บูรพาจารย์วิชชาธรรมกาย
#1
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 06:34 PM
คำว่า บูรพาจารย์วิชชาธรรมกาย นอกจาก
1. พระเดชพระมงคลเทพมุนี
2. คุณยายมหารัตนอุบาสิกาทองสุก
3. คุณยายมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง
(ที่ลูกเคารพสุดเศียรเกล้า)
แล้วยังมีท่านอื่นอีกมั้ยคะ ที่ท่านเป็นบูรพาจารย์วิชชาธรรมกายอยู่ที่ดุสิตบุรีน่ะค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 08:44 PM
ก่อนอื่นต้องแยกความหมายของคำว่า
ปฐมาจารย์ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย /
มหาปูชะนียาจารย์วิชชาธรรมกาย /
ครูอาจารย์ที่สามารถสอนวิชชาธรรมกาย
1 ) ปฐมาจารย์ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย มีเพียงท่านเดียว คือ
พระเดชพระคุณ พระมงคลเทพมุนี สด จนฺทสโร
2 ) มหาปูชะนียาจารย์วิชชาธรรมกาย ทั้งที่ยังมีกายมนุษย์และกายทิพย์ในดุสิตาเทวภูมิ
ซึ่งมีมากมายหลายท่านตามแต่ใครจะเคารพมากเป็นพิเศษตามความคุ้นเคย เช่น
ศิษย์วัดพระธรรมกายคุ้นเคยกับ พระเดชพระคุณหลวงปู่ หลวงพ่อและคุณยายอาจารย์ เป็นหลัก
ส่วนศิษย์ที่อื่น ก็มีมหาปูชะนียาจารย์วิชชาธรรมกาย ตามที่คุ้นเคย
3 ) ท่านที่เป็นครูอาจารย์วิชชาธรรมกาย ก็มีมากมายหลายท่าน
ทั้งที่ครูที่เราเรียนธรรมปฏิบัติกับท่านโดยตรง
หรือครูอาจารย์วิชชาธรรมกายที่เรารู้จักในปัจจุบัน
ทั้งที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ วัดพระธรรมกายหรือที่อื่นก็มี
รวมถึงครูอาจารย์ที่สอนวิชชาธรรมกายในยุคต้นวิชชา ที่เราเกิดไม่ทันท่าน
ก็มีมากมายทั้งภิกษุและอุบาสิกาหรือแม่ชี
ส่วนบูรพาจารย์วิชชาธรรมกาย
คิดว่าแต่ละคนมีอาจารย์คนแรกที่มีพระคุณถ่ายทอดสอนให้เราเข้าถึงธรรมะภายใน ได้เพียงท่านเดียว
เช่น
คุณยายอาจารย์ ทองสุก สำแดงปั้น ท่านเป็นบูรพาจารย์ ครูคนแรกที่สอนให้
ของคุณยาย อาจารย์ อุบาสิกา จันทร์ ขนนกยูง ปฏิบัติธรรมได้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน
ส่วนตัวเราหากได้เรียนธรรมะปฏิบัติกับครูท่านใดแล้วเราสามารถเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในได้
แม้เป็นการเข้าถึงธรรมในเบื้องต้น ยังทำวิชชาไม่ได้
ครูท่านนั้น สมควรยกท่านเป็นบูรพาจารย์วิชชาธรรมกายของเรา
ส่วนครูท่านใดที่สามารถสอนเราให้เข้าถึงการทำวิชชาได้ถูกต้องไปตามความเป็นจริง
ครูท่านนั้นเราสมควรเทิดทูนไว้ในฐานะ มหาปูชะนียาจารย์วิชชาธรรมกายของเรา
และ
ปฐมาจารย์ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย มีเพียงท่านเดียว คือ
พระเดชพระคุณ พระมงคลเทพมุนี สด จนฺทสโร
*** ป.ล. ***
่อีกมุมหนึ่ง ครูคนแรกในทางธรรมอาจแบ่งได้ 3 นัยยะ คือ
1 ) ครูทางธรรมคนแรก ที่เป็นบูรพาจารย์ที่สอนธรรมะด้านปริยัติธรรมให้กับเรา คือ
ท่านนำความรู้ที่มีในพระไตรปิฎกมาสอนเรา เช่น
พระ ภิกษุ สามเณร หรือ มารดาหรือ บิดา เพื่อน กัลยาณมิตร ฯล
2 ) บูรพาจารย์ของเราที่ทำให้เราสนใจศึกษาธรรมะด้านปฏิบัติธรรม เช่น
นายแดง เริ่มเรียนการนั่งสมาธิจากพระอาจารย์ สงบ
นายแดงจึงมีจึงมีพระอาจารย์ สงบ เป็นบูรพาจารย์ที่สอนการปฏิบัติธรรม
3 ) บูรพาจารย์ของเราที่มีส่วนโดยตรง สอนให้เราปฏิบัติธรรมได้เข้าถึงพระรัตนะตรัยภายใน เช่นกรณี
คุณยายอาจารย์ ทองสุก สำแดงปั้น ท่านเป็นบูรพาจารย์ ครูคนแรกที่สอนให้
ของคุณยาย อาจารย์ อุบาสิกา จันทร์ ขนนกยูง ปฏิบัติธรรมได้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน
ดังนั้นตามความเห็นของผม
ความเป็นครูอาจารย์ที่มีพระคุณถ่ายทอดวิชาความรู้ทางโลกและ
วิชชา ความรู้แจ้งในทางธรรมนั้นแต่ละคนสามารถมีครู อาจารย์ได้หลายท่าน
แต่
บูรพาจารย์วิชชาธรรมกายของแต่ละคนมีบูรพาจารย์วิชชาธรรมกาย
ได้เพียงคนละ 1 ท่านเท่านั้นครับ
ขอทราบความเห็นของท่านอื่นชี้แนะความรู้ที่ถูกต้องด้วยนะครับ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ
ไฟล์แนบ
#3
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 08:55 PM
การรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้หมดสิ้นไปจากวัฏสงสารไม่เคยเกิดขึ้น ฉะนั้น เราจะไม่เห็นว่ามีการสอนเรื่องนี้ในตำราเล่มใด ๆ มันก็ไม่แปลก แต่การปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้หมดไปจากวัฏสงสารนั้นมีมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนครับ ก็คือ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์นั่นเอง ตั้งความปรารถนาทั้งทีจะตั้งไปทำไมแค่หยิบมือ ดังนั้น จึงมีพระพุทธเจ้าอยู่ 3 ประเภท คือ พระวิริยาธิกพุทธเจ้า พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า และพระปัญญาธิกพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าที่นำสัตว์โลกหลุดพ้นไปได้มากที่สุด ก็คือ พระวิริยาธิกพุทธเจ้าที่สร้างบารมีมานานที่สุดนั่นเอง ในยุคสมัยของพระองค์นั้น ไม่มีคนชั่วเกิดขึ้นในโลกเลยแม้แต่คนเดียว เผยแผ่ธรรมะได้ทั่วโลก บรรลุธรรมกันทั้งโลก
แต่แม้พระพุทธเจ้าที่มีบารมีมากที่สุดที่สามารถบังเกิดขึ้นได้ ก็ขนสัตว์โลกไปได้แค่หยิบมือเดียว ถ้าเทียบกับสัตว์โลกทั้งหมด ดังนั้น การจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปให้หมด จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และวิธีการก็ต้องต่างออกไปเล็กน้อย ซึ่งก็ต้องเป็นวิธีการของธรรมเท่านั้น และเพราะยังไม่เคยมีใครทำสำเร็จ เพราะถ้าสำเร็จสัตว์โลกก็ต้องพ้นทุกข์กันหมดแล้ว ดังนั้น จึงไม่มีอะไรบอกได้ว่า ผู้ที่ตั้งความปรารถนาเช่นนี้จะทำได้สำเร็จหรือไม่ ต่อเมื่อสำเร็จแล้วนั่นแหละเราจึงจะรู้ แต่อย่าคิดว่าไม่เคยมีใครตั้งความปรารถนาเช่นนี้นะครับ
และความรู้ความเห็นของครูบาอาจารย์ท่านต่าง ๆ จัดเป็น ทรรศนะส่วนตน ท่านอาจจะเห็นว่าทางโน้นทางนี้ไม่เหมาะสม ท่านก็สอนของท่านไป โดยมากก็สอนด้วยความเมตตาเพื่อประโยชน์แก่ศิษย์ของท่าน แต่ก็มีลูกศิษย์ที่รักอาจารย์มากเกินเหตุ นำเอาสิ่งที่ท่านสอนมาล้างผลาญกับผู้อื่น อย่างนี้เสียชื่ออาจารย์หมดเลย อันนี้ลองพิจารณาดูก็ได้ บางคนไม่กล้าบอกว่าตนเองนับถืออาจารย์ท่านใด เพราะกลัวเสียชื่ออาจารย์แต่ตนเองก็เลิกทำตัวร้ายกาจไม่ได้ ในขณะที่บางคนนำชื่ออาจารย์มาข่มผู้อื่น เหมือนเอาชื่ออาจารย์มาแทนไม้หน้าสาม ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#4
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 09:04 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#5
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 09:33 PM
-----------------
แก้ไขโดย ฟ้าร้าง
22-09-49
22.46 น.
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#6
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 11:12 PM
คำว่า บูรพาจารย์ เรียกได้อีกอย่าง คือ ปฐมาจารย์
ส่วนปฐมาจารย์ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย นิยมเรียกย่อว่า
ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย หรือ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
ส่วนเจ้าของวิชชาธรรมกาย แท้จริงคือ
กายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอายตนะนิพพาน
***
ป.ล. 2***
การเรียนวิชชาธรรมกาย (ด้วยกายธรรมโคตรภู) คือ
การเรียนวิชชา ของพระพุทธเจ้า
หรือ
ความรู้แจ้งที่ต้องเรียนด้วยกายธรรม
และการปฏิบัติธรรมแบบวิชชาธรรมกาย ที่จริงควรเรียกว่า
วิธีการปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงกายธรรม
เพื่ออาศัยธรรมจักษุของกายธรรมไปศึกษาความรู้แจ้ง
ยังมีความรู้มากมายที่ไม่สามารถเรียนรู้ด้วยกายทิพย์และกายพรหม
เนื่องจาก ธรรมจักษุของกายธรรม สามารถเห็นได้รอบตัว รู้ได้รอบตัวในขณะเดียวกัน
ละเอียดกว่าทิพย์จักษุของกายทิพย์
ละเอียดกว่าสมันตจักษุของกายพรหม
และครอบคลุมทั้งนิพพาน ภพสาม โลกันต์
ขอทราบความเห็นของท่านอื่นชี้แนะความรู้ที่ถูกต้องด้วยนะครับ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ
#7
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 11:52 PM
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง
สุนทรพ่อ
มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ
#8
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 08:15 AM
#9
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 11:27 AM
ขอบคุณ พี่ กัลฯ ที่ได้ร่วมอธิบาย
ซึ่งทำให้ผมได้รับความรู้เพิ่มเติม...
ไม่ขอแสดงความเห็นนะครับ
![smile.gif](style_emoticons/default/smile.gif)
#10
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 01:12 PM
#11
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 01:27 PM
#12
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 05:34 PM
ส่วนท่านอื่นๆ ขอแนะนำว่า เวลานำเสนอข้อมูล ต้องระวังดังนี้นะครับ
1. ไม่ควรนำผู้หมดกิเลสแล้ว เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไปเปรียบเทียบกับผู้ยังไม่หมดกิเลสนะครับ เช่น เปรียบเทียบพระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตย ว่าบำเพ็ญมามากกว่า พระพุทธเจ้าของเรา เป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อข้อความปรากฏในที่สาธารณะย่อมไม่เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา และถ้าใจของเราเผลอไปลบหลู่คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาล่ะก็ โอ้โห ยากที่จะคาดคิดถึงวิบากกรรมเลยทีเดียว ดังนั้น ต้องระวังให้มากครับ
2. ไม่ควรกล่าวทำนองว่า เป้าหมายของฉันยิ่งใหญ่ ในขณะที่เป้าหมายของผู้อื่นมีคุณค่าน้อย อะไรทำนองนี้ เพราะย่อมเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ไม่ว่ากรณีใดๆ โดยเฉพาะเมื่อออกไปในที่สาธารณะ
#13
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 08:21 PM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#14
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 08:58 PM
ครูอาจารย์ที่สามารถสอนวิชชาธรรมกาย
ที่คุ้นๆ รู้สึกว่าคำนี้ จะไม่มีสระอะ นะ คือเขียนว่า ปูชนียาจารย์ ค่ะ
คุณ DANGDEE ลองเช็คคำอีกทีนะคะ
#15
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 10:52 PM
และเห็นด้วยกับพี่หัดฝันค่ะ ว่าต้องมีความระมัดระวังให้มากๆค่ะ
ส่วนท่านอื่นๆ ขอแนะนำว่า เวลานำเสนอข้อมูล ต้องระวังดังนี้นะครับ
1. ไม่ควรนำผู้หมดกิเลสแล้ว เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไปเปรียบเทียบกับผู้ยังไม่หมดกิเลสนะครับ เช่น เปรียบเทียบพระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตย ว่าบำเพ็ญมามากกว่า พระพุทธเจ้าของเรา เป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อข้อความปรากฏในที่สาธารณะย่อมไม่เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา และถ้าใจของเราเผลอไปลบหลู่คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาล่ะก็ โอ้โห ยากที่จะคาดคิดถึงวิบากกรรมเลยทีเดียว ดังนั้น ต้องระวังให้มากครับ
2. ไม่ควรกล่าวทำนองว่า เป้าหมายของฉันยิ่งใหญ่ ในขณะที่เป้าหมายของผู้อื่นมีคุณค่าน้อย อะไรทำนองนี้ เพราะย่อมเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ไม่ว่ากรณีใดๆ โดยเฉพาะเมื่อออกไปในที่สาธารณะ
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#16
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 11:09 PM
ที่คุ้นๆ รู้สึกว่าคำนี้ จะไม่มีสระอะ นะ คือเขียนว่า ปูชนียาจารย์ ค่ะ
คุณ DANGDEE ลองเช็คคำอีกทีนะคะ
ขอขอบคุณที่คุณ KATCH ทักท้วงมาครับ
ผมพิมพ์ผิดเองครับ
ที่ถูกต้องคือ
ปูชนียาจารย์
ตามที่ คุณ KATCH แก้ไขให้แหละครับ
ป.ล. 3
ปูชนียาจารย์ นั้นจัดเป็น
ปูชนียบุคคล
คือ บุคคลที่ควรบูชา ได้แก่
บุคคลหมดกิเลส เช่น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์และพระอริยบุคคล
ส่วนบุคคลที่แม้ยังไม่หมดกิเลส แต่ก็ควรบูชา ได้แก่
ภิกษุ หรือนักบวชที่เป็นฌานลาภีบุคคล
มารดา บิดา ผู้มีพระคุณต่อตัวเราเอง หรือ
ผู้มีทำประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติ บูชาเพื่อระลึกถึงคุณความดีของท่านเหล่านั้น
นอกจากปูชนียบุคคล แล้วยัง สิ่งที่ควรบูชาอีก 2 ประเภท คือ
ปูชนียวัตถุ วัตถุที่ควรบูชา เช่น พระพุทธรูป พระบรมสารีริกธาตุ ฯล
ปูชนียสถาน สถานที่ควรบูชา นอกจากปูชนียสถาน ๔ ในยุคพุทธกาลแล้ว
เจดีย์และสถูปที่เกี่ยวเนื่องด้วยพระรัตนตรัย ก็สมควรบูชาครับ เช่น
มหาธรรมกายเจดีย์ และ บรมพุทธโธ เป็นต้น
ส่วนการบูชา ว่าโดยย่อ มี 2 คือ
1 ) บูชาด้วยอามิสหรือวัตถุ ( ดู ทานวัตถุ 10 )
2 ) บูชาด้วยการปฏิบัติ คือ การละชั่ว สั่งสมความดี กลั่นใจให้ใสบริสุทธิ์
*** หากมีอะไรที่ไม่ถูกต้อง เชิญชี้แนะและแก้ไขให้ด้วยนะครับ สาธุ
#17
โพสต์เมื่อ 23 September 2006 - 09:21 AM
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#18
โพสต์เมื่อ 23 September 2006 - 10:05 AM
ใช้คำว่า "บูรพาจารย์" หรือ "บุรพาจารย์" ที่แน่ๆ ยังมีใช้อีกคำนึ่ไงครับ คือ "บุพพาจารย์"
ขอโมทนา สาธุการ ท่าน Tanay007 ที่ชี้แนะด้วยครับ สาธุ
ใน ป.ล. 3 ได้กล่าวถึง ปูชนียบุคคล คือ บุคคลที่ควรบูชา มี 2 แบบ ได้แก่
1 ) บุคคลที่หมดกิเลสแล้ว
2 ) บุคคลที่ยังมีกิเลส
แต่ปูชนียบุคคล ยังมีอีก 2 นัยยะ ในทัศนะของผม คือ
นัยยะที่ 2 ) ปูชนียบุคคล คือ บุคคลที่ควรบูชา มี 2 แบบ ได้แก่
1 ) ปูชนียบุคคลที่อยู่ในศาสนาจักร เช่น
ศาสนาพุทธ มีบุคคลที่ควรบูชา คือ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยบุคคล ๘ ภิกษุ สามเณร
2 ) ปูชนียบุคคลที่อยู่ในอาณาจักร เช่น วีรกษัตริย์และวีรสตรี , มารดา บิดา ครูบาอาจารย์
รวมถึงนักการเมือง นักปกครองหลายท่าน ที่ทำคุณประโยชน์ให้ชาติ บ้านเมือง ฯล
บุคคลในระดับ พระราชา มหากษัตริย์ เช่น
สมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระเจ้าตากสิน 2 กษัตริย์ที่เด่นเรื่องกอบกู้เอกราช ,
เรื่อยมาจนถึงพระมหากษัตริย์ทั้ง ๙ รัชกาลในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
บุคคลในระดับ นักการเมือง นักปกครอง ที่ทำคุณประโยชน์ให้ชาติ บ้านเมือง
นัยยะที่ 3 ) ปูชนียบุคคล คือ บุคคลที่ควรบูชา มี 2 แบบ ได้แก่
1 ) ปูชนียบุคคลที่เป็นส่วนตัวของตัวเรา เช่น มารดา บิดา บรรพชนต้นตระกูลของครอบครัวเรา
2 ) ปูชนียบุคคลที่เป็นส่วนรวม หรือ เป็นบุคคลสาธารณะ คือ
บุคคลที่หมดกิเลสแล้ว / บุคคลที่แม้ยังไม่หมดกิเลส แต่ก็ควรบูชา /
บุคคลที่อยู่ในศาสนาจักร / บุคคลที่อยู่ในอาณาจักร
**** ทานวัตถุ 10
1 ) อนฺนํ ข้าว
2 ) ปานํ น้ำ
3 ) วตฺถํ ผ้าสำหรับนุ่ง ห่ม
4 ) ยานํ ยานพาหนะ
5 ) มาลา ดอกไม้
6 ) คนฺธํ ของหอม
7 ) วิเลปนํ เครื่องลูบไล้
8 ) เสยฺยํ ที่นั่ง ที่นอน
9 ) อาวสถํ ที่พักอาศัย
10 ) ปทีเปยฺยํ ประทีป ให้แสงสว่าง
ที่นำเรื่องการบูชาบุคคลที่ควรบูชา ด้วยวัตถุ 10 ที่มีมาใน ทานวัถุ 10 เพราะเห็นว่าครอบคลุมดีแล้ว
และนอกจากการบูชาด้วย ด้วยวัตถุ 10 แล้ว
สำหรับปูชนียบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังเป็นปุถุชน เป็นเสขะบุคล ยังไม่พ้นกิเลส
นอกจากบูชาด้วยวัตถุทานแล้ว ยังสามารถ
- บูชาด้วยธรรมทาน เช่น สื่อธรรมะ
- บูชาด้วยปิยวาจาด้วยการสรรเสริญและสดุดีคุณความดีของปูชนียบุคคล
ได้ทั้งท่านยังมีชีวิตและสิ้นไปแล้ว
ผ่านบทเพลง โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ปาฐกถา หรือปิยวาจาวิธีอื่น ก็สมควรครับ
อ า นิ ส ง ส์ ก า ร บู ช า บุ ค ค ล ที่ ค ว ร บู ช า
๑. ยังความเห็นถูกที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
๒. ยังความเห็นถูกที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น
๓. ทำให้มีกิริยามารยาทสุภาพอ่อนโยน น่ารักน่านับถือ
๔. ทำให้จิตใจผ่องใส เพราะตรึกอยู่ในกุศลธรรมเสมอ
๕. ทำให้สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ขึ้นเพราะมีความสำรวมระวัง เป็นการป้องกันความประมาท
๖. ป้องกันความลืมตัวความหลงผิดได้ เพราะตระหนักอยู่เสมอว่า ผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่าตนยังมีอยู่
๗. ทำให้เกิดกำลังใจและอานุภาพอย่างมหาศาล สามารถคุ้มครองป้องกันตนให้พ้นจากอุปสรรคและภัยพาลต่างๆ
ได้
๘. เป็นการกำจัดคนพาลให้พินาศไปโดยทางอ้อม เพราะมีแต่คนบูชาบัณฑิตผู้มีคุณธรรม
๙. เป็นการเชิดชูบัณฑิตให้สูงเด่น ทำให้ท่านสามารถบำเพ็ญกรณียกิจได้สะดวกกว้างขวางยิ่งขึ้น
ฯลฯ
"ผู้ใด พึงบูชาท่านผู้อบรมตนแล้วผู้หนึ่ง แม้เพียงครู่เดียว
การบูชาของผู้นั้น
ประเสริฐกว่าการบูชาของบุคคลผู้บูชา (โลกิยมหาชน)
ด้วยทรัพย์เดือนละพัน ตลอดร้อยปี"
ขุ. ธ. ๒๕/๑๘/๒๙
มงคลที่ ๓ บูชาบุคคลที่ควรบูชา http://www.ibscenter...opic.asp?qId=19
#19
โพสต์เมื่อ 23 September 2006 - 05:09 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#20
โพสต์เมื่อ 24 September 2006 - 08:40 AM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#21
โพสต์เมื่อ 24 September 2006 - 05:47 PM