ทำไมจิตของมนุษย์ถึงยอมรับสิ่งที่เป็น อกุศล ง่ายกว่า กุศล
#1
โพสต์เมื่อ 03 October 2006 - 07:49 AM
#2
โพสต์เมื่อ 03 October 2006 - 08:32 AM
เคล็ด(ไม่ลับ) ถ้า เราทำความบริสุทธิ์ผุดผ่องตั้งแต่ใจจิตแล้ว คำพูด หรือการกระทำต่างๆ ก็จะล้วนบริสุทธิ์ ตามมา ดังนั้นแล้วถ้าจะหลุดจากสิ่งเหล่านี้ทั้งปวง ต้องเน้นเรื่อง การปฎิบัติธรรม (สมาธิ และเจริญวิปัสนากรรมฐาน ท่านว่านั้นมีอยู่หลายวิธี และควรเลือกให้เหมาะกับจริตแต่ละท่าน จะดี และเยื่ยมที่สุดครับ) เป็นที่สุด และเป็นหลัก ด้วยขอรับท่าน
อย่างไรก็ตาม การทำให้จิตใจบริสุทธิ์ นี่ช่างไม่ง่ายเสียเลย ถ้าหากยังไม่เริ่ม "ทำความดี ละเว้นความชั่ว" ดังนั้นแล้วไซร้ ท่านบางท่านจึงว่า ต้องพยายามสมดุษย์แห่งการประพฤติปฎิบัติด้วย และ หลายๆท่านก็ว่า ควรเริ่มต้นด้วยการรักษาศีล ให้เป็นปกตินิสัยครับ
ขออนุโมทนาบุญ กับ ท่านสาคร และท่านทั้งหลายๆ ที่จะมาร่วมแสดงความคิดเห็นต่อไป ให้ กระจ่าง ถูกต้อง และสมบรูณ์มากขึ้นด้วยครับ ขอให้ได้บุญเท่าๆ กัน ทุกๆท่านด้วยครับ
ขอเชิญร่วม อนุโมทนาบุญ งานบุญกฐินพระราชทาน ที่ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก คลิ๊กที่นี้
Who am I?__>>> CLick Here <<< to see my answer Post # 7
.
รวมภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า: คลิ๊กที่นี้คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 58 files, 120.99 MB, for easy listening dharmas.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 121 really-good-to-read e-books, 295.67 MB.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Free Download Manager ช่วย Download ไฟล์ใหญ่ๆ ต่างๆ ฟรีครับฟรี
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Acrobat Reader V.5
.
The basic knowledge of Buddhism to become a better buddhist Edition 2 คลิ๊กที่นี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
-= Hillary Clinton =-.... >>>>>>> CLicK HeRe <<<<<< To Be wisher, To Be smarter, and To Know Better !!!
#3
โพสต์เมื่อ 03 October 2006 - 09:13 AM
คำว่า บุคคล มาจากภาษาบาลีว่า ปุคฺคล (ปุง + คล)
ปุง เป็นอีกความหมายหนึ่งของนรก, คล แปลว่า ไหลไป รวมความเข้าด้วยกันจึงแปลว่า ไหลไปสู่นรก
นี่จึงเป็นความแตกต่างกันระหว่าง "ผู้ปล่อยไปตามกระแส" กับ "ผู้ทวนกระแส"
เพราะความหมายที่แท้จริงของคำนี้ จะสะท้อนให้เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของคนโดยทั่วๆ ไปได้ ต่อเมื่อมีศีล 5 เป็นปกตินั่นแหละ ถึงจะเป็นมนุษย์แท้ๆ
เราจะเป็นผู้ตามกระแส หรือเป็นผู้ทวนกระแส ในตอนนี้เราเลือกที่จะได้แล้วครับ และยิ่งได้ครูบาอาจารย์คอยชี้แนะอย่างนี้ ก็ถือว่าได้ลาภอันประเสริฐแล้ว
คงจะไม่พูดลึกไปถึงเรื่อง "เรายังไม่ชนะเค้า เค้าก็เอามามาร 5 ฝูงมาใส่เราได้" ว่ากันเพรียวๆ จากความหมายศัพท์ที่เห็นนั่นแหละครับ
#4
โพสต์เมื่อ 03 October 2006 - 10:14 AM
ไม่เชื่อลองทดสอบดูก็ได้ครับ ลองตั้งใจทำสิ่งที่เป็นกุศลสักเดือน เอาแค่เดือนเดียวก็พอครับ เอาให้เคยชินและเป็นปกติ แล้วลองสังเกตุดูครับว่าหลังจากผ่านพ้นหนึ่งเดือนที่เราทำกุศลให้เป็นปกติได้ คราวนี้จะเป็นการทำสิ่งที่เป็นกุศลเป็นเรื่องง่ายกว่าการทำอกุศลอีกครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#5
โพสต์เมื่อ 03 October 2006 - 10:25 AM
#6
โพสต์เมื่อ 03 October 2006 - 11:22 AM
#7
โพสต์เมื่อ 03 October 2006 - 11:59 AM
ลองสังเกตุดูใจของเรา คือความคิดของเราก็ได้ ถ้าเมื่อใดเราได้เกาะเกี่ยวกับกุศลกรรมเช่นนั่งสมาธินานๆ หรืออยู่ที่พนาวัฒน์สัก 7 วัน ใจเราจะเป็นกุศลดีจัง แต่เมื่อลงมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษสักอีก 7 วัน ภูมิค้มกันดีๆ ก็ชักจะพร่องลง
ดังนั้นผู้รู้จึงบอกว่า ต้องมีโยนิโสมนสิกา ต้องมีความคิดมีวินิจฉัยที่ถูกต้องตรงอยู่ในธรรมของพระพุทธองค์ มิฉะนั้นจะเอาตัวไม่รอด
#8
โพสต์เมื่อ 03 October 2006 - 12:28 PM
แต่คนชั่ว ย่อมรู้สึกว่า ทำความชั่วง่าย ทำความดียากน่ะครับ
#9
โพสต์เมื่อ 03 October 2006 - 12:39 PM
"ธรรมชาติของคน ก็เหมือนกับน้ำ ย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ เพราะฉะนั้น จงอย่าเป็นน้ำ"
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#10
โพสต์เมื่อ 03 October 2006 - 02:55 PM
คนดีนะครับ มักจะคิดดี ทำดี พูดดี เป็นปรกติ กุศลกรรมบท10ทำครบถ้วน แต่คนชั่ว มักจะคิดชั่ว ทำชั่ว พูดชั่ว เป็นปรกติ อกุศลกรรมบท แกปฏิบัติครบถ้วนเป็นเพราะอะไร ก็เพราะว่า คนที่เป็นคนดีพอลองจะประกอบกิจการงานทำสิ่งใดแล้ว สิ่งใดที่เป็นบาป หรือเป็นบุญ จะรู้ด้วยปัญญาของตนทันทีว่าสิ่งนั้นบาป สิ่งนั้นบุญแล้วทันทีก็มีสติยั้งคิดสอนตนเองให้ยับยั้งหักห้ามใจตนเองให้พึงละเว้นต่อสิ่งที่เป็นบาปอกุศลต่างๆได้อย่างทันท่วงที แต่กระนั้นก็มีบางท่าน ที่พอจะทำอะไรแล้วก็มีสติรู้เหมือนกัน ว่าสิ่งไหนเป็นบาป หรือเป็นบุญ แต่ไม่สามารถยับยั้งใจให้กระทำต่อสิ่งที่เป็นบาปอกุศลได้ หรือเรียกว่า รู้หมด แต่อดไม่ได้ ที่อดไม่ได้ก็คือ อดทนต่อแรงยั่วยุผัสสะเวทนาของกิเลสตันหาไม่ได้ ที่อดทนไม่ได้ก็เพราะ ใจไม่เข้มแข็ง ที่ใจไม่เข้มแข็งก็เพราะ ไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมบ่มนิสัยมาก่อน และสิ่งที่จะเป็นเครื่องช่วยอบรมบ่มใจให้เข้มแข็ง ได้ดีที่สุดก็คือ บุญบารมีทั้ง10ทัศครับ
ทั้ง ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อทิษฐาน เมตตา อุเบกขา สิ่งหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องฝึกเครื่องขัดเกลา จิตใจ ให้เข้มแข็ง หนักแน่นมั่นคง พร้อม ทุกสถานการณ์ ทำได้ถึงขนาด ตัดกิเลส ให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษได้ ดังนั้น มหาปูชณียาจารย์ ทั้งหลาย ท่านจึงกล่าวว่า คนเรา จะวัดกันว่า บารมีใครอ่อนแก่ มากแค่ไหน ให้ดูตรงที่ เราสั่งสอนตนเอง ให้รู้ผิดชอบชั่วดี รู้ และทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดได้ มากน้อยเพียงไรนั่นเอง
#11
โพสต์เมื่อ 03 October 2006 - 05:19 PM
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#12
โพสต์เมื่อ 03 October 2006 - 07:02 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#13
โพสต์เมื่อ 03 October 2006 - 09:15 PM
#14
โพสต์เมื่อ 04 October 2006 - 12:23 PM
เห็นเขาทำกันมาจนชินจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง เห็นเป็นปกติ
ก็เป็นตุเป็นตะทักเองว่านี้เป็นสิ่งดี สิ่งที่ถูกต้องจะทำกันต่อไป....
และดังที่คุณครูกล่าวว่าโลกขาดแคลน ตัวอย่างที่ดีๆ มานาน
เราจะต้องเป็นต้นบุญต้นแบบ เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ชาวโลก....
ปลาตายลอยตามกระแส ส่วนปลาเป็นนั้นว่ายทวนกระแส(กิเลส)ครับ
#15
โพสต์เมื่อ 04 October 2006 - 08:28 PM
นักเรียนเตรียมอนุบาล
โพสต์: 6
เข้าวัดเมื่อ: วิสาขบูชา 2528
คุณสาครเข้าวัดมา 10 ปีแล้ว ถ้ามีเวลาลองนั่งสมาธิให้มากกว่าเดิมอีกนิดนะครับ จะได้คำตอบดีๆอีกมากครับ (ถ้าผิดพลาด ขออภัยนะครับ)
เลือกเอา ใจใสๆ
#16
โพสต์เมื่อ 09 October 2006 - 09:33 AM
ตอบแรงไปหน่อยนะ . . .
#17
โพสต์เมื่อ 10 October 2006 - 12:08 AM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#18
โพสต์เมื่อ 10 October 2006 - 12:59 AM
แต่ถ้าอยู่นอกโลก ก็ไม่ต้องสนใจแรงดึงดูดนั้น ฉันใด
ใจของคนที่ยังอยู่ในกระแสการเวียนว่ายตายเกิด ก็มักลงต่ำตามอกุศล
แต่ถ้าใจของคนที่ไม่อยู่ในกระแสการเวัียนว่ายตายเกิด หลุดพ้น ก็ไม่ต้องลงต่ำตามอกุศล ย่อมขึ้นสูงสู่พระนิพพาน ฉันนั้น นั่นแล
#19
โพสต์เมื่อ 31 January 2008 - 11:31 PM
ทุกดวงจิตไม่มีหน่วย ความจำใดๆ ด้วยเหตุนี้ อวิชชา จึงแทรกแซงได้ง่ายกว่า ส่วนหนวยความจำ หาใช่ จิตจำ แต่ เป็นเพราะ บารมีของจิตที่จดจำ ข้ามพบข้ามชาติได้ บารมีเป็นเสาหลักของจิต หาใช่ จิตเป็นเสาหลักของบารมี การอธิบาย ในเรื่อง บารมีกับจิต มีความคล้ายๆแต่ไม่เหมือนกัน บารมี เกิดจากกรรมดี ส่วนจิตเกิดจากความว่างเปล่า บารมีทำหน้าทีเป้นเหมือน กายของมนุษย์ และ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ส่วนจิตทำหน้าที่ จับบารมี มาปรุ่งแต่งรสชาติเข้าไป บารมีเป็นเหมือน ยานพาหนะ จิตเป็นเหมือนผู้อาศัย อวิชชาจึงเข้ามาห่อหุ้มได้ง่าย เมื่อใดที่ จิตมีบารมีน้อย เมื่อทุกท่าน ทราบดังนี้แล้ว ควรรีบเร่งสะสมบารมี ตามที่คุณครูไม่ใหญ่ ชวนสะสมกันเถิด ได้อย่าสงสัย ใดๆ ในคำสอนของท่านเลย เพราะท่าน ได้น้อมนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้า ( ไม่ใช่คำสอนที่เกิดมาจากความอยาก หากแต่เป็นคำสอนที่ มีความบริสุทธิ์ จากกิเลสทุก
ตระกูลแล้ว ) ล้วนๆ และที่สำคัญ มาจากวิชชา ไม่ใช่อวิชชา
ขออวิชชาทั้งหลายจงมะลายหายสูญไปจากจิตของท่านทั้งหลายเทอญ สาธุ