การสอนคน
#1
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 02:41 AM
ไม่ว่าจะเป็นจากพะรไตรปิฎก เกจิดังๆ ครูของเราเอง หรือตามความคิดเห็นส่วนตัวก็ได้น่ะค่ะ
จะเอาเป็นหลักฐานให้คนที่ไม่รู้และไม่ยอมเชื่อค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#2
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 06:06 AM
Someday I'm gonna be free.
#3
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 10:08 AM
นอกจากนี้ การแสดงธรรมนั้น ต้องมีศิลปะ รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ต้องพิจารณาปัญญาของผู้ฟังว่า สามารถรองรับธรรมะได้ลึกซึ้งเพียงใด หรือก็คือ การสอนคน แสดงธรรมนั้น ใช่ว่าเราจะสามารถพูดในทุกๆเรื่องที่เราอยากจะพูด คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อเขา
แต่ควรจะแสดงธรรมที่ผู้ฟังสามารถตรองตาม พิจารณาตามได้ ถ้าธรรมนั้นผู้ฟังไม่สามารถตรองตามได้ ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดทั้งสิ้น มีแต่จะสร้างความสงสัยและความคิดที่ว่าคนพูดนั้นงมงาม พูดจาไม่รู้เรื่อง เป็นการดิสเครดิตตัวเราอีกต่างหาก การแสดงธรรมครั้งต่อไป ผู้ฟังก็ยากที่จะเชื่อตาม เพราะ มีความคิดติดลบกับผู้แสดงธรรมเสียแล้วนั่นเอง
ดังนั้น จึงมีคำกล่าวยกย่องพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงเป็น พระบรมครู เพราะ การแสดงธรรมของพระองค์นั้นลุ่มลึกไปตามลำดับ ค่อยๆ ซักย้อมใจผู้ฟังให้ตรองธรรมตามได้จากง่ายไปยาก เหมือน ชายหาดค่อยๆ ลุ่มลึกลงไปตามลำดับๆ จนถึงก้นทะเล ไงครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#4
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 12:59 PM
ตักน้ำรดหัวตอน่ะ ตอมันไม่งอก ตอมันตายแล้ว แต่รดน้ำบ่อยๆ เรายังมีโอกาสได้เห็ดกิน แต่ตักน้ำรดหลังสุนัข เห็ดก็ไม่ขึ้น มิหนำซ้ำมันยังสลัดน้ำมาเปียกเราอีกด้วย ควรจะทำยังไงกับสุนัขตัวนั้นคิดเอาเอง
การสอนคนให้เป็นคนดี เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่เราควรดูด้วยว่าคนผู้นั้นเค้าอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองรึเปล่า ถ้าใจเค้าไม่รับแถมยังมองเรามองวัดไม่ดี นั้นก็กลายเป็นว่า เราได้ทำให้ใจเค้าออกห่างพระศาสนาไปอีกชาติหนึ่ง ทำให้เราได้บาปไปด้วยโดยไม่รู้ตัว ควรเลือกคนหน่อยครับ
#5
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 03:56 PM
คนที่สอนคนอื่นได้ดี เรียกว่าครู
ถ้าคุณครูเป็นคนดี จะสอนคนอื่นให้เป็นคนดีได้อีกมากมาย
#6
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 09:34 PM
ต้องสอนตัวเราเองให้ได้ก่อนค่ะ ที่สำคัญ บางคนไฟแรง มาวัดใหม่ๆ มีศรัทธาจริต ประมาณว่าชอบๆ ได้ข้อมูลไปเยอะ รู้เยอะ บางทีศัพท์หรือประโยคประเภทที่คนข้างนอกเขาไม่ได้เข้าใจเหมือนเรา ก็นำไปพูด ( ประมาณว่าขึ้นธรรมมาสเลย ) รับรองแบบนี้คนฟังเขาจะแหยงแน่ๆ ตรงนี้ไง ที่เป็นจุดบอด ทำให้เขาว่าเอาได้ เพราะเขาไม่เข้าใจ จริงๆ แล้วจะให้เขาเข้าใจจากภาษาการกระทำของเราก่อนจะดีกว่า คิดดี พูดดี ทำดี ชีวิตมีสุข เป็นตัวอย่างของคนภายนอกได้ ขณะเดียวกันเวลาคุยกับคนอื่นก็คุยอย่างมีศิลปะ คือ โดยที่เขาไม่ได้รู้สึกว่า " ถูกสอน " ทำได้อย่างนี้ก็มีชัยไปกว่าครึ่งที่จะทำให้เขาเชื่อเราหรือศรัทธาวัดไปโดยปริยายค่ะ
อ้อ ต้องไม่ลืมถามตัวเราเองด้วยว่า ที่ผ่านมาเรา over ไปหรือเปล่า พูดตรงฉินไปหรือเปล่า ( บางทีเราไม่รู้ตัว ) หากเป็นอย่างนี้คงต้องปรับนะ แต่ยังไงก็ต้องทำใจอย่างหนึ่งคือ ความเข้าใจของคนเรามีหลายระดับ ไม่เท่ากัน ตรงนี้ก็จะมีส่วนสำคัญด้วยเช่นกันที่เราต้องทำความเข้าใจเขาด้วยจ้า
#7
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 12:24 AM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#8
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 12:26 AM
ก็สามารถสอนได้กว้างๆ คือสอนคนได้ทั้งหมด สอนแบบรวมๆ
- แต่หากจะรับลูกศิษย์ หรือคนที่เราต้องสอนใกล้ชิด หรือสอนในห้องเรียนอะไรแบบนี้ ก็...
ควรสอนคนที่ตั้งใจเรียน
คนที่ไม่ตั้งใจเรียน ไม่ตั้งใจฟัง เราไม่น่าสอน
...เพราะคนไม่ตั้งใจเรียน ไม่ได้เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรากำลังสอน หรือเขาอาจดูหมิ่นการศึกษา ไม่เคารพผู้สอน
ควรสอนคนที่เป็นคนกตัญญู
คนอกตัญญู เราไม่น่าสอน
...เพราะความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี
แต่หากแม้คนเรียนจะสมองช้า-ปัญญาทึบไปบ้าง
เราก็พอจะสอนได้ หากเขาขวนขวายที่จะเรียน อาจใช้เวลานานหน่อย
หรือผู้เรียนมีพื้นฐานน้อย แต่มีความตั้งใจดีและมุ่งมั่นขยันใฝ่รู้
เราก็ควรสนับสนุน
#9
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 01:02 AM
สำหรับตัวน้องเองแล้ว ก็จะแนะนำเพื่อนๆทุกครั้งที่มีโอกาสค่ะ อย่างเช่นถ้ามีเรื่องต้องพูดหน้าชั้น น้องก็จะพูดเกี่ยวกับวัด หรือไม่ก็เรื่องการทำบุญ การนั่งสมาธิค่ะ น้องอยากให้คนอื่นๆได้เข้าใจวัดอย่างแท้จริง ให้เขาเห็นว่าการทำสมาธิมีประโยชน์อย่างไร การทำบุญ ทำทาน มีประโยชน์อย่างไร ประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรมด้วย เท่าที่พูดให้คนรอบๆข้างฟัง ส่วนมากเขาก็ไม่ได้ต่อต้านอะไรนะคะ แต่จะรับฟังเฉยๆ ช่วงแรกๆเขาจะยังไม่ทำตามที่เราแนะนำ แต่เมื่อเราปฏิบัติให้เขาเห็น เขาก็จะคล้อยตามและเริ่มเปิดใจค่ะ รู้สึกดีทุกครั้งเลยค่ะ
#10
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 04:00 PM
การจำแนกบุคคคลเป็นบัวสี่เหล่า จากสมัยพุทธกาล ก่อนที่จะเริ่มออกโปรด น่าจะใช้ได้
ทรงหยั่งเห็นสันดานของมนุษย์ประดุจดังดอกบัว ๔ เหล่า
เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับคำอารธนาของท้าวสหัมบดีพรหมแล้ว
ทรงเปรียบเทียบมนุษย์กับดอกบัว ๔ ประเภท คือ
๑ อุคฆติตัญญุ คือพวกฉลาดมาก เหมือนบัวที่พ้นน้ำแล้ว
เพียงได้ฟังหัวข้อธรรมที่ยกขึ้น ก็จะเข้าใจได้โดยง่าย
๒ วิปจิตัญญู คือพวกฉลาดพอควร เหมือนดอกบัวที่อยู่เสมอน้ำ
เพียงฟังคำอธิบายก็เข้าใจได้
๓ เยยะ คือพวกฉลาดปานกลาง หรือเวไนยสัตว์
เหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ มีโอกาสที่จะโผล่ขึ้นมาในวันต่อๆไป
เมื่อได้รับการอบรมบ่มสติปัญญาพอควรก็จะเข้าใจธรรมได้
๔ ปทปรมะ คือผู้ที่โง่เขลา เหมือนบัวที่อยู่ในโคลนตม
ยากที่จะสอนให้เข้าใจได้ ไม่มีโอกาสโผล่เหนือน้ำ
เสนอความคิดเห็นนิดหนึ่ง เรื่องการสอน
ต้องดูฐานะของตนเป็นสำคัญด้วย ว่าอยู่ในฐานนะใด
เช่น เป็น ครูบาอาจาร์ย สอน ศิษย์
เป็น พ่อแม่ สั่งสอนอบรม บุตร
เป็น พี่สอนน้อง
เป็น พระเทศนาสั่งสอน พุทธบริษัท
เป็น ผู้ถูกขอร้องให้สอน ( สมัยพระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ ) เป้นผู้ทรงธรรมมักจะถูกทูลเชิญให้สอนข้อธรรมะ
เช่นเรื่อง มหิสสาสกุมาร ,เป็นวิฑูรบัณฑิต ,
เป็นต้น
ถ้าหากว่าเราอยู่ในฐานะที่ต้องสอนจึงนำหลักธรรมบัวสี่เหล่ามาพิจารณาแต่ถ้าเป็นคนอื่น ๆ ก็ตามที่ทุกท่านแนะนำ
มาถูกต้องดีแล้วครับ
#11
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 04:09 PM
แก้เป็น เนยยะ (อ่านว่า ไน-ยะ) ครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#12
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 04:14 PM
#13
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 11:06 PM
สาธุ สาธุ สาธุ^^
----------
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#14
โพสต์เมื่อ 02 September 2006 - 06:46 PM
หมายถึงสอนธรรมะหรือเปล่า
- คนที่ไม่ควรสอน คือ
1. ผู้มีใจอันเป็นทิฐิวิบัติ เช่น ยายหอยที่พระมหาโมคคัลลานะ ไปโปรด
2. ผู้เป็นโรคจิตประสาท จิตวิปลาศ
3. ผู้ที่ไม่เต็มใจรับคำสอน หรือ สอนแล้วไม่ฟัง คือ สอนแล้วเสียเวลาเปล่า ไม่เกิดผลประโยชน์
- นอกนั้นสอนได้ แต่คงต้องพิจารณาลำดับจาก บัวสี่เหล่า ตามที่คุณทศพลโพสต์
ในฐานะที่เป็นอาจารย์(ทางโลก)การสอนมองเผินๆอาจเป็นหน้าที่ แต่ถ้าสอนด้วยใจแล้ว การจะเลือกถ่ายทอดให้ใครต้องดูที่
1. เจตคติและอุปนิสัยขวนขวายหาความรู้ เป็นเรื่องสำคัญ(ไปสอดคล้องกับมงคลที่6 คือ ตั้งตนชอบ)
2. ความรู้พื้นฐาน(สอดคล้องกับมงคลที่7 คือพหูสูต) เพราะถ้าพื้นฐานดีก็จะรับการถ่ายทอดได้เร็ว
3. ความขยันหมั่นเพียร (สอดคล้องกับมงคลที่8 คือมีศิลปะ)เพราะยิ่งขยันก็ยิ่งเกิดความชำนาญ
ในทางกลับกัน ดังที่ท่านขุนศึกที่ว่า ถ้าเราต้องสอนใคร เราต้องอบรมตนเองควบคู่กันไปด้วย เพราะนอกจากเราจะต้องรู้มากกว่าเขาแล้ว เราต้องมีศิลปะในการถ่ายทอดความรู้ให้ผู้รับทุกๆระดับเข้าใจ ซึ่งในทางโลกใช้การสอบเป็นการประเมิน
#15
โพสต์เมื่อ 03 September 2006 - 10:18 PM
(ติเพื่อก่อ)
#16
โพสต์เมื่อ 04 September 2006 - 04:29 PM
เอาตัวเองนั้นแหละเป็นหลักฐาน
เค้าเห็นเราเปลี่ยนแปลงไปในสิ่งที่ดี เหมือนที่เราบอกเค้า เค้าก็จะเชื่อเราเอง
----------------------------
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#17
โพสต์เมื่อ 04 September 2006 - 10:36 PM
เค้าเห็นเราเปลี่ยนแปลงไปในสิ่งที่ดี เหมือนที่เราบอกเค้า เค้าก็จะเชื่อเราเอง
ไม่ใช่ค่ะ
เขาไม่เชื่อว่าการสอนแบบพูดกรอกหูเป็นการไม่เคารพในธรรม
แล้วชอบบอกว่ารู้ๆๆๆ แต่ก็บอกว่าเชื่อว่ามันจะเป็นอีกอย่างไ คือเชื่อว่าถ้าเขาเทศน์แบบนั้นเมื่อเขาบวชเขาจะไม่บาป
พอเตือนก็เอาแต่บอกรู้ๆๆ แต่ก็ยืนยันอย่างเดิม
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#18
โพสต์เมื่อ 10 September 2006 - 06:06 PM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#19
โพสต์เมื่อ 07 October 2006 - 09:02 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี