มีปัญหาอยากจะปรึกษาพี่ๆทุกคนอะค่ะ
#1
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 05:26 PM
สวัสดีค่ะ น้องชื่อบีบี ปัญหาของน้องมีอยุ่ว่า
น้องได้สมัครเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะ ซึ่งมันเป็นความฝันอย่างนึงของน้องค่ะ เฉพาะเด็กปีหนึ่งเท่านั้นที่มีโอกาสเป็น เพราะฉะนั้น ตอนนี้ก็เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของชีวิตแล้วที่จะได้เป็นลีด
การซ้อมก็เริ่มมาได้สองเดือนแล้วค่ะ เหลือเวลาอีกสองเดือนก่อนจะถึงวันเเข่ง การซ้อมช่วงแรกๆก็หนักเหมือนกันแต่ยังไม่เท่าไหร่ เวลาซ้อมคือ ห้าโมงครึ่งถึงสี่ทุ่มค่ะ เรื่องเวลานี่ไม่มีปัญหาค่ะ ก่อนสอบพี่เค้าจะหยุดซ้อมหนึ่งอาทิตย์ให้อ่านหนังสือกัน เรื่องการบ้านก็ทำเสร็จเรียบร้อยทุกอย่างไม่มีปัญหา
แต่ช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ การซ้อมหนักขึ้นมาก เวลาซ้อมเท่าเดิมก็จริงแต่เริ่มมีการวิ่งจับเวลา ต้องซ้อมท่าติดกัน อย่างน้อยวันละ 800 ครั้งประมานว่า ต้องยกแขนขึ้นลงติดกัน 1600 ครั้ง อย่างน้อย จับเวลาด้วย คือต้องทำให้เร็วกว่าเดิมซึ่งเหนื่อยมาก (ซ้อมเข้ากับเพลงนี่ต่างหากนะคะ) ซึ่งมันเหนื่อยก็จริงค่ะ แต่ก็ยังพอไหว ปกติหนูเป็นคนที่พยายามมาก ไม่เคยขี้เกียจ ซ้อมเต็มที่ตลอด เทียบแล้วก็อยุ่ในระดับที่ดีกว่าคนอื่นๆ
แต่ที่น้องติดใจจริงๆคือว่า เมื่อวานนี้น้องไม่สบาย ไม่ไหวจริงๆค่ะ สงสัยว่าอาหารจะเป็นพิษ(น้องมีปัญหาเรื่องโรคกระเพาะอยุ่ด้วยค่ะ) ก็โทรไปบอกพี่เขาว่า วันนี้อาจจะเข้าไปสายเพราะกำลังจะไปโรงพยาบาล พี่เขาก็แค่บอกว่า อืม แล้วจะเข้าไปซ้อมกี่โมงคะ? น้องไม่เข้าใจเลยค่ะว่าพี่เขาไม่ได้เป็นห่วงสุขภาพของหนูเลยหรือ ทำไมสนใจแค่ว่าหนูจะไปซ้อมได้ไหม มันเหมือนไม่มีความรักความเข้าใจกันเลย มีแค่ทำยังไงถึงจะชนะ
อีกครั้งนึงคือ วันนั้นหนู้องยืดขา เพื่อที่จะฉีกขาให้ได้กว้างมากที่สุด ก็กะลังยืดๆไป อยุ่ดีๆพี่คนนึงก็มาดึงขาฉีกออกไปเลย ซึ่งตอนนั้นหนูรู้สึกเลยว่ากล้ามเนื้อตรงต้นขาด้านในมันฉีกเเล้ว เจ็บมาก เดินไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังทนยืดต่อไปอีกหน่อย พอจะกลับบ้านนี่ เดินลงบันไดไม่ได้แล้วค่ะ
วันรุ่งขึนน้องก็ยังจะไปซ้อมอยู่ น้องบอกพี่เขาว่า วันนี้ไม่ขอวิ่งเพราะเจ็บขามาก(เดินยังไม่ไหวเลย) พี่เขากลับบอกว่า "ปีก่อนนี้เพื่อนของพี่เขาโดนฉีกขาจนห้อเลือดยังวิ่งได้เลย แต่หนูจะไม่วิ่งก็ได้แล้วแต่นะคะ" หนูก็อึ้งเลยเพราะ ขนาดหนูเดินยังเดินไม่ได้เลยยังจะไซโคให้หนูไปวิ่งอีกหรือ?
หนูรู้สึกว่า ที่ตรงนั้นไม่มีความรักความเข้าใจเลยอะค่ะ แล้วตอนนี้การซ้อมก็หนักมาก แล้วจะหนักขึ้นอีกจนถึงวันแข่ง แต่หนูก็เดินมาจนถึงครึ่งทางแล้ว หนูควรจะทำไงดีอะคะ มีอะไรที่หนูต้องปรับความคิดไหม? การเป็นลีดมันเป็นความฝันก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเอาชีวิตเข้าแลก ขอความกรุณาพี่ๆช่วยแสดงความคิดเห็นด้วยนะคะ
#2
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 05:37 PM
แต่ถ้าเริ่มทุกข์ทั้งกายและใจแล้วละก็ ผมเห็นว่าควรหากิจกรรมอื่นทำแทนดีกว่าครับ...
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#3
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 05:50 PM
ส่วนที่ผ่านมาได้ถึงตรงนี้ก็น่ายกย่องแล้วนะครับ เคยเห็นคนที่เป็นลีด เค้าก็ซ้อมกันหนักๆทั้งนั้น แต่เป้าหมายของเขายังไม่บรรลุ จึงสู้ต่อ แม้จะหนักเพียงใดก็ตาม เค้าก็ผ่านมาได้ ลองคิดดูครับ ความฝันที่ทำให้เป็นจริงน่าภูมิใจดีนะครับ
#4
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 05:53 PM
น้องต้องหยุดพิจารณาและตอบตัวเองให้ได้อย่างที่คุณฝันที่เป็นจริงแนะนำ
แต่อย่าลืมนะคะว่า ชีวิตหนึ่งของคนเรา มีความฝันได้หลายอย่าง
เราฝันอยากเป็นโน่น อยากเป็นนี่
ในความเป็นจริงอาจไม่ได้มาทั้งหมด
เพราะบางฝัน ต้องแลกด้วยอะไรเยอะแยะที่เราไม่อาจจะแลกได้
และเนื่องจากเป็นความฝัน จะทำให้เป็นจริงก็ต้องอดทนและลงมือ
แต่ถ้ามันทรมานกายและใจเกินไป
จะลองพิจารณาหาฝันใหม่ๆบ้างไหมคะ
เผื่อจะพบอะไรที่ดียิ่งกว่าเดิม
ขอให้โชคดีค่ะ
เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน
#5
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 07:52 PM
พี่ว่าลองทำให้ดีที่สุด ถ้าเลิกซ้อม พี่เค้าเข้ามาดูแลเราดี ก็แสดงว่าเค้าแค่ไม่อยากให้เราอ่อนแอ แต่ก็ห่วงเรา แต่ถ้าท้ายสุดก็แค่ใช้อำนาจโขกสับ ก็ช่างเค้าเถอะครับ สิ่งใดที่ดี เราจำไว้ใช้ สิ่งใดไม่ดี อย่าไปทำกับผุ้อื่น เช่น เพื่อน หรือ รุ่นน้องในอนาคต .... ตน แลเป็นที่พึ่งแห่งตน เป็นกำลังใจให้นะครับ สำหรับบททดสอบเบื้องต้นในวัฏฏะสงสาร
#6
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 08:16 PM
#7
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 08:22 PM
หลับตาเบา ๆ ผ่อนคลายสบาย ดวงใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย
ที่นี่จะมีทางออกที่ดีให้พี่เสมอ
คืออยากจะบอกว่าคนเราสังขาร ร่างกาย ไม่เหมือนกันนะครับ
กิจกรรมบางอย่าง บางคนก็ไหว สบาย อดทนได้
แต่บางคนก็อาจต้องหามส่งโรงพยาบาลก็มี
ตัวเราเองรู้ตัวดีที่สุดละครับ ว่า Limit ของเราอยู่ที่ไหน
พี่ว่าอย่าไป serious กับมันมากเลย
มาตามหาฝัน(องค์พระ)ภายในกันดีกว่าไหมครับ
#8
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 08:30 PM
#9
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 09:24 PM
พี่ไม่มีความเห็นว่า น้องควรเดินหน้าต่อไป หรือ ถอนตัว นะครับ เพราะน้องควรพิจารณาด้วยตัวเองดีที่สุด ฝันของน้อง น้องต้องคิดเอง ตัดสินใจเอาเอง
ถ้าพี่บอกให้เลิก น้องอาจจะเสียใจภายหลัง แล้วมาคิดว่า ไม่น่าเชื่อพี่เลย
หรือ ถ้าพี่บอกให้น้องเดินหน้าต่อ แล้วเกิดเจ็บป่วยอะไรขึ้นมา ก็อาจจะโทษพี่ได้อีก
ร่างกายไหว ไม่ไหว น้องต้องสังเกตด้วยตนเอง
ถ้าเลิกตอนนี้ จะเสียใจภายหลังไหม อันนี้ ก็ต้องลองถามตัวเองดู
เพื่อนคนอื่น เค้าก็ลำบากแบบนี้ไหม เค้าทนได้ไหม
ถ้าน้องลำบาก แล้วน้องผ่านไปได้ น้องจะดีใจ ภูมิใจกับความสำเร็จไหม หรือ เฉยๆ กับมัน
การทำอะไรมันก็ลำบากทุกอย่างนะครับ ยิ่งถ้าเป็นความฝันแล้วก็ต้องลองพิจารณาดูให้ดี ก่อนที่จะยกเลิกมันไป ไม่อย่างนั้นแล้วอาจจะเป็นสิ่งที่ติดค้างใจตัวน้องไปตลอดชีวิตก็ได้
แล้วการที่น้องบอกว่า ทำไมพวกพี่เค้าโหดจัง ก็เป็นเรื่องปกติครับ นี่คือ เชียร์ลีดเดอร์ ถือเป็นหน้าตาของคณะ ของมหาลัย และ คงจะเป็นการแข่งแบบกลายๆ ระหว่างคณะ ระหว่างมหาลัยด้วย เค้าคงอยากได้คนที่ทุ่มเท ทั้งกายและใจเต็มร้อย สภาพร่างกายสู้กับการฝึกหนักแบบนี้ได้ ไปเป็นตัวแทนคณะ ตัวแทนมหาลัย มากกว่าคนที่มีความตั้งใจ ครึ่งๆ กลางๆ ลำบากแล้วก็ถอย ร่างกายไม่พร้อม สู้ไม่ไหว อะไรประมาณนี้นะครับ พี่เค้าคงคิดว่า การฝึกแบบนี้แหละ ที่จะแยกเพชรออกจากกรวด แล้วเพชรเหล่านี้แหละ ที่จะเป็นตัวแทนของคนทั้งหมด
ความเห็นของพี่อาจจะตรงไปหน่อย แต่พี่คิดว่า นี่คือความจริง
น้องเข้ามหาลัยแล้วนะครับ ถือว่า เป็นผู้ใหญ่ครึ่งตัวแล้ว ไม่ใช่เด็กมัธยมอีกต่อไปแล้วนะครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#10
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 11:20 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#11
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 11:26 PM
#12
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 12:01 AM
การเป็นเชียร์ลีดเดอร์เป็นความฝันของใครหลายคน และคิดจะเอาเป็นความทรงจำที่ดีเมื่อจบการศึกษาไปแล้ว
ซึ่งคนเป็นเชียร์ลีดเดอร์ได้ ต้องร่างกายแข็งแรงจริงๆ อดทนซ้อมหลายเดือน ...เพื่อใช้วันๆ เดียวเท่านั้น
แล้วสังขารร่างกายเราจะไหวหรือเปล่า
ถ้าบาดเจ็บไปแล้วจะมีผลต่อสภาพร่างกายในอนาคตอย่างไรบ้าง เราเองจะยอมรับได้ไหม?
ลองชั่งน้ำหนักดูนะคะว่า เราควรทำอย่างไร
จะเอาสั้นๆ หรือ จะเลือกเอายาวๆ
#13
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 12:10 AM
ตอนเราอยู่ม.1เราไปเข้าชมรมคาราเต้ เค้าให้กำหมัดวิดพื้น50ครั้ง ซิทอัพอีก50บริหารหน้าท้องและกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ อีกหลายท่า เตะต่อยอีกเป็นพันๆครั้งซ้อมอาทิตย์ละ2วัน ก่อนแข่งซ้อมทุกวันวันละ3ชม.ขึ้นไป แถมเวลาซ้อมต่อสู้ยังโดนต่อยกระเด็นตั้งหลายครัง มันขึ้นอยู่กับว่าเราสนุกกับมันรึเปล่า ส่วนกล้ามเนื้อฉีกน่ะเราเคยเป็นมาหลายครั้งแล้ว มันเป็นอาการที่ร่างกายสามารถรักษาตัวเองได้ครับ (น้าเราที่เป็นหมอเค้าบอก) เวลาเป็นก็ให้ทายานวด
ที่ต้องระวังคือเส้นเอ็นครับ ถ้าขาดก็จบกัน
สิ่งที่ต้องแข่งขันแย่งชิงรางวัลกันก็งี้แหละครับ ต้องเข้าใจว่าพี่ๆทีมงานเค้าก็อยากได้ถ้วยไว้ให้รู้สึกภาคภูมิใจเหมือนกัน
ต้องถามตัวเองว่ารักเชียลีดเดอรึป่าว ถ้ารักก็ลุยต่อไปเลยครับ
เพิ่มเติมนิดนึง น้าเราเป็นหมอเค้าบอกมาครับว่าอาการกล้ามเนื้อฉีกร่างกายสามารถรักษาตัวเองได้ครับ
#14
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 12:46 AM
ขอขอบคุณพี่ทุกๆคนมากนะคะที่ให้คำแนะนำดีๆกับน้อง
จากที่คิดไปคิดมาน้องก็จะลองสู้ต่อไปดูก่อนค่ะ อดทนให้มากที่สุด แต่ไม่ให้ร่างกายเป็นอันตรายแน่นอนค่ะ ไม่ไหวก็พัก เจ็บก็หยุดก่อน แต่ถ้ามันเกินความสามารถของร่างกายที่จะทนไหวแล้ว น้องก็จะลาออกค่ะ แล้วก็จะไม่เสียใจทีหลังด้วย เพราะได้ทำเต็มที่แล้ว ^^
ยังไงร่างกายนี้ก็มีไว้เพื่อสร้างบารมี เพื่อทำให้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน นี่คือเป้าหมายสูงสุดที่แท้จริงของน้องค่ะ
คำนี้คมจริงๆค่ะ ฮึดขึ้นมาเลยเชียว น้องก็ได้คิดเลยว่า อืม..เราจะเป็นเพชร หรือ เป็นกรวด
มีหลายคนค่ะที่หน้าตาดีหุ่นดี แต่ทำได้สองสามวันก็ลาออกไปเพราะทนไม่ไหว บางคนป่วยเป็นโรคหัวใจแล้วเพิ่งรู้ตัว ก็เพิ่งลาออกไปเมื่อวานก่อนนี้ บางคนมีความตั้งใจมาก พยายามมาก แต่หน้าตากับหุ่นไม่ผ่าน ก็โดนคัดออก(เพื่อนน้องเองแหละค่ะ เสียใจกับมันมาก)
ต่อไปถ้าท้อ จะมาหากำลังใจที่นี่นะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะสำหรับทุกคำแนะนำและกำลังใจ
Ps. ถ้าอดทนจนถึงวันนั้นได้ จะเอารูปมาโพสให้ดูนะคะ ^^
#15
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 12:54 AM
1. ไม่เป็นความชั่ว คือ "ละชั่ว" ซึ่งดูจากที่เล่ามาพี่ว่าก็คงไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดี สร้างสรรค์ด้วยได้ใช้ความสามารถฝึกทักษะอีกด้านให้กับตัวของเรา
2. เป็นความดี คือ "ทำดี" พี่ว่านะ กรณีนี้ชักจะไม่ค่อยเห็นภาพชัดนะ เพราะการที่เราจะทำดีนั้นอ่ะในความเห็นของพี่นอกจากทำดีเพื่อผู้อื่นแล้ว เราก็ต้องทำดีเพื่อตัวเองด้วย ถ้าเราร่างกายเจ็บป่วยแล้วปล่อยให้สถานการณ์บังคับอย่างนี้ก็เท่ากับไม่ได้ทำดีต่อตัวเองนะพี่ว่า สรีรยนต์หรือร่างการเรานี้มีไว้เพื่อสร้างบารมีนะ อย่าลืม
3. ทำไปแล้วรักษาใจให้ผ่องใสได้หรือไม่ คือ "ทำใจให้ใส" นั่นเอง อ่านจากที่เล่ามาพี่ว่านะตอนนี้เราใจขุ่นมัวแน่เลย ถ้านึกถึงเรืองนี้ ถ้าอย่างนี้เปลี่ยนมาคิดพูดทำเรื่องดีๆดีกว่านะ หรือถ้าเรารักที่จะทำกิจกรรมนี้ก็ต้องปรับวิธีคิดใหม่ให้เราคิดหรือทำแล้วเอื้อต่อการรักษาใจให้ใสได้
อีกอย่างนะ เวลาเราจะเลือกทำกิจกรรมอะไรใหมหาวิทยาลัย นอกจากจะ "ทำดี ถูกดี แล้ว ต้อง...พอดี...ด้วย" เพราะการเป็นนักกิจกรรมที่ดีต้องทั้ง "เก่งและดี" นะครับ
ปล.สมัยพี่เรียนมหาวิทยาลัยพี่ก็เป็นตัวแทนคณะถือดามฯไม้หนึ่งนะ แต่ก็ไม่ได้ถูกฝึกซ้อมหนักจะดูแล้วเป็นการเบียดเบียนความใสของใจเช่นนี้
สู้ๆ นะครับ
จาก พี่อาท (มีไรแอดมาคุยกันได้ทางเอ็มนะครับ [email protected], [email protected])
พ่อ...คือเมฆขาวบนผืนฟ้าใส
พ่อ...คือริ้วคลื่นโถมซบทราย
พ่อ...คือร่มไม้บนทางฝัน
พ่อ...คือสายลมเย็นในวันร้อน
พ่อ...คือบทกลอนปลุกปลอบขวัญ
พ่อ...คือความงดงามของคืนวัน
พ่อ...คือความภาคภูมิใจของฉันทั้งชีวิต
Add มาสนทนาธรรมกันได้นะคร้าบ :--> [email protected]
#16
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 02:13 AM
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#17
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 08:23 AM
ก่อนอื่นพี่อยากให้น้องลองคิดดูหาคำตอบในใจของน้องดูก่อน และขอถามน้องก่อนเลยนะจ๊ะว่าน้องรักและอยากที่จะเป็นเชียร์ลีดเดอร์จริงๆหรือ ไม่ใช่ว่าเห็นคนอื่นเป็นหรือถูกคนอื่นเชียร์ว่ามันดีอย่างนู้นอย่างนี้ ถูกรุ่นพี่เชียร์มาว่ากีฬานี้เป็นความใฝ่ฝันของผู้หญิงทุกคน หนูเลยคิดเอาอย่างบ้างนะจ๊ะ ต้องอยู่ที่ใจตัวน้องเองนะจ๊ะว่าตัวน้องอยากเป็นเชียร์ลีดเดอร์จริงๆ
ถ้าหากน้องอยากเป็นเชียร์ลีดเดอร์เพราะใจน้องรักจริงๆล่ะก็ พี่ก็เชียร์ให้น้องลุยต่อเลยจ๊ะ อย่าได้ท้อแท้กับอุปสรรคหรือความยากลำบาก เพราะมันจะเป็นตัวฝึกหัดขัดเกลาจิตใจน้องขั้นพื้นฐานให้น้องได้เสริมวิริยะบารมี และขันติบารมีในตัวของน้อง อยากจะให้น้องได้ดูตัวอย่างจาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราก็ได้ กว่าท่านจะได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน ท่านต้องทนบำเพ็ญทุกรกิริยาเป็นเวลาถึง6ปี โดยที่ท่านมิได้ทรงย่อท้อ และปราศจากเสียงเชียร์ ความรัก และกำลังใจจากผู้ใด ท่านบำเพ็ญโดยอาศัยกำลังใจในบารมีทั้ง10ประกาศของท่านที่ทรงบำเพ็ญมาตลอด20อสงขัยแสนมหากัปของท่าน และแน่นอน1ในบารมีที่ผลักดันให้พระพุทธองค์ทรงมีชัยชนะในการบำเพ็ญทุกรกิริยาพี่มั่นใจว่าก็คือ วิริยะบารมีและขันติบารมีนี้เอง ในความคิดด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของพี่ ถ้าหากพระองค์ขาด2สิ่งนี้ พระองค์ท่านก็คงล้มเลิกความตั้งใจไปนานแล้วจริงไหมจ๊ะ เพราะฉนั้น หากน้องรักที่จะอยากเป็นเชียร์ลีดเดอร์ล่ะก็ ลุยเลยจ๊ะ ถือว่าเป็นการฝึกวิริยะบารมีและขันติบารมีในตัวของน้อง และอยากให้น้องจำไว้นะจ๊ะ เรายังเป็นมนุษย์ การที่จะให้ได้มาซึ่งความสำเร็จสักอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย หากขาดความอดทนอดกลั้นและความเพียรพยายามนะจ๊ะ สู้ๆ จงสู้ต่อไปหากน้องรักในสิ่งนั้นจริงๆ ^ ^ / YO!
ปล. อันนี้เป้นความเห็นส่วนตัวของพี่นะจ๊ะ พี่ว่าการเป็นเชียร์ลีดเดอร์มันไม่ดีเท่าไหร่เลยอ่ะจ๊ะ เพราะไหนจะต้องแต่งตัวแบบรัดรูป บางครั้งต้องโชว์เนื้อโชว์หนัง มันดูแล้วไม่เหมาะกับผู้หญิงนักสร้างบารมีอย่างเราเลยนะจ๊ะ ถ้าทีมมหาลัยของน้องเป็นอย่างนั้น เมื่อวันหนึ่งวันใดน้องได้เป็นหัวหน้าทีมหรือหัวหน้าชมรม อยากให้น้องปรับเปลี่ยนในจุดนี้นะจ๊ะ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#18
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 08:41 AM
1. ถามตัวเองก่อนเลยค่ะ ว่า เราทำเพื่ออะไร
ถ้ามันเป็นความฝัน อยากเป็นมากๆ และได้โอกาสแล้ว ตอนนี้รู้สึกว่า ต้องอดทนมากๆ ทำไมต้อง...ขนาดนี้ ทำไมต้อง อย่างนั้น อย่างนี้ ก็เริ่มที่ ข้อ 2 ค่ะ
2. คนอื่นทนได้มั๊ย คนทั้งหมดที่ฝึกอยู่กับเรา มีกี่คน คนอื่นเค้าเก่งกว่าเรางั้นหรือ เค้าอดทนกว่าเรางั้นหรือ หรือ ความเป็นอยู่โดยปกติของเรา เราถูกประคบประหงม เป็นอย่างดี เลยทำให้มีความอดทนต่อการบีบคั้น หรือ ความกดดันต่ำ
ทุกอย่าง มีเหตุและผลอยู่ในตัวของมันอยู่แล้วค่ะ เพียงแต่ ใช้ สติ ในการพิจารณา แล้วจะได้คำตอบที่ดี แน่นอน
ปล.พี่ koonpatt เป็นคนที่ถ้าชอบอะไร จะทนได้ทุกอย่างค่ะ ไม่ว่า ทนเจ็บ ทนเหนื่อย หรือ ทนคน แต่ถ้าใจไม่รักนี่ ไม่เอาเลยค่ะ แม้แต่นี๊ด....เดียว
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#19
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 09:25 AM
หนูก็เป็นมาแล้ว แต่อาจจะไม่หนักเท่า แต่ขนาดนั้นลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว ไม่คุ้มค่ะ คนรอบข้างก็คนพาลทั้งนั้น ซ้อมจนดึกแต่เอาไปใช้ทำอะไรได้คะพอโตขึ้นแล้ว เอาเวลามาศึกษา มาเรียนดีกว่าค่ะ แก่ไปก็ยังใช้ได้ หลีดนี่ 30 ก็เล่นไม่ได้แล้วล่ะค่ะ อย่างแข็งแรงสุดก็ 40 แต่นั่นวัยกระดูกจะหักก่อนกล้ามเนื้อฉีก
แต่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวนะคะว่าอยากแค่ไหน แต่ถามตัวเองค่ะว่าเวลาที่ใช้ซ้อมกับคนไม่น่าคบหานี่เอาไปทำอย่างอื่นดีกว่าไหม หรือว่าอย่างนี้ดีอยู่แล้วกับทุกอย่าง
ค่อยๆคิดนะคะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#20
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 10:10 AM
ถ้าถามพี่นะ พี่ว่า เลิกเป็นหลีด แต่เอาเวลามาหัดเรียน photoshop Illustrator flash เขียนโปรแกรม วาดรูป หรือทำอะไรที่น้องชอบรองลงมากว่าการเป็นหลีด ที่เป็นประโยชน์กว่านี้จะดีกว่า นอกจากจะเป็นงานอดิเรก โดยที่ไม่เจ็บตัว และไม่เสียความรู้สึกแล้ว (เพราะยังไงเขาก็เป็นแค่ชาวโลกที่คิดแต่จะเอาชนะ เราไปทำงานด้วย เขาก็ไม่แคร์หรอกว่าเราจะเป็นไง เพราะยังไง เขาก็ต้องชนะ) ยังเป็นงานอดิเรก ที่เอาไว้ใช้ตอนโตทำมาหาเลี้ยงชีพ และช่วยงานพระพุทธศาสนาได้ด้วย ได้บุญอีกต่างหาก แต่เป็นหลีด เสียเวลาไปซะมาก แต่ประโยชน์น้อยนิด โทษมากกว่าเยอะ
เพราะการเป็นหลีด ก็เป็นไว้เพื่อโชว์ความสวยงาม ยั่วยุกิเลส เพศตรงข้าม ที่เขาเอามาลงตามหน้าหนังสือพิมพ์ ลงในเน็ต ไงคะ พี่เห็นแล้ว ก็คิดได้แค่ว่า มันเป็นบันไดไปสู่การเป็นดาวมหาลัย หรืออาชีพที่ต้องไปโชว์ตัว เช่นนางงาม นางแบบ ในอนาคต เท่าที่พี่มองนะ มันก็เป็นมิจฉาอาชีพอยู่ดีน่ะค่ะ เป็นความภาคภูมิใจ ที่ได้มาด้วยใจหมอง (โดยที่เราไม่รู้ตัว) ก็หาอะไรที่ทำแล้วใจใสๆ ทำแทนดีกว่านะคะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#21
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 01:44 PM
การซ้อมก็เริ่มมาได้สองเดือนแล้วค่ะ เหลือเวลาอีกสองเดือนก่อนจะถึงวันเเข่ง การซ้อมช่วงแรกๆก็หนักเหมือนกันแต่ยังไม่เท่าไหร่ เวลาซ้อมคือ ห้าโมงครึ่งถึงสี่ทุ่มค่ะ เรื่องเวลานี่ไม่มีปัญหาค่ะ ก่อนสอบพี่เค้าจะหยุดซ้อมหนึ่งอาทิตย์ให้อ่านหนังสือกัน เรื่องการบ้านก็ทำเสร็จเรียบร้อยทุกอย่างไม่มีปัญหา
ฝัน
1.ฝันเฟื่อง คิดเรื่อยๆเปื่อยๆไม่ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน นำไปสู่ความฟุ้งซ่าน
2.ฝันใฝ่ ปรารถนาที่จะสานฝันให้เป็นจริง
เรื่องของน้องฟังแล้วเป็นฝันใฝ่นะ ไม่รู้ว่าเป็นการแข่งขัน ปอม ปอม เชียร์ลีดเดอร์ระหว่างมหาวิทยาลัยหรือเปล่า
รู้สึกว่าตอนนี้ความฝันใกล้จะเป็นจริง แต่พอมีการแข่งขัน(แบบเอาเป็นเอาตาย-ยึดเกียรติศักดิ์ศรี)ขึ้นมา ทำให้ผู้ฝึกสอนดูจะละเลยความปลอดภัยของน้องนะ
มาถึงตอนนี้น้องคงต้องพิจารณาเองว่า"คุ้มหรือเปล่า"ที่จะเสี่ยงกับการบาดเจ็บมาแลกกับการสร้างฝันซึ่งอาจไปถึงหรือไม่ถึงดวงดาวก็เป็นได้
เป็นไปได้ไหมที่เราจะถอนตัว เลือกฝันแบบเป็นเชียร์ลีดเดอร์เฉพาะกิจ เช่น เวลารับน้อง เวลาร่วมกิจกรรมออกค่าย ฯลฯ
แต่อยากจะบอกน้องว่ามีเชียร์ลีดเดอร์ประเภทหนึ่งให้คุณสูงสุดกับทุกๆคน คือ ผู้นำบุญ ใกล้แค่เอื้อมไม่ไกลเกินฝัน เป็นได้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ด้วยคุณสมบัติเพียงอย่างเดียว คือ"ถ้าได้ทำ ก็ทำได้"
#22
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 03:04 PM
เหมือนจะฝึกให้รู้จักอดทน รับผิดชอบ...แต่ผิดแบบไปหรือปล่าวไม่รู้
#23
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 03:45 PM
แต่ถ้าเริ่มมีความคิดตรงข้ามกับเหตุผลข้างต้น เลิกเลยค่ะ
ถนอมสรีระยนต์นี้ไว้สร้างบารมีดีกว่า
#24
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 04:19 PM
เรื่องรุ่นพี่นี่ก็คิดซะว่าฝึกวินัยและความอดทนของเราซะก็แล้วกัน
ถ้าพี่เป็นน้อง ถ้าสภาพร่างกายยังไหว ก็คงทำไปจนแข่งเสร็จ
เพราะเห็นน้องบอกว่าเฉพาะปีหนึ่งอย่างเดียวนี่คะ
เอาไว้เป็นความภูมิใจส่วนตัวว่าครั้งหนึ่งในชีวิตฉันเคยทำสำเร็จแล้วนะ
พอขึ้นปี 2 ก็เลิกขาดไปเลย
อ้อ อย่าลืมดูด้วยว่าเบียดเวลาเรียน เวลาปฏิบัติธรรมรึเปล่า
น้องบอกว่าเรื่องเรียนไม่มีปัญหา งั้นเรื่องปฏิบัติธรรม
ดูว่ามันทำให้เรานั่งธรรมะได้ยากขึ้น มีเวลาน้อยลงไหม
ถ้าน้องแบ่งเวลาได้ดี ก็คงไม่เป็นไร
ถ้าทำให้ไม่ได้นั่งธรรมะ ก็ต้องคิดก่อนว่า เราอยากทำอย่างนี้จริงๆเหรอ
แต่สำหรับคนอื่นที่แม้จะไม่ซ้อมก็ไม่นั่งธรรมะอยู่แล้ว ก็นับเป็นกิจกรรมที่ดีค่ะ
#25
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 09:30 PM
MIHARU ก็เคยเป็นหลีดเดอร์ (แต่ไม่ใช้หลีดปอมปอมที่ต้องยกขา ฉีกขา) โดนรุ่นพี่ไซโคลฝึกหนักมาก แต่ถึงจะไซโคลยังไงก็ไม่สนใจ จะพูดยังไงก็ช่าง เราทำดีที่สุดแล้ว บางทีก็ดูเหมือนไม่เชื่อฟัง แต่เราก็ไม่ได้ทำให้เค้าผิดหวังนี่ พอถึงเวลาเราเป็นรุ่นพี่ที่ต้องไปฝึกรุ่นน้องบ้าง MIHARUก็ล้มเลิกระบบไซโคลไปเลย มันพังไปตอนรุ่นของ MIHARU นี่แหละ ก็โดนรุ่นพี่ค่อนขอดเหมือนกัน แต่เราคิดว่าไม่เห็นจำเป็นจะต้องดุ ต้องไซโคลกันเลย พูดกันดีๆ ซ้อมแบบสนุก ยิ้มไปหัวเราะไป มันก็ออกมาดี ดีกว่าด้วยซ้ำ แถมรุ่นพี่รุ่นน้องยังรักกัน สนิทสนมกันดีด้วย
#26
โพสต์เมื่อ 02 September 2006 - 09:23 PM
เพราะการเป็นเชียร์ลีดเนี่ยเหมือนเป็นดาวมหาลัย เหมือนมีภมรมาบินว่อนๆ รอบดอกไม้ จนอาจเวียนหัว
ถ้าภมรนั้นเป็นคนไม่ดีเข้ามาใกล้ หรือดีแต่ด้านหน้า แต่ว่าในใจไม่ค่อยดี ก็ต้องระวังตัวนะ
(ส่วนน้องจะพิจารณาอย่างไร ก็เป็นส่วนตัวของน้องแล้วละ เพราะเป้าหมายชีวิตของแต่ละคน ต่างก็มีของตัวเอง)
#27
โพสต์เมื่อ 04 September 2006 - 12:21 PM
เพราะการมีตางรางกิจกรรมเยอะๆ ในแต่ละวันก็อาจทำให้อ่อนเพลีย มีเวลาน้อย แล้วอาจมีผลให้นั่งสมาธิได้น้อยลงหรือขาดไปก็ได้
ธรรมะควรต้องควบคู่ไปกับการดำเนินชีวิต
#28
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 10:34 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#29
โพสต์เมื่อ 07 October 2006 - 12:46 AM