ในฐานะพ่อผู้มีลูกชายอายุ 7 ขวบ จะส่งเสริมมและพัฒนาธรรมะ เขาอย่างไร
#1
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 01:33 AM
1) ผู้เป็นพ่อควรส่งเสริมลูกชาย อายุ 7 ขวบอย่างไรเพื่อให้สามารถเรียนรู้วิชชาธรรมกายได้สำเร็จ ตามกำลังบุญบารมีของเขา
2) กิจกรรมไหนที่ควรให้เขาเริ่มทำตั้งแต่เบื้องต้น หรือยิ่งๆ ขึ้นไป
3) เวลาไปวัดจะให้อยู่กลุ่มไหนครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม
1) ปัจจุบัน เขาสามารถนั่งสมาธิได้ประมาณ 10-30 นาที ( สอนเขาโดยใช้เสียงหลวงพ่อนำนั่สมาธิ_MP3)
2) ครอบครัวสามารถส่งเสริมทุกกิจกรรม ของเขาได้ไม่จำกัด
3) ปกติไปวัดตามที่ครอบครัวพาไปและชอบที่จะไปวัดครับ ( งานบุญใหญ่ และอาทิตย์ต้นเดือนครับ)
4) บ้านอยู่กรุงเทพมหานคร และการเดินทางไม่เป็นป้ญหาครับ
#2
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 02:21 AM
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง
สุนทรพ่อ
มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ
#3
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 08:23 AM
ลูกสาว 8 ขวบอยู่อาสาสมัครต้อนรับระดับโลก (เรียกถูกมั๊ยน๊า)
ต้อนรับหลวงพ่อ เห็นมีกิจกรรมดี ๆ เยอะแยะเลยค่ะ
ทั้งปล่อยปลา นั่งสมาธิ เกมเสริมความคิด และมีการบ้านที่ปลูกฝังสิ่งดี ๆ มาให้ทำที่บ้านค่ะ
#4
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 08:59 AM
จำไม่ได้ว่าติดต่อเสาไหน ให้ลองถามที่เจ้าหน้าที่ภาคนครหลวงดูนะคะ
#5
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 11:16 AM
จำไม่ได้ว่าติดต่อเสาไหน
ติดต่อที่เสา N14 สภาธรรมกายสากล ครับ
#6
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 01:08 PM
และปิดเทอมก็มาบวชยุวธรรมทายาท จะได้เข้าใจอะไรๆ มากขึ้น
#7
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 01:21 PM
#8
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 01:29 PM
พาเด็กเข้าปฏิบัติธรรมในคอร์สของวัดตามความสมควร (ธรรมะจะก้าวหน้าก็จะอยู่ในช่วงปฏิบัติธรรมนี้ละครับ)
พยายามทำทุกอย่างอยู่ในสายกลาง ตั้งแต่ส่วนภายนอกคือ เลี้ยงดูอย่างดี แต่อย่าตึงหรือเครียดเกินวัยของเด็ก และที่สำคัญ ขอความกรุณาอย่าได้คาดหวังว่าเด็กจะได้นั้งสมาธิได้อย่างที่เรานึกคิดฝันไว้นะครับ ขอให้เด็กมีความรู้สึกว่า เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งในชีวิตเขาก็จะดีมาก
ขออนุโมทนาสาธุ ในกุศลจิตที่ประสงค์ให้ลูกเป็นดั่ง ดวงแก้วผู้ให้ความสว่างไสวแด่มวลมนุษย์ทั้งหลาย
#9
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 02:53 PM
ไม่ใช่นะต้องอายุ10 ขึ้นไปถึงจะบวชได้
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#10
โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 05:23 PM
ก็ผมหมายถึงพระอาจารย์ท่านคงมีคำแนะนำดีนะครับว่าจะต้องทำอย่างครับ สามเณรไม่ว่าจะอายุกี่ขวบผมก็เห็นพระอาจารย์ที่ดูแลเหนื่อยทุกทีละครับ(เคยเป็นพี่เลี้ยงมาแล้วครับผม)
ขอบคุณครับสงสัยจะจำผิดนะ
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง
สุนทรพ่อ
มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ
#11
โพสต์เมื่อ 23 September 2006 - 11:57 AM
ครับถ้าหากเขาสามารถเป็นดวงแก้วผู้ให้แสงสว่างแด่มวลมนุษย์ทั้งหลายคงเป็นสิ่งประเสริฐนัก แต่ก็ไม่ได้คาดหวังหรือบังคับ
เพียงแต่ทำในสิ่งที่เป็นปัจจุบันอย่างเต็มกำลัง ชี้นำและเตรียมการในสิ่งที่ดีที่สุดให้เขาครับ
และได้เข้าไปดูใน Web superkids ตามที่ได้กรุณาแนะนำ รับอายุ 7 -12 ปี และรายละเอียดอื่นครบถ้วนดีครับ ( เสา 14 สภาธรรมกายสากล)
ส่วนยุวกัลยาณมิตร ไปอ่านดูในหนังสือ YUWA CAMP ไม่เห็นกำหนดช่วงอายุไว้ครับ เพียงกล่าวถึงในบทกำเนิดบ้านและความเป็นมา ที่ 9 -15 ปี ( เสา N7 สภาธรรมกายสากล)
หากมีข้อแนะนำ ในเรื่องการเลี้ยงลูก การเตรียมการ การปฏิบัติ หรือกิจกรรมอื่ๆน ที่ควรแนะนำต่อเด็กๆ ช่วยกรุณาเพิ่มเติมให้ด้วยครับ
ขอขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำอย่างมากครับ
#12
โพสต์เมื่อ 23 September 2006 - 05:02 PM
ที่บอกว่าที่บวชได้นั้นที่วัดพระธรรมกายเองนะครับรับตั้งแต่10ขึ้นไปครับถ้าที่อื่นอาจจะใช่ที่วัดรับ10ขึ้นเป็นนโยบายของวันครับเพราะว่าเด็กจะสามารถที่รับรู้และสามารถทำอะไรได้บ้างแล้วเช่นต้องล้างจานที่ฉันไปแล้ว ต้องซักจีวรที่นุ่มห่มเอง เป็นต้นครับ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#13
โพสต์เมื่อ 23 September 2006 - 05:06 PM
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง
สุนทรพ่อ
มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ
#14
โพสต์เมื่อ 24 September 2006 - 01:27 PM
ให้ความรู้แก่เขาให้เพียงพอแก่การประคับประคองชีวิตในทางโลกและทางธรรม
และทำให้เขารู้สึกว่าพ่อแม่คือที่พึ่งที่ปรึกษาได้ทุกเรื่อง(ก็จะดีมาก)
#15
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 11:53 AM
มาให้อ่านครับ ไว้เป็นประโยชน์ต่อคุณพ่อ คุณแม่ของลูกทั้งหลาย
ทำ อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ ลู ก ดี
หน้าที่ของพ่อแม่ นอกจากทำให้เกิดแล้ว ต้องเลี้ยงลูกให้เป็นด้วย
ถ้าเลี้ยงไม่เป็น ชาตินี้ทั้งชาติจะต้องมานั่งทุกข์ใจเพราะลูกเกเร
เพื่อให้ลูกที่ดี พ่อแม่ควรจะเริ่มอบรมลูกตั้งแต่อายุเท่าไร จึงจะไม่สายเกินไป
การถ่ายทอดนิสัยใจคอจากพ่อแม่นั้น มี 2 ลักษณะ หรือ 2 ช่วง คือ
1. การถ่ายทอดลักษณะนิสัยใจคอทางกรรมพันธุ์
การถ่ายทอดลักษณะนี้ ต้องทำในช่วงตั้งแต่ลูกยังไม่มาเกิด
โดยทั่วไปเมื่อปฏิ#####วิญญาณจะมาเกิดในครรภ์ของผู้ใด เขาจะต้องมีกรรม
คือบุญหรือบาปใกล้เคียงกับผู้ที่จะเป็นพ่อเป็นแม่ขณะนั้น
ดังนั้น ถ้าคุณพ่อ คุณแม่มีร่างกายแข็งแรง ความประพฤติดี มีจิตใจดีงามแล้ว
ก็มีโอกาสที่จะปฏิ#####วิญญาณที่ดี มาถือกำเนิดอยู่ในครรภ์ การอบรมลูก
จึงควรเริ่มตั้งแต่ก่อนที่จะตั้งครรภ์ คือคุณแม่ต้องอบรมความประพฤติของตัวเองให้ดี
พร้อมทั้งกาย วาจา ใจ สิ่งที่ไม่ดีให้เลิกเสียให้หมด รักษาศีล 5 ให้ดี
เป็นการเตรียมพร้อมให้ปฏิ#####วิญญาณที่ดีมาเกิด
นั่นคืออย่างช้าที่สุดจะต้องเริ่มอบรมตัวเองให้ดีพร้อมในทันทีที่แต่งงาน
และในทันทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์ ก็ยิ่งต้องพยายามทะนุถนอมลูกในครรภ์ให้ยิ่งขึ้นไป
คือต้องมีความระมัดระวังตัวให้มาก ไม่ว่าจะเป็นการเดินการเคลื่อนไหวทุกๆ อิริยาบถ
อาหารที่รับประทานโดยเฉพาะพวกที่รสจัด พวกของหมักดองของเมา
พวกยาต่างๆ หรือแม้แต่อารมณ์ไม่ดี ก็ต้องระวังอย่าให้มากระทบกระทั่ง
เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่ออุปนิสัยใจคอของเด็กทั้งสิ้น
2. การถ่ายทอดนิสัยใจคอจากสิ่งแวดล้อม หรือการอบรม
เมื่อลูกคลอดออกมาลืมตาดูโลก ต้องรีบอบรม อย่าไปคิดว่าเด็กทารกไม่รู้อะไร
เพราะแม้แต่การให้นมเป็นเวลา ก็เป็นการเพาะนิสัยเด็กให้เป็นคนตรงต่อเวลา
การเปลี่ยนผ้าอ้อมทันทีที่เด็กทำเปียก ก็เป็นการเพาะนิสัยรักความสะอาด
แม้ที่สุดการพูดจาด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน ก็เป็นการเพาะนิสัยอ่อนโยน
คุณธรรมที่ต้องอบรมให้มาก หรืออบรมตลอดเวลาเลย ไม่ว่าเด็กโตหรือเด็กเล็ก ก็คือ
1. ปัญญา โดยฝึกให้เป็นคนมีเหตุมีผล รู้จักคิดพิจารณาเอง
ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ถ้าทำได้สำเร็จ เด็กจะมีสติปัญญาเฉีนยแหลม
2. ความเมตตากรุณา โดยอาจฝึกให้เด็กรักสัตว์ รักต้นไม้ เป็นคนอ่อนโยน
มีมนุษยสัมพันธ์ดี รู้จักให้อภัย
3. ความมีวินัย โดยฝึกให้เด็กเป็นคนตรงต่อเวลา รักษาความสะอาด
เป็นคนซื่อตรง มีความบริสุทธิ์ กาย วาจา ใจ
เมื่อเด็กได้รับการปลูกฝังสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เล็ก แล้วโตขึ้นก็จะสามารถรองรับคุณธรรมความดีอย่างอื่น
ที่พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดให้ได้เต็มที่
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ถ้าคุณพ่อคุณแม่คนไหนอยากจะได้ลูกดีอย่างไร ก็ให้อบรมตัวเองให้ดีอย่างนี้ก่อนที่จะมีลุก แล้วต้องอบรมตัวเองให้ดีอย่างนี้ก่อนที่จะมีลูก แล้วต้องอบรมตัวเองให้เคร่งครัดยิ่งๆ ขึ้นไป
ในกรอบคุณธรรม 3 ประการ คือ
ให้มีปัญญา
ให้มีเมตตากรุณา
และให้มีระเบียบวินัย
ดังที่กล่าวข้างต้น
: บุญรักษา
รู้ จั ก ค บ เ พื่ อ น ดี มี ชั ย ไ ป ก ว่ า ค รึ่ ง
เพื่อนที่ดีกับเพื่อนที่ถูกใจ ไม่เหมือนกันนะครับ คนดีไม่แน่ว่าจะถูกใจ คนถูกใจอาจจะไม่ดี
แต่ที่ตามใจตัวเองไม่ได้ก็คือ ถ้าคบเพื่อนไม่ดี ชาตินี้คงหวังเอาดีได้ยาก
เรามาดูวิธีเลือกคบเพื่อนดีกว่าครับ
หลักวิธีคบคนในพระพุทธศาสนามีอยู่ว่า
ต้องไม่คบคนเลวเป็นเพื่อน ให้เลือกคบคนดีเป็นเพื่อน
เพราะคนเลว ใครไปคบเข้าจะเป็นที่มาแห่งความชั่วช้าเลวทรามทั้งหลาย
แต่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า แล้วเราจะดูยังไง ว่าใครไม่ดี ใครดี
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้สังเกตจากความประพฤติ
ถ้าเข้าข่ายอย่างนี้ เมื่อไร นั่นแหละเป็นคนเลวแล้ว ถ้าเราไปทำเข้าก็เข้าข่ายด้วยเหมือนกัน
1. เพื่อนชั่วชอบชักนำในทางที่ผิด เช่น ชักชวนกันไปเที่ยว ดื่มสุรา เล่นการพนัน
ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เราเสียเงิน เสียทองโดยใช่เหตุ ทำให้มีนิสัยการใช้เงินที่ไม่ดี เก็บเงินไม่อยู่
และอาจไปติดนิสัยไม่ดีๆ อื่นๆ มาอีกด้วย
2. เพื่อนชั่วไม่ชอบระเบียบวินัย ชอบฝ่าฝืนตั้งแต่กฎหมายของบ้านเมือง
ชอบทำผิดศีลธรรม ชอบแหวกกฎเกณฑ์ขององค์กร หน่วยงาน
หรือกติกาของสังคมที่ตนเป็นสมาชิกอยู่
3. เพื่อนชั่วชอบแต่สิ่งผิด
ถ้าให้เลือกระหว่างรอดูความสำเร็จ กับรอดูความพินาศเสียหาย
คนพาลชอบเห็นความพินาศเสียหายของผู้อื่นมากกว่า
เมื่อตัวเองทำผิด ก็ภูมิใจ ลำพองใจว่าตนเก่งกล้าสามารถกว่าคนอื่น
4. เพื่อนชั่วชอบทำสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง คือชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน
ดูเผินๆ เหมือนหวังดี แต่ไม่นานนัก ความเดือดร้อนก็เกิดขึ้นมา จากการยุ่งไม่เข้าเรื่องของเขา
5. เพื่อนชั่วแม้พูดจาดีๆ ด้วยก็โกรธ วินิจฉัยของคนพาลไม่ค่อยคงเส้นคงว่าเท่าไร
บางทีเพื่อนฝูงยิ้มให้ เขาก็ว่ายิ้มเยาะ เห็นเขาหัวเราะ ก็หาว่าเย้ยตัวเอง
ใครก็ตามที่มีลักษณะอย่างนี้ ไม่น่าคบ เพราะจะเป็นต้นทางให้นิสัยไม่ดีอีกหลายๆ อย่างตามมา
เพื่อนแบบไหนที่น่าคบ ก็เพื่อนที่มีความประพฤติตรงข้ามกับ 5 ข้อของเพื่อนชั่วนั่นแหละ เ
พราะคนจะทำดีได้นั้น เขาต้องควบคุมตัวเองไม่ให้หลงใหลไปกับความชั่ว ได้ดีมากๆ ทีเดียว
ซึ่ง เขาจะต้องมีความรู้ คือ รู้ดี รู้ชั่ว รู้ถูก รู้ผิด รู้ควร รู้ไม่ควร รู้บุญ รู้บาป
โดยที่เขาอาจจะไม่มีปริญญาเลยก็ได้
เมื่อเราคบคนดีเป็นเพื่อน เราก็จะได้รับถ่ายทอดนิสัยที่ดีๆ เช่น
ขยันทำงาน รักการค้นคว้าพัฒนาความรู้ความสามารถ อดทนต่ออุปสรรค
ทำให้เรามีโอกาสเจริญก้าวหน้าได้ง่ายขึ้น ทั้งด้านการงาน และชีวิตส่วนตัว
ถ้าเริ่มต้นมองด้วยแบบนี้ เราก็จะไม่ดูถูกคน และจะมองหาความดีของคนอื่นแทน
แล้วในที่สุด ก็จะมองออกว่า ใครเป็นคนดีน่าคบ
หวังว่า หลักการ 5 ข้อที่นำมาจากพระพุทธศาสนานี้
จะช่วยใช้หลายๆ ท่านใช้กลั่นกรองคนที่จะร่วมคบค้าสมาคมได้อย่างง่ายๆ ครับ
จะได้เลือกคบคนดีเป็นเพื่อน
ซึ่งจะทำไม่ว่าจะทำการค้า เรียนหนังสือ หรือว่าจะแต่งงาน ล้วนใช้หลัก 5 ข้อนี้ได้เลย
สุดท้ายนี้ ถ้าใครสำรวจตัวเองูแล้ว พบว่า เราได้ไปมีศัตรูที่เป็นบัณฑิตเข้าแล้ว
เราก็ต้องรู้ตัวเองว่า บัณฑิตเขาจะเป็นศัตรูกับความเห็นผิดของเราเท่านั้น
เมื่อเรากลับมาทำสิ่งที่ถูกต้อง บัณฑิตย่อมไม่ถือโทษโกรธเคือง แต่กลับจะเป็นมิตรแท้ให้แก่เรา
นักปราชญ์ราชบัณฑิต จึงได้กล่าวว่า มีศัตรูที่เป็นบัณฑิต ดีกว่ามีมิตรที่เป็นคนพาล
: บุญรักษา
อีกนิดครับ
Posted by hypnotize ตั้งแต่ วันพุธ, 25 กันยายน 2002 @ 00:30:52 ICT (231 reads)
• เราเลี้ยงลูกด้วยหัวใจแล้ว จงใช้หูด้วย
• ลูกคือกำไรของชีวิต อย่าให้การเลี้ยงที่ผิดทำให้ชีวิตเราขาดทุนยับเยิน
• หลักชีวิตสำหรับลูกเรา
1. ยามเล็กๆ พ่อแม่-ครู ช่วยดูแลชีวิตเขา
2. ยามโตขึ้น ความรู้ ความเข้าใจ ช่วยดูแลชีวิตเขา
3. ยามเป็นผู้ใหญ่ เขาจะดูแลชีวิตตัวเองด้วยการพึ่งตัวเองได้
• ลูกใกล้ชิดกับพ่อแม่มากที่สุด และพ่อแม่มาก่อนใคร เวลาผ่านไป อย่าให้ลูกห่างเรามากกว่าใครๆ
• ความรักอย่างเดียวที่เลี้ยงลูกได้ลำบาก เพราะเป็นดาบสองคม
แต่ความเข้าใจจะทำให้ความสัมพันธ์ของครอบครัวงอกงาม
• ยามลูกเล็กๆ เราพูดให้เขาฟัง ยามที่เขาโตขึ้นแล้วเราฟังในสิ่งที่เขาพูดให้มากขึ้น
• การที่จะทำให้ลูกเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใดๆ เราต้องเข้าไปเปลี่ยนแปลงในระดับความรู้สึก
• บทบาทของพ่อแม่ และครู ต่อลูกและลูกศิษย์
พ่อแม่ และครูธรรมดา จะเพียรบอก
พ่อแม่ และครูที่ดี จะชักชวนให้ร่วมกันเพิ่มทักษะ
พ่อแม่ และครูที่เป็นเลิศ จะเพิ่มพลังให้เกิดขึ้นในตัวเด็ก
สำหรับพ่อ-แม่-ครู-ผู้ปกครอง
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยคำตำหนิ.......เด็กจะเป็นคนที่ล้มเหลว
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยก้าวร้าว.......เด็กจะเป็นคนที่ก้าวร้าว
ถ้าเด็กถูเลี้ยงด้วยคำเย้ยหยัน.......เด็กจะเป็นคนขลาดอาย
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความละอาย.......เด็กจะเป็นคนขี้ระแวง
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความมานะ.......เด็กจะเป็นคนอดทน
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยการให้กำลังใจ......เด็กจะเป็นคนเชื่อมั่นในคนเอง
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยการชื่นชม.......เด็กจะเป็นคนรู้ซึ่งในคุณค่า
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความยุติธรรม.......เด็กจะเป็นคนรักความยุติธรรม
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความรักความอบอุ่น.......เด็กจะเป็นคนที่มีศรัทธาในชีวิต
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยการยอมรับ.......เด็กจะเป็นคนที่พอใจในตนเอง
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความเป็นมิตร.......เด็กจะเป็นคนที่เต็มไปด้วยความรักเละเมตตาต่อเพื่อมนุษย์
“What the child sees, the child does. What the child does, the child is.”
เด็กจะมีนิสัยใจคออย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาได้รู้ได้เห็นอะไรมาบ้าง
สุภาษิตของชาวไอร์แลนด์
ไฟล์แนบ
#16
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 04:58 PM