิ่งที่ทำอยู่เป็นสิ่งที่ดี พี่ koonpatt ขอเป็นกำลังใจให้น้องดอกบัว มีความเข้มแข็งที่จะก้าวต่อไปนะคะ น้องดอกบัวไม่ได้อยู่ตามลำพังแน่นอนค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#7
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 08:56 AM
พอเราไปบวชมาเรายิ่งรู้ว่าเรามาถูกทาง เพราะไม่มีทางไหนที่จะถูกใจเราเหมือนทางนี้ คิดว่าตัวเองรักษาศีลอยู่คนเดียวซะอีก ที่ไหนได้เขารักษากันมาก่อนเราตั้งหลายสิบปี มาที่นี่เราล้าหลังไปเลย เพื่อนกลุ่มเดิมก็ชอบโทรมาชวนไปเที่ยว เหมือนเดิม แล้วก็ตรงกับวันทำบุญทุกครั้งด้วยสิ เราก็พูดดี ๆ ว่าไม่ว่าง ถ้าเป็นวันนั้นวันนี้ได้ ถ้าไปเดินเล่นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ แต่เพื่อนเขาเหมือนจะระคายเคืองกับการทำตัวเป็นคนดียังไงไม่ทราบ ชอบชักชวนในทางไม่ดี (เพื่อนบางคนตัวเขาทำไม่ดีแต่ก็ไม่ได้บังคับให้เราต้องไปทำตามเขาขนาดนี้) เขาก็ทำหงุดหงิดตัดพ้อแล้วก็บอกว่าเลิกคบกันไปเลย ผมได้ยินคำนี้มาหลายหนแล้วล่ะครับ เพราะเขาโทรมาหลายทีผมก็ไม่เคยว่าง ต่อจากนั้นก็ไม่โทรมาอีก ในใจผมคิดว่า เอาเถอะ เขาไม่เข้าใจเรา แล้วเราก็ไม่ได้คิดรังเกียจอะไรเขา นี่เขาเลิกคบกับเราเอง เราไม่ได้มีอะไร เขาจะโกรธมันก็เรื่องของเขา เราก็ยังเห็นเขาเป็นเพื่อนอยู่ดีนั่นแหละ แต่เขาจะเห็นหรือไม่ก็ตามใจเขา ดีกว่าให้เขาชวนเราไปในทางเสื่อมอยู่เรื่อยไป
ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดเวลาเหมือนกับใจของเราเอง ความดีที่ตนเองได้ทำ ศีลที่ตนได้รักษา บุญกุศลที่ได้สั่งสมไว้ เราจะให้ใครมาทำลายไม่ได้ มีแต่ตัวเราที่รู้ว่าเราปรารถนาดีกับเขาก็ไม่เป็นไร เพราะสักวันหนึ่งที่เขาเข้าใจเรื่องพวกนี้เขาก็จะเข้าใจเราเอง ถ้าเรายังมั่นใจอยู่ในความดี สักวันเราก็ต้องเป็นกัลยาณมิตรให้เขาได้ แต่ถ้าคิดแค่รักษาความเป็นเพื่อน ถ้าต้องให้คิดแบบเขา สู้ไม่มีเพื่อนยังดีกว่าครับแบบนี้ การเดินทางไกลไม่สมควรเดินคนเดียว แต่ถ้ามีเพื่อนเดินทางเป็นคนพาลล่ะก็ ยอมเดินคนเดียวดีกว่า แต่ตอนนี้ กัลยาณมิตรที่ร่วมเดินทางมีมากมายทั่วโลก เราไม่ต้องเดินคนเดียวแน่ครับ เพื่อนก็มีผลุบมีโผล่ สมัยประถม มัธยม มหาวิทยาลัยก็ผลัดเปลี่ยนหน้าตากันไปเรื่อย ทำใจใส ๆ ปรารถนาดีกับเพื่อนทุกคน แล้วไม่ต้องใส่ใจเรื่องนี้มากครับ ใครไม่เป็นมิตร เราเป็นมิตร ใครไม่แนะนำประโยชน์ เราแนะนำประโยชน์ แล้วเราจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายทีหลังครับ ที่มีโอกาสแล้วไม่แนะนำเพราะกลัวว่าเขาจะไม่ชอบเรา
#8
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 11:29 AM
1.เป้าหมายเป็นหลัก อุปสรรคเป็นรอง เราโชคดีที่ได้มาพบครูบาอาจารย์ท่านได้แนะนำความรู้อันแสนประเสริฐให้ ขอให้เชิดหน้าขึ้น ยิ้มให้กับความโชคดีของเรา และก้าวเดินต่อไปครับ อย่าได้พะวงกับสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ผ่านเข้ามาเลย
2.ให้อภัยเพื่อนเถอะครับ เขายังไม่รู้ เขาถึงคิดและทำอย่างนั้น และไม่มีประโยชน์ที่เราจะพยายามเอาชนะเพื่อให้ได้ในตอนนี้ ถ้าเป็นเพื่อนรักกันจริง ต้องคอยมอบสิ่งดีๆให้เขาเรื่อยๆ และพอมีโอกาสอาจจะชวนเขาไปนั่งสมาธิบ้าง หรือ ทำบุญบ้าง
มีเพื่อผมคนหนึ่ง บอกว่าไม่ชอบมาวัด ผมก็ชวนมาทำบุญบูชาข้าวพระบ้าง(มาทั้งๆที่ไม่ชอบ) ชวนไปนั่งสมาธิศุกร์-เสาร์-อาทิตย์บ้าง จนในที่สุดได้ไปพนาวัฒน์ หลังจากนั้นไม่ต้องชวนเลย เขาดู DMC แล้วมาคุยกับเราว่าช่วงนี้มีบุญอะไรบ้าง อยากทำบุญนั้นบุญนี้บ้าง... เรางี้ ยิ้มแก้มปริเลย ดีใจครับ... เป็นกำลังใจให้คุณดอกบัวด้วยคนนะครับ สู้ๆ...ต้องสู้จึงจะชนะ!
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#9
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 11:29 AM
- ถ้าเพื่อนกลุ่มนี้ของดอกบัวเป็นคนดี (ไม่ได้พาเราไปในทาง อบายมุข) แค่เรื่องไม่เข้าใจกันนิดเดียว คุยกันได้ค่ะ เพื่อน ๆ กัน
- ส่วนเรื่องน้องชาย ก็ยิ่งง่ายใหญ่เลย พี่น้องกัน คุยกันง่ายนะค่ะ
- อ่าน ๆ ดูแล้ว ดอกบัวไม่ได้ทำอะไรผิดนี่น่า เกิดจากความเข้าใจผิดกันนิดหน่อยเอง สู้ ๆ นะค่ะ
#10
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 11:56 AM
#11
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 12:44 PM
การชักชวนเพื่อน ย่อมยากกว่าการทำเองครับ ก็อธิฐานจิตและแผ่เมตตาให้เพื่อนๆบ่อยๆครับ
#12
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 12:57 PM
ความน้อยใจย่อมเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา
ตอนนี้กลับมาอยู่กับตัวเอง ตั้งใจทำหน้าที่ทั้งทางโลกและทางธรรมให้ดีที่สุด
ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว
วันนึงเมื่อมีแต่สิ่งดีๆเกิดขึ้นกับตัวเราจนคนอื่นสังเกตเห็น
พวกเค้าจะเข้ามาหา แล้วถามว่า ทำได้ยังไง
นั่นล่ะโอกาสของเราที่จะเป็นแสงสว่างให้กับเค้าล่ะค่ะ
แต่ก่อนอื่นปรับใจรับมือกับความหมางเมินของเพื่อนๆให้ได้ก่อนนะคะ
เอาใจช่วยค่ะ
#13
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 01:11 PM
แต่ละเหล่ากอ ย่อมมีคุณสมบัติ ที่จะบรรลุธรรม แตกต่างกันออกไป บางเหล่าง่าย บางเหล่ายาก
เพราะฉนั้น พระองค์จึงทรงเลือก ที่จะสอน คนระดับใดด้วยวิธีการใด แต่ทว่า คนบางพวก ที่สอนไปก็ไร้ประโยชน์ก็ยังมีอยู่มากมาย
คนจำพวกนี้ บางคน แม้พระสาวก จะขอให้ทรงโปรด พระองค์ก็ทรง งด ที่จะไปโปรดคนเหล่านี้
เคยมี E-mail ส่งมาจาเพื่อนสมาชิกเว็บไซด์ท่านหนึ่ง ขอคำปรึกษา ว่าจำทำอย่างไร กับคนที่มาด่าว่าวัดเราอย่างแรง ๆ (แรงมากมาย)ผมก็ตอบเขาว่า อย่าไปสนใจ ปล่อยเขาไปเลย เราทำดีที่สุดแล้ว แต่อย่าไปทำอะไรที่รุนแรงกลับไป คนพวกนี้ จัดเป็นคนพาลชนิดหนึ่ง มักจะเหมาว่า พวกเราชาววัดชาววา อ่อนแอ หน่อมแน้ม จึงข่มเราอย่างนู้นอย่างนี้ โดยหารู้ไม่ว่า พวกเรา ชาววัด คมในฝัก กันทุกคน
คนพูดมักจะ ทำไม่จริง คนจริงมักจะ ทำแต่ไม่พูดครับ
#14
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 01:28 PM
เห็นว่าไม่ควรเลิกคบนะ ถ้ายังหวังเป็นกัลยาณมิตรให้เพื่อน แนะนำง่ายๆ ว่าในโลกนี้เราไม่ได้มีเพื่อนอยู่เพียงกลุ่มเดียว ถ้ายังรู้สึกว่ากำลังใจมันยังคลอนแคลนอยู่ ควรจะมาวัดฯ และร่วมรับบุญเป็นอาสาสมัครฯ ก็จะได้รับรู้ว่าสิ่งที่เราประสพเจออยู่ตอนนี้ บางทีก็เป็นปัญหาเดียวกับที่เพื่อนๆ พบเจอ และเชื่อไหม เพื่อนๆ ในกลุ่มอาสาฯ แก้ปัญหานี้ตก และผ่านปัญหานี้ไปได้
อธิบายด้วยปากไม่ได้ ให้แสดงออกด้วยกายวาจาแบบอ้อมๆ สิครับ
หรือว่าไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พอดีกรรมมาส่งผล
สงสัยคงเป็นกรรมดีส่งผล ให้ได้อยู่แต่ในกลุ่มของบัณฑิต
เศร้าหมองด้วย และก็จะเปิดโอกาสให้อกุศล (บาปในปางก่อน) ได้ช่อง อย่างเบาก็อาจจะตายไปจากความดี อย่างหนักก็อาจจะ..... คิดเอาเองได้นะ
#15
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 01:30 PM
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#16
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 01:32 PM
แต่ตอนนี้คงต้องถอยห่างไปนิด มารักษาใจตนเองให้เข้มแข็ง
เพื่อนของคุณนี้คงยังเด็กมาก ความคิดและการกระทำยังเป็นเด็ก ถ้าคนเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม้ต่างความเชื่อก็คบกันได้
ในช่วงนี้คุณอาจขาดเพื่อน แต่ไม่ขาดกัลยาณมิตร อยางน้อยก็จาก DMC webboard นี้
ต่อไปถ้าเขาเข้าใจก็คงจะดีขึ้น
อาจโทรไปก็ได้ แต่ช่วงแรกไม่ต้องพูดเรื่องวัด พูดแต่ธรรมะบ้างก็พอแล้ว
ให้หมั่นทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา แล้วอธิษฐานจิตให้คนรอบข้างเข้าใจเรา เข้าใจวัด
คุณดอกบัวโชคดีนะคะที่ได้สร้างบุญ บารมี ติดเป็นสมบัติไปชาติหน้า เพื่อนคุณสิถ้าไม่รู้จักความจริงของชีวิตนี่ น่าเป็นห่วงนะคะ
#17
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 02:06 PM
ของน้องบัว นะมีปัญหากับเพื่อน แต่ของป้า นะมีปัญหา กับสามี ยังสู้เลยจ้า อิอิ
#18
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 02:51 PM
ผมเชื่อว่าทุกคนก็คงมีประสบการณ์เช่นเดียวกับคุณบัว ทั้งนั้น แต่ที่ผ่านมาได้ เราเป็นตัวของเราเองมาตลอด ไม่ให้ใครชักจูง ให้ใจตกต่ำได้
เรามีหมู่คณะของเรา เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ที่คุยภาษาเดียวกัน เพราะเรามีเป้าหมายเดียวกัน มีผู้นำคือพระเดชพระคุณหลวงพ่อ คนเดียวกัน คอยช่วยประคับประคองกัน แค่นี้ ก็สุดยอดแล้วครับ
เพื่อน 8 คน ก็ วางไว้ก่อน ค่อยๆ อธิบาย อาจใช้เวลา หลายสิบปี ก็ต้อง ยอมครับ ไม่อย่างนั้น เราก็จะน้อยใจอยู่ร่ำไป ใจที่ดีๆ มันเสียไป โดยใช่เหตุครับ
ทุกวันนี้ผมก็ยัง ค่อยๆ ชวนเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ให้เข้าใจเกี่ยวกับวัดเรา ถึงจะผ่านมาเกือบ 10 ปี แล้ว แม้จะเริ่มมีแค่ 1 คน แต่ผมไม่เคยท้อครับ จะทำหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะหมดแรงทำหน้าที่ครับ
เป็นกำลังใจให้คุณบัวครับ
#19
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 03:49 PM
เพราะฟ้าร้างเอง ตั้งแต่ชวนคนทำบุญมา มีคนปฎิเสธอยู่สองคนเองค่ะ คือ คนนึงเป็นอิสลาม อีกคนก็เป็นพวกไม่นับถือพระ ไม่สร้างวัตถุ นอกนั้น ชวนทำได้หมดเลยตั้งแต่เด็กๆแล้ว สิบบาท ยี่สิบบาท ก็ทำกันนะ ขนาดเพื่อนสนิทมากๆ คนนึง ไม่ชอบทำบุญ ฟ้าร้างยังสามารถชวนเขาให้ทำบุญได้เลยค่ะ
ลองปรับวิธีการพูดจาของเราใหม่ดีกว่าไหมคะ บางทีเราอาจจะไม่รู้ตัวว่าเราทำอะไรเกินไป เหมือนไปบังคับเขาน่ะค่ะ หรืออาจจะพูดอะไรโอเวอร์ไป สำหรับคนใหม่ ที่คุณดอกบัวอาจจะไปคาดหวังให้เขาเก็ท ในสิ่งที่คุณดอกบัวพูดในทันทีน่ะค่ะ ต้องใช้ศิลปะมากๆ เลยนะคะ การเป็นผู้นำบุญเนี่ยค่ะ อย่าท้อนะคะ ตอนนี้ยังทำไม่ได้ ก็ค่อยๆ ฝึกตนไป
แต่ตอนนี้เกิดปัญหาขึ้นแล้วก็ไม่เป็นไรนะ เฉยๆ ไปก่อน เพื่อนทางโลก เขาไม่เข้าใจ ก็หาเพื่อนทางธรรม เป็นกัลยาณมิตร ไปก่อนนะคะ อย่าไปซีเรียส เพราะนี่คือเรื่องธรรมดา
หลวงพ่อบอกแล้วไงคะ "เวลาเราไปชวนคนทำบุญ ก็ให้คิดไว้เสมอว่า คนมี 3 ประเภท คือ หนึ่ง ทำเลย สอง ไม่ทำ สาม เฉยๆ"
อย่าคิดมากค่ะ เพื่อนมีอยู่เต็มโลก
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#20
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 06:41 PM
ดอกบัว มี 4เหล่านะ บางคนสอนง่าย บางคนสอนยากครับ
ถ้าหวังดีจริง อย่าสอนให้เค้ามาศรัทธาวัดอย่างเดียว เราต้องสอนธรรมะสิครับ ธรรมะเป็นของสากลนะ สอนให้รู้ธรรมะก่อน ยังไม่ต้องพูดเรื่องวัดก็ได้
ไม่เครียด โลกธรรม8
กระทำตนเสมอต้นเสมอปลายครับ เค้าจะเปลี่ยนก็ช่าง เราทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย เค้ามาดีด้วยเราก็ดีด้วย เค้าไม่ดีกับเรา เราก็เฉยๆ
^^
-----------
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#21
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 07:54 PM
ส่วนตัวพี่สายธารธรรมเองอยากจะแนะนำให้น้องดอกบัวปรับที่ใจตัวเองให้ได้ก่อนค่ะ อย่าปล่อยให้ใจหมองนะคะ เพราะถ้าใจเราหมองแล้วจะทำอะไรก็ไม่สำเร็จค่ะ ดังนั้น พี่แนะนำให้น้องนั่งสมาธิเยอะๆนะคะ เมื่อนั่งจนใจใสขึ้นแล้วก็อย่าลืมอธิษฐานจิตกำกับทุกครั้งว่า
"ด้วยบุญที่เราได้ทำมาทั้งหมด ขอให้เรามีกำลังเต็มเปี่ยม ไม่มีความน้อยใจ ให้มีปัญญาคิดสอนตนเองได้ ให้ตามติด ติดตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และหมู่คณะตลอดไป อย่าได้หลุดจากหมู่คณะเลย และขอให้คนที่เข้าใจผิดในตัวเรา กลับมามีความเข้าใจที่ถูกต้อง และขอให้เจอกัลยาณมิตรที่จะร่วมสร้างบารมีไปด้วยกัน"
และอย่าลืมทำตัวเองให้มีความสุขนะคะ ให้เพื่อนๆน้องแปลกใจว่าทำไมน้องเข้าวัดแล้วถึงดูมีความสุขได้ขนาดนี้ ถ้าเค้าสงสัยมากๆจนทนไม่ได้ก็เข้ามาถามเองแหละค่ะ แล้วตอนนั้นจะเป็นโอกาสให้น้องทำหน้าที่ได้ค่ะ
สู้ สู้ นะคะ...
#22
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 08:55 PM
#23
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 09:21 PM
#24
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 09:53 PM
ขอบคุณ และ อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ กับทุกกำลังใจค่ะ เมื่อคืนนี้หลังจากที่ตั้งกระทู้เสร็จก็นั่งสมาธิค่ะ ตอนนี้ก็ดีขึ้นนะคะ นั่งสมาธิช่วยได้เยอะจริงๆนะ
เรื่องเพื่อนก็เลือกที่จะเงียบและถอยมาตั้งหลักก่อนดีกว่า อย่างที่คุณ arraya บอกค่ะรักษาตัวเองก่อนแล้วกันไม่ให้ใจหมอง
พยายามจะไม่ให้ใจหมองค่ะ ส่วนช่วงนี้ถ้าเขาไม่โทรมาก็ต่างคนต่างอยู่กันไปก่อนก็แล้วกัน เพราะว่าก็ทำงานกันคนละที่อยู่แล้วค่ะ แต่ถ้าเขาโทรมาก็จะยังเหมือนเดิม
อยากจะบอกว่าเราไม่ได้โกรธใครเลย อยากฝากคนที่ขี้น้อยใจนะว่าให้นั่งสมาธิมากๆ ได้ผลจริงๆนะ
อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเพื่อนคนที่เราชวนเขาทำบุญนี้เขามีพรสวรรค์มากเลยในการพูดให้คนเชื่ออ่ะ (คิดเล่นๆเมื่อคืนนี้ว่าเอ้..น่าจะสู้ต่อกับเพื่อนคนนี้แหล่ะถ้าคนนี้เข้าใจ
คนอื่นก็ไม่น่าจะมีปัญหานะ)แบบว่ายังมีหวังลึกๆเหมือนกัน เพราะว่าคบกันมาก็๒ปีกว่าแล้วค่ะ
คุณฟ้าร้างคะ เรื่องพูดไม่เข้าหูนี้ (ไม่แน่ใจค่ะแต่คิดว่าไม่น่าจะใช่น้าาา) จำได้ว่าพูดว่า"เข้าพรรษานี้ไปทำบุญกับเราใหม เพื่อนก็ถามว่าที่ใหนล่ะ เราก็บอกว่าวัดภาวนาแมนเชสเตอร์ เพื่อนก็บอกว่าเฮ้ยวัดธรรมกายนี่หว่า หลังจากนั้นเพื่อนก็บอกว่าไม่ต้องมาชวนเราหรอก แล้วเพื่อนก็เดินหนีไปเลยบอกมีธุระ"แค่นี้จริงๆอ่ะ
ครอบครัวก็ยังไม่มีใครเข้าใจค่ะ ส่วนแม่ก็ดูดีเอ็มซีบ้างไม่ดูบ้างค่ะ แต่ชอบปล่อยปลาปล่อยเต่า ส่วนสามี(แต่งงานแล้วค่ะ)ก็ไม่ยอมเข้าวัดเหมือนกันค่ะ
แต่ก็ไ่ม่ได้ห้ามเราเข้าวัด
#25
โพสต์เมื่อ 28 August 2006 - 10:18 PM
วันนี้เป็นวันพระ เราถือศีล ๘อยู่คงไปไม่ได้ ขอโทษด้วยนะ
น้องฝนจ๋าขอบใจมากๆเลยนะคะ เป็นกำลังใจให้น้องฝนด้วยเหมือนกันนะคะ พี่เข้าใจเลยจริงๆค่ะใครที่เป็นกัลฯให้กับเพื่อนสนิทนี่ต้องเป็นคนที่เข้มแข็งมากๆเลย
เหมือนกันนะ ขนาดพี่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งแล้วนะ ยังอดหลุดน้อยใจไม่ได้เลยค่ะ พได้ี่แอดฝนในเอ็มแล้วจ้า
ขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับกำลังใจนะคะ ตอนนี้ปริ๊นออกมาแล้วค่ะเอาไว้อ่านเดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาไปแปะที่ทำงานด้วย
ทุกอย่างมีเกิดก็ต้องมีดับเป็นเรื่องธรรมดา
#26
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 01:05 AM
เป็นกำลังใจให้นะคะ ^^ เพื่อนบีบีก็ไม่ศรัทธาวัดเหมือนกันค่ะ คนใกล้ชิดก็มีแต่ครอบครัวกับเพื่อนอีก1 คนเท่านั้นที่คิดตรงกัน ที่เพื่อนเค้าออกห่างเราไปก็ถูกแล้วล่ะค่ะ เพราะคนศีลเสมอกันถึงจะอยู่กันได้ แสดงว่าตอนนี้ดอกบัวศีลไม่เท่าเพื่อนแล้วไงคะ
#27
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 08:45 AM
ขนาดลูกสาว 8 ขวบยังโดนเลยค่ะ...เพราะว่ามีเพื่อนรักคนหนึ่งตอนเย็นจะมาแวะเล่นด้วยทุกวัน (คุณแม่เค้ากลับดึก) เราก็ทำอาหารเลี้ยงเค้าทุกวันเหมือนลูกตัวเอง แล้วอาทิตย์ที่แล้วลูกสาวชวนเพื่อนมาวัด ไปสมัครทำหน้าที่อาสาสมัครต้อนรับหลวงพ่อ หลังจากวันอาทิตย์กลับไปแล้ว เค้าไม่ให้ลูกเค้ามาอีกเลย
#28
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 07:05 PM
#29
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 09:05 PM
1.ปล่อยวางครับ หรือถ้าทนไม่ไหวต้องการเพื่อนจริงๆก็มาหาเพื่อนใหม่ได้ที่แผนกมัคคุเฒศก์ที่เสาq31ครับ มีให้เลือกคบตั้งแต่ประถม มัธยม มหาลัย วัยทำงาน จนถึงผู้เฒ่าครับ พวกเราเป็นเพื่อนกัลยาณมิตรที่ดีกันไปตลอดกาล ความตายก็พรากเราไปไม่ได้ครับ เพราะยังไงๆก็ต้องมาสร้างบารมีด้วยกันอยู่แล้ว (เว้นแต่ว่าจะหลุดไปจากหมู่คณะ
2.มาสมัครสมาชิกแผนกมัคคุเทศก์สิครับ มีพี่ๆที่เป็นมือโปรด้านชวนคนเข้าวัดเพียบ เพราะพวกเราช่วยงานด้านนี้อยู่แล้ว
3.ปัญหาเกิดจากความคิดของเราครับ ถ้าเราไม่คิดว่ามันเป็นปัญหามันก็จะไม่เป็นปัญหาครับ
เช่น ถ้าน้องชวนเพื่อนมาวัดไม่สำเร็จ ถ้าน้องไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา น้องก็จะบอกว่า "อ้ะ! งั้นลองชวนเพื่อนที่มีแววก่อนดีกว่า" ถ้ายังไม่สำเร็จอีก "อ้ะ! งั้นชวนคุณครูก่อนดีกว่า
มันจะไหล่รื่นไปได้เรื่อยครับ
แต่ถ้าน้องคิดว่ามันเป็นปัญหา น้องก็จะถามแต่ว่าทำไมๆๆ เหมือนที่น้องทำอยู่ครับ
เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาคือ "การไม่คิดว่าเป็นปัญหาครับ"
4.ใช่ครับ ทางแก้คือโทรคุยกับกัลยาณมิตรที่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันครับ (เช่นเพื่อนๆแผนกมัคคุเทศก์เป็นต้น 555+) คนเราทำบุญกันมาแค่ไหนก็อยู่กันได้แค่นั้น แต่ถ้าเป็นเพื่อนที่เป็นอาสาสมัครร่วมสร้างบารมีกันจะสามารถเป็นเพื่อนกันไปได้ทุกภพทุกชาติจนถึงที่สุดแห่งธรรม (ยกเว้นว่าจะมีใครหลุดออกไปซก่อน)
พึงจะสังเกตว่าพี่บอกว่าแต่งงานแล้ว ตะกี้ขอโทษนะครับที่ใช้คำพูดที่ใช้พูดกับน้อง
#30
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 09:17 PM