อเวจีมหานรกกับโลกันตร์อันไหนทรมานมากกว่ากันครับ
#1
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 07:58 PM
ในพระไตรปิฎกบอกว่า ถ้าร้อนที่สุดต้องอเวจีมหานรก ซึ่งเป็นหนึ่งในนรก 456 ขุม ที่ทรมานที่สุด และระยะเวลายาวนานที่สุดด้วย เพราะถูกไฟเผาตลอดเวลาไม่มีช่วงว่างเว้นแม้เพียงเสียวอนุวินาที แต่ถ้าเย็นที่สุดต้องโลกันตร์ ซึ่งอยู่ขอบจักรวาล โลกันตร์นี้มีระยะเวลายาวนานมาก นานกว่าอเวจีมหานรกอีก
อยากทราบว่า ถ้านับเรื่องของความทรมาน ระหว่างอเวจัมหานรกกับโลกันตร์ อันไหนทรมานกว่ากันครับ ผมว่าน่าจะอเวจีนะครับ แล้วเพื่อนๆว่าไง เมื่อคืนหลวงพ่อบอกว่า คนแต่งหนังสือปราบมารนอกจากจะเป็นบ้าแล้ว ตายไปยังต้องไปอยู่ภพภูมิพิเศษ ซึ่งมีความทรมานมากกว่าโลกันตร์ นี่แสดงว่ายังมีบางสิ่งที่อยู่นอกเหนือที่พวกรายังไม่รู้ เพราะทำไมหลวงพ่อถึงไม่บอกว่าเป็นอเวจี ซึ่งอเวจีนั้นก็ไม่น่าใช่ภพภูมิพิเศษ เพราะเป็นหนึ่งในนรก 456 ขุมที่พวกเราก็รู้จัก
#2
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 08:16 PM
เป็นความรู้ที่อยู่นอกเหนือสติปัญญาของมนุษย์
ตั้งใจนั่งสมาธิดีกว่าครับ
#3
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 08:25 PM
#4
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 08:27 PM
อเวจีมหานรก จะเป็นนรกใหญ่ของ 8 มหานรก และมีโทษหนักและนานกว่านรกขุมอื่นๆ สัตว์นรกในขุมนี้จะได้รับผลกรรมที่เผ็ดร้อนจากกรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับพระพุทธศาสนา เช่นพระเทวทัต นางจิญจมาณวิกา เป็นต้น
แต่โลกันตนรก (คำแปลเขาแปลว่า สุดขอบโลกธาตุ) จะหนักกว่ามหานรกทั้ง 8 สัตว์นรกที่เกิดในที่นี้ ได้แก่พวกมิจฉาทิฏฐิล้วนๆ บางทีเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิดิ่ง ซึ่งไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเห็นเขาได้เลย
#5
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 08:57 PM
#6
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 09:10 PM
#7
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 09:40 PM
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#8
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 10:02 PM
#9
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 10:03 PM
#10
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 10:35 PM
---------------------
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#11
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 11:23 PM
คือที่นี่คนใหม่ค่อนข้างเยอะ แล้วก็จะมีคำถามมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องละเอียด แต่ขอให้ทราบไว้อย่างหนึ่งครับ
"ผู้ที่รู้จริง เปรียบเสมือนแท็งก์น้ำที่มีน้ำอยู่เต็ม เคาะยังไงก็ไม่มีเสียงดัง ผู้ที่รู้ไม่จริง ก็เปรียบเสมือนแท็งก์น้ำเปล่าที่ตีดัง ชอบอวดอ้างไปเรื่อยๆ"
ทางทีมงานไม่ต้องการให้ ใครในนี้รับข้อมูลที่ผิดๆ และต้องหลุดออกไปครับ
แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#12
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 12:35 AM
ส่วนโลกันตนรก ได้เคยมีท่านนึงเปรียบเทียบไว้ ถ้านิพพานเป็นที่สูงสุดของผู้มีบุญแล้ว โลกันตนรกจะเปรียบเสมือนสิ่งตรงข้ามหรือเป็นที่ตําสุดของผู้ที่เป้นมิจฉาทิฐิ จะอยู่นอกขอบจักรวาลเช่นเดียวกับพระนิพพาน ใครที่ได้ลงไปจะไม่ได้กลับมาเกิดอีกเลยครับ ตามที่ได้อ่านได้ศึกษามาเป็นนรกที่แปลกที่สุด คือ เป็นที่ๆเดียวของนรกที่ไม่มีความร้อนเลย เป็นที่ๆมีความเย็นยะเยือก หากเปรียบดวงอาทิตย์เป็นเสมือนก้อนถ่านในนรกแล้ว คำว่าศูนย์องศาสมบูรณ์ที่ว่าเย็นที่สุดจนหาที่เปรียบในโลกแล้ว ก็เหมือนพระอาทิตย์ที่เป็นเพียงก้อนถ่านในนรกน่ะครับ สัตว์นรกที่ได้ไปอยู่ในโลกันต์จะเกาะขอบจักรวาลเอาไว้ ซึ่งเบื้องล่างของขอบจักรวาลนั้นจะเป็นนํากรดที่เย็นยะเยือก กรดที่แรงที่สุดบนโลกเรียกได้ว่าเป็นเพียงละอองนําที่ปลายยอดหญ้าเลยทีเดียวถ้าจะเปรียบเทียบนะครับ (เปรียบแบบนี้หวังว่าคงเข้าใจนะครับ)
ส่วนภพภูมิพิเศษที่หลวงพ่อท่านกล่าวถึง ขอบอกตามตรงนะครับ อเวจีมหานรกโลกันตนรกผมยังพอจินตนาการได้ แต่ภพภูมิพิเศษนี่ยากเกินกว่าที่สติปัญญาของผมจะจินตนาการครับ - -ล
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#13
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 02:55 AM
#14
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 09:52 AM
ก็เชื่อนะ แต่ควรเชื่อในมโนปณิธานของครูบาอาจารย์ดีกว่า เชื่อในสิ่งที่ท่านให้ประกอบเหตุปัจจุบันดีกว่า ส่วนธรรมะละเอียดนั้น ก็ต้องยืมคำพูดของครูบาอาจารย์มาเตือนตนเองว่า "จะว่ากันให้มากไปไย นั่งให้เห็นดวงแก้ว องค์พระใสๆ กันซะก่อน"
ส่วนธรรมะอะไรที่จะต้องอ้างอิงเป็นข้อเขียน ก็ควรใช้ธรรมะชนิดที่เป็น"ใบประดู่ในกำมือ" ครับ
#15
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 10:21 AM
ตอบดีกันทุกคนเลย
#16
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 10:30 AM
#17
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 05:22 PM
ผมก็ไม่ทราบอะไรมากหรอกครับ
ตอนนี้อยากไปดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์ ครับ
#18
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 05:57 PM
ทำให้เพื่อนได้ไปเรียนกับพวกเขาคนเดียว (แต่มีคนวัดกลุ่มอื่นไปด้วยในตอนนั้น) ซึ่งแม้ตอนเขาจะไปเรียนเขาก็ยังศรัทธาหลวงพ่ออยู่แท้ๆ แต่แล้วเพื่อนก็หายจากวัดไป ผ่านไปหลายปี จนกระทั่งปี 2547 ดาวธรรมกำลังเริ่มเป็นที่รู้จัก พี่ก็ไปเจอเพื่อนคนนั้นโดยบังเอิญ พยายามชวนเขาติดดาวธรรม เขาก็ไม่ติด แล้วในที่สุดก็รู้ความจริงว่า ไปไงมาไงไม่ทราบ เพื่อนพี่เสื่อมศรัทธาในคณะผู้นั้นอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งพาลมาเสื่อมศรัทธาหลวงพ่อให้อีกด้วย
วุฒิธรรม 4 ประการ สำคัญจริงๆ พี่ขอย้ำอีกครั้ง
1. แสวงหาครูดี
2. ฟังคำครู
3. ตรองตามคำครู
4. ปฏิบัติตามคำครู
หาครูดีให้ได้ รับรองเราจะสบาย
#19
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 06:20 PM
#20
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 07:12 PM
http://www.dmc.tv/fo...amp;#entry41090
http://www.dmc.tv/fo...amp;#entry40959
Someday I'm gonna be free.
#21
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 09:03 PM
เมื่อประมาณ 7 วันก่อนผมก็ได้รับความรู้แบบผิดๆมาบ้างครับ
แต่ผมรอถามผู้รู้ครับ โชคดีครับที่มีcaseมาพอดีครับ
สาธุครับ
พุทธบริษัท 4 ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนตะวันที่มีดวงเดียว
#22
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 12:15 AM
เพราะคนๆนั้นก็ดูมีลักษณะเริ่มใกล้เคียงอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยธรรมะที่เค้าพูด ซึ่งละเอียดมากและไม่เคยฟังจากที่ไหนมาก่อน ฟังดูแล้วชวนให้คล้อยตามนะคะ แต่ด้วยบุคลิกคนพูด ก็เป็นอย่างที่บอกน่ะค่ะ ทำให้สายธารธรรมเองไม่เชื่อ และที่ไม่พอใจมากก็คือ เค้าพาดพิงถึงหลวงพ่อของเราจนรับไม่ได้เลยค่ะ (พ่อข้าใครอย่าแตะ)
พอกลับมาบ้านใจตกมากๆ แต่เป็นบุญมากเลยนะคะ (คงเคยอธิษฐานมาดีว่าให้เจอกัลยาณมิตร) คืนนั้นมีผู้รู้โทรมาหาพอดี จึงได้เล่าให้เค้าฟัง และสอบถามจากเค้า ถึงได้รู้ว่ามีกลุ่มคนแบบนี้อยู่ ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่เคยทราบมาก่อนเลยค่ะ คิดแล้วน่ากลัวจริงๆ
#23
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 01:26 AM
เค้าเคยเข้ามาในกลุ่มอาสาสมัคร เป็นคนที่พูดธรรมะได้ดีมาก แต่สุดท้ายก็ยุให้พวกเราแตกกัน หลวงพี่ก็เลยเชิญเค้าออกไป
#24
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 11:45 PM
แต่ผมรอถามผู้รู้ครับ โชคดีครับที่มีcaseมาพอดีครับ
สาธุครับ
ลองอ่านความเห็นของผมที่ได้เคยชี้แจงไว้ในกระทู้นี้ดูนะครับ http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=3122
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#25
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 01:35 AM
๑. http://www.dmc.tv/fo...amp;#entry41090
สำหรับลิงค์นี้ ผมได้ทำการตรวจสอบเนื้อหาอย่างละเอียดแล้ว ผ่านเกณฑ์พิจารณาครับ (บางครั้งการพิจารณาต้องดูจากรายละเอียดของเนื้อหานะครับ ไม่ยึดติดตัวบุคคลว่า ใครคือผู้แต่ง)
๒. http://www.dmc.tv/fo...amp;#entry40959
สำหรับลิงค์นี้ ท่านสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ "บุคคลยุคต้นวิชชา เล่ม ๑" ครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#26
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 12:02 PM
#27
โพสต์เมื่อ 02 September 2006 - 05:20 AM
ก็พยายามตั้งสติให้มากครับ แต่ด้วยปัญญาของผมเองในปัจจุบัน ยังแยกจริงเท็จไม่ออกครับ
ผมเองก็ยังมีความรู้สึกที่ดี ต่อวัด ต่อหลวงพ่อ ต่อพระ และยังเข้าวัดตามที่โอกาสอำนวยอยู่เสมอครับ
แต่ก็รู้สึกห่วงต่อผู้มีวัยวุฒิที่ยังน้อยอยู่เหมือนกันครับ อาจไขว้เขวได้ง่าย
ข้อให้ผู้เป็นบัณฑิตทั้งหลาย ที่เป็นผู้รู้ของวัดหมั่นแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ไว้ให้มากครับ ในคนใหม่ๆ เข้าใจผิดได้ง่ายมากครับ
#28
โพสต์เมื่อ 07 October 2006 - 09:48 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี