ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

สวดนพเคราะห์พระราหู


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 9 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 รักดวงแก้ว

รักดวงแก้ว
  • Members
  • 74 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 05:00 PM

หมอดูเคยทักให้ดิฉันไปทำพิธีรับราหูสวดนพเคราะห์ จึงทำให้สงสัยเรื่อง สวดนพเคราะห์พระราหู เพื่อสะเดาะห์เคราะห์ตามวัดต่าง ๆ สามารถแก้ไขได้จริงหรือ? เพราะความคิดของดิฉันเชื่อว่าหมั่นทำบุญ รักษาศีล เจริญภาวนา (ช่วงดวงไม่ดี)ก็น่าจะผ่านพันในอุปสรรคได้ จึงอยากขอคำแนะนำจากทุก ๆ ท่านในเรื่องนี้ค่ะ

#2 เทพ ดำเนินฯ

เทพ ดำเนินฯ
  • Members
  • 65 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 05:07 PM

ดวงไม่ดี หมายถึง ดวงไม่ใสใช่ไหม ครับ ถ้าอย่างนั้นแก้ง่ายๆ โดยทำดวงให้ใสๆ สว่างๆ หนักก็จะเป็นเบา เบาก็จะหายครับ

#3 รักดวงแก้ว

รักดวงแก้ว
  • Members
  • 74 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 05:10 PM

ดวงไม่ดี คือ มีปัญหาเข้ามา, อุบัติเหตุ เจ็บป่วย เป็นต้นค่ะ

#4 เทพ ดำเนินฯ

เทพ ดำเนินฯ
  • Members
  • 65 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 05:36 PM

เวลาคนเราดวงไม่ดี มีปัญหาเข้ามา, อุบัติเหตุ เจ็บป่วย เกิดจากอกุศลวิบากฝ่ายบาปส่งผล ซึ่งจะส่งผลได้ในเวลาที่ใจไม่ใส ใจไม่อยู่ที่ศูนย์กลางกาย การทำใจให้ใสๆ สว่างๆ และตรึกระลึกนึกถึงบุญที่ได้สั่งสมมา เป็นการตั้งรับกับข้าศึกคือกุศลวิบากฝ่ายบาป ก็จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา เบาก็จะหายครับ เป็นหลักวิชาที่คุณครูไม่ใหญ่ให้ไว้ครับ (ดวงไม่ดี = ดวงไม่ใส = ใจไม่ใส อันนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัวของผมนะครับ)

#5 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 05:54 PM

ราหู เป็นเพียง เทวดา น่ะครับ เทวดา บางตนมีบุญน้อยกว่า มนุษย์อีกนะครับ ดังนั้น การไปขออ้อนวอนผู้มีบุญน้อยกว่า หรือพอๆ กันให้ช่วยเราให้พ้นเคราะห์หน่อย จะช่วยได้หรือครับ

เหมือนไปขอยืมเงิน คนที่เขายากจนกว่าเรา แล้วเขาจะมีเงินให้เรายืมหรือครับ

เข้าใจถูกแล้วครับว่า ต้องทำทาน รักษา เจริญภาวนา จึงจะแก้ไขเคราะห์ร้ายได้ทุกอย่างครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#6 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 07:04 PM

ผมเชื่อเรื่องบุญมากกว่าครับ
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#7 คนรักวัด

คนรักวัด
  • Members
  • 626 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 07:20 AM

ปัจจุบันมีผู้สนใจบูชา ราหู เป็นจำนวนมากในเวลาที่มีการเกิดปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ คือ อุปราคาซึ่งเป็นเพียงการเกิดเงาบัง ดวงอาทิตย์ หรือ ดวงจันทร์ ตามวิถีการโคจรของดวงดาวเท่านั้นเอง
เป็นห่วงลูกหลาน ที่หลงงมงายกับการบูชา ราหู ซึ่งเป็นที่มาของ บทโศลกข้างต้น ที่ท่านได้กล่าวขึ้นมา จึงได้ดำริให้นำเรื่องของราหู ซึ่งเป็นเพียง อสูร ตนหนึ่ง มาลงเป็นนิทานธรรมะ ให้ลูกหลานได้อ่านและทราบกัน โดยที่มาของนิทานเรื่องนี้มาจากหนังสือโบราณ ที่กล่าวถึงกำเนิดเทวะ ในตอนที่กล่าวถึงว่า...
เทพและมารทั้งหลายได้มีความรู้สึกกลัวความแก่ ความเจ็บและความตาย อีกทั้งประจวบกับบรรดามารและเทพทั้งหลายได้เห็น พวกพ้องมิตรสหายทั้งหลายได้หมดบุญหมดวาสนาจากอัตภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จะต้องไปเกิดในที่อันไม่พึงปรารถนา ต่างฝ่ายต่างก็ให้ปริวิตกกังวล กลัวเวลาแห่งการที่ต้องไปเกิด ในที่อันไม่น่าปรารถนาของตนจะมาถึง ต่างก็พยายามแสวงหาวิธีเอาตัวรอดจากมรณะและภพภูมิอันไม่พึงปรารถนา ทั้งเทพและพรหมมารทั้งปวงก็พากันมาประชุมปรึกษาหาวิธีแก้มรณกรรมอันจะเกิดขึ้นแก่ตน (เข้าใจว่ายุคนั้นคงจะยังไม่ปรากฏ พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ จึงยังไม่มีใครบอกและสอนถึงวิธีพ้นจากเกิด แก่ เจ็บ และตาย)
ทุกตนในเทวสภาและพญามารทั้งหลาย ก็เห็นสมควรจะต้องไปปรึกษาท่านผู้รู้ และท่านผู้รู้เหล่านั้นก็คือ ครู อาจารย์ของตน ซึ่งเป็นฤๅษีดาบส อยู่ ณ ป่าหิมวันต์ ครั้นปรึกษาเป็นที่ตกลงกันเช่นนั้นแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็สำแดงเดชานุภาพ เหาะมาสู่ ณ ที่พักแห่งอาจารย์ของตน และพากันแจ้งเหตุที่มาหาให้แก่อาจารย์ของตนได้ฟัง บรรดาเทพฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ของเทพและมารทั้งหลาย ได้เห็นความปริวิตกของสัทธิวิหาริกคือลูกศิษย์ของตนเช่นนั้น ก็นั่งพิเคราะห์ดูด้วยญาณ (ซึ่งมิได้ประกอบด้วยปัญญาหยั่งรู้)ก็ได้รู้วิธีที่จะเอาชนะมรณกรรมได้ด้วยการหาของบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ทั้งพันชนิด และน้ำบริสุทธิ์ทั้งหมื่นโลกธาตุมารวมกัน และคละประกอบด้วยเทพมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่หมื่นคาบ และใช้เทพโอสถที่มีชีวิตทั้ง ๗ ชนิด บดเข้าด้วยกันด้วยภูเขาชิเนรุมาศ และใช้น้ำตาของพญานาคทั้ง ๘ เป็นตัวผสานเมื่อเทพฤๅษีทั้งหลายได้รู้วิธีเอาชนะมรณกรรมแล้วก็แจ้งแก่บรรดาเทพและมารผู้เป็นลูกศิษย์ พร้อมกับให้แยกย้ายกันไปหาสรรพยาทั้งหลาย เทพและมารทั้งปวงเมื่อได้ฟังมาว่ามีวิธีที่จะเอาชนะมรณกรรมได้โดยการกวนยาวิเศษก็โห่ร้องด้วยความลิงโลด แล้วจัดแบ่งหน้าที่ที่จะไปเอาของวิเศษทั้งหลายในทิศทางต่างๆ มารวมกัน
ครั้นเมื่อได้ของวิเศษมาครบตามจำนวนที่ต้องการแล้ว เทพฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ทั้งหลายก็มีบัญชาให้พญาครุฑไปยกเขาพระสุเมรุ มาทำเครื่องบด แล้วให้พระธรณีเนรมิตสถานที่บด พร้อมทั้งสั่งการบรรดาเทพและมารทั้งปวงให้เทของวิเศษทั้งหลายรวมกัน แล้วให้พญาครุฑวางเขาพระสุเมรุทับแล้วสั่งให้พญานาคทั้งเจ็ดเนรมิตกายให้ยืดยาวประดุจดังเชือกเส้นใหญ่ทั้งเจ็ดรวมกันให้เทวะทั้งหลายจับปลายเชือกด้านซ้าย ยักษ์และมารทั้งหลายจับปลายเชือกด้วนขวา เทพฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ของเทวดาอยู่ด้านหน้า เทพฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ของยักษ์และมารทั้งหลายอยู่ด้านหลัง ทั้งสองด้านได้พร้อมกันสาธยายเทพมนต์ ในขณะที่เทพและมารช่วยกันฉุดเชือกนาคเพื่อให้เขาพระสุเมรุนั้นหมุนไปทางด้วนซ้ายและขวา โดยมีพญาครุฑคอยหัวเหาะพยุงเขาพระสุเมรุอยู่ด้านบน ยาทิพย์นี้ใช้เวลาบดอยู่



เจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวันจึงจะสำเร็จในขณะที่กำลังบดยาทิพย์ด้วยความขะมักเขม้น เหล่าเทวดาทั้งหลายก็ออกอุบายให้ยักษ์และมารทั้งปวงออกกำลังดึงแต่ฝ่ายดียว เมื่อถึงคราวที่ฝ่ายตนจะดึงก็พากันใช้นิ้วเอื้อมไปแหย่สะดือพญานาค เมื่อพญานาคโดนแหย่สะดือ ก็ให้รู้สึกแสยง ยกตัวให้สั้นลง ในขณะที่ยักษ์ทั้งหลายดึงอยู่ด้วยก็ทำให้เขาพระสุเมรุหมุนไปทางเทวดา ทำให้ดูประหนึ่งว่าเทวดาดึงให้หมุนด้วยกำลัง และเป็นจังหวะที่เทวดาทั้งปวงส่งเสียงให้เหมือนว่ากำลังจะออกแรงอย่างเต็มที่ ทำอยู่ดังนี้ตลอดไป เจ็ดปี เจ็ดเดือน และเจ็ดวันครั้นเมื่อยาทิพย์ปรุงสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว เทพฤๅษี พญาครุฑ พญานาค ยักษ์มาร ทั้งหลายก็พากันอ่อนแรงไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เหล่าเทวดาทั้งหลาย เห็นได้ทีก็ชิงเอายาทิพย์ทั้งหลายเหาะขึ้นไปยังทิพย์วิมานของตน กล่าวฝ่ายพญามาร ยักษ์ ครุฑ และนาคทั้งหลาย เมื่อได้สติฟื้น ก็ได้พากันมาสำรวจดูยาทิพย์ จึงได้รู้ว่าหายไปหมดแล้วพร้อมกับหมู่เทวดาทั้งปวง ก็พากันโกรธแค้นเทวดา แต่ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะครูฤๅษีได้ห้ามไว้ว่า เมื่อเทวดานั้นได้กินยาทิพย์นั้นเข้าไปแล้วจักเป็นผู้มีเดช มีอานุภาพมาก และฆ่าก็จะไม่ตาย เราทั้งหลายไม่สามารถต่อกรได้ มารทั้งหลายต่างฝ่ายต่างก็เก็บเอาความเจ็บแค้นเอาไว้ในอุรา แล้วพากันกลับไปยังที่อยู่ของตนในหมู่ของมารทั้งหลาย ยังมียักษ์ตนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า อสุรินทรราหู ซึ่งเป็นบุตรของนางยักษ์ชื่อวิปจิตกับเทพชื่อพฤหัส ได้ครุ่นคิดเคียดแค้นแน่นอยู่ในอก คิดหาวิธีที่จะชิงเอายาทิพย์กลับคืนมาจากเทวดาให้ได้คิดไปคิดมาจึงนึกขึ้นมาได้ว่า บิดาของเราคือพระพฤหัส ซึ่งเป็นเทวดา ถึงเราจะมีมารดาเป็นยักษ์แต่เราก็มีเลือดของพ่ออยู่ด้วย ถ้าเราแปลงกายเป็นเทพไปเข้าร่วมหมู่ของเทวดาเพื่อจะขอแบ่งยาทิพย์พวกเทพเหล่านั้นคงจะจับเราไม่ได้ ถึงแม้ว่าพวกเทพเหล่านั้นจะสามารถสัมผัสกลิ่นอันเป็นทิพย์ได้ เราก็มีกลิ่นกายของเทวดาอยู่ในตัวเหมือนกัน พวกมันคงจะไม่รู้หรอกน่า ว่าเราแปลงกายไป คิดดังนั้นแล้วอสุรินทรราหูร่ายเวทย์จำแลงกายเป็นเทวดาแล้วก็เหาะขึ้นไปสู่เทวสภาพร้อมกับเข้าไปสู่หมู่ของเทวดาทั้งหลายเพื่อขอส่วนแบ่งยาทิพย์ ขณะนั้นเหล่าเทวดาทั้งหลายก็กำลังประชุมฉลองชัยชนะที่สามารถใช้กลอุบายเอาชนะพญามารและยักษ์ทั้งหลายได้ พร้อมกับชิงเอายาทิพย์มาเป็นของตน ได้สำเร็จ และแจกจ่ายยาทิพย์ให้แก่เหล่าเทวดาทั้งหลายขณะนั้นอสุรินทรราหู จำแลงก็ได้รับส่วนแบ่งยาทิพย์กับเขาด้วย มิทันช้า อสุรินทรราหูจำแลงก็รีบกลืนยาวิเศษนั้นทันที ยาก็ได้สำแดงเดช ทำให้อสุรินทรราหูและเทวดาทั้งปวงมีอาการมึนเมาไปกันทั่วหน้ามนต์ที่จำแลงแปลงกายก็คลายออก เทพอาทิตย์และจันทร์ได้สังเกตเห็นว่า อสูรแปลงกายมากินยา ก็พากันโวยวายและเรียกพวกเทวดาให้ช่วยกันจับ เป็นที่ตะลุมบอนโกลาหล แต่ก็หาจับได้ไม่เมื่อจับเป็นไม่ได้ ก็ต้องจับตาย เหล่าเทวดาทั้งหลายก็พากัน รุมตีฟันอสุรินทรราหู เป็นการใหญ่ แต่ก็หาได้ทำอันตรายแก่อสุทริราหูได้ไม่ แถมยังแสดงเดชา รุกรบ ต่อยตี หมู่เทวดาทั้งหลายจนพ่ายแพ้หนีกระเจิดกระเจิง เหล่าเทพและเทวดาทั้งหลายก็พากันวุ่นวาย (ถ้ามีคำถาม ถามว่าก็ไหนเมื่อเทพเหล่านั้น ก็ได้กินยาทิพย์เหมือนกัน แต่ทำไมถึงสู้ยักษ์ตนเดียวไม่ได้ ข้อนี้ต้องวินิจตรงชื่อ คงจะเข้าใจได้ง่ายดี ที่ว่าต้องวินิจฉัยตรงชื่อก็เพราะ ตามความหมายของคำว่ายักษ์หรืออสูร แปลว่า ผู้ไม่พ่ายผู้มีเดช ผู้มีอำนาจ ผู้มีกำลัง ส่วนคำว่า เทวดา เทพ แปลว่า ผู้มีรูปสวย ผู้มีบุญ ผู้มีสุข ผู้มีวาสนา)เพราะฉะนั้น เหล่าเทวดาถึงจะมีจำนวนมาก แต่ก็หาได้มีกำลัง มีเดชเท่ากับอสูรไม่ เมื่ออสุรินทรราหู ได้ชัยชนะแก่หมู่เทวาดา ก็มีจิตกำเริบ ไล่ทำร้ายและทำลายอาละวาดไปทั่วแดนสวรรค์ ข้างฝ่ายพระอาทิตย์และเทพจันทรเห็นท่าไม่ดีก็เหาะไปเฝ้า พระนารายณ์ ทูลเรื่องทั้งหลายให้เทพผู้เป็นใหญ่ได้ทรงทราบ พระนารายณ์เป็นเจ้าได้ทรงสดับรับฟังแล้วก็ทรงกริ้ว ทรงบริภาษด้วยวาจาที่เกริ้ยวกราดว่า "ไอ้อสูรตัวขลาด บังอาจกำเริบขึ้นมาราวีบนแดนสวรรค์เชียวหรือ"ว่าแล้วก็ทรงขว้างจักรแก้วออกไปตัดร่างของอสุรินทรราหู ขาดเป็นสองท่อน ท่อนขาถึงบั้นเอวก็หลุดกระเด็นออกไปนอกจักรวาล เหลือแต่ท่อนหัวกับตัว ถึงกระนั้น ก็มิอาจทำให้อสุรินทรราหูถึงแก่ความตายได้ไม่
และด้วยความตกใจกลัว อสุรินทรราหู ก็เหาะหนีมายังที่อยู่ของตน และพกพาความโกรธแค้นอาทิตย์และจันทร ที่เป็นเหตุให้เกิดเรื่องวุ่นวายบนสวรรค์ และเป็นเหตุให้กายของตนขาดเป็นสองท่อน อสุรินทรราหู กลับมาคิดแค้นต่อเทพอาทิตย์ และจันทรว่าเพราะ เทพสองตนนี้ทีเดียวเป็นผู้บอกให้เหล่าเทวารุมทำร้ายตน และเป็นเพราะเทพสองตนนี้อีกเหมือนกันที่เป็นผู้ไปบอกองค์นารายณ์จนเป็นเหตุให้ข้วางจักรแก้วมาตัดร่างตนถึงกับขาดเป็นสองท่อน ความอัปยศ อดสูและเจ็บช้ำนี้ เราจะตอบแทนคืนให้เทพทั้งสอง อย่างสาสมณ บัดนั้นเป็นต้นมา อสุรินทรราหูก็เฝ้าคอยที่จะหาโอกาสราวี แก่อาทิตย์และจันทรอยู่ตลอดเวลา มีอยู่ครั้งหนึ่งเทพอาทิตย์และจันทร จะไปประชุมยังเทวสภา ระหว่างทางอสุรินทรราหูได้มาคอยดักทำร้ายเทพทั้งสองก็เหาะหนี จวนเจียนหนีไม่พ้น แต่เผอิญเหาะมาทางทิศที่ตั้งแห่งภูเขาไกรลาศ ซึ่งเป็นที่อยู่ของบิดรเทพ คือ เทพผู้เป็นพ่อของเทพทั้งหลาย เทพอาทิตย์และจันทรก็เหาะหนีเข้าไปยังที่อยู่ของบิดรเทพ
อสุรินทรราหู ตามมาติดๆ เมื่อเห็นว่าศัตรูของตนหนีไปพึ่งผู้มีเดชรุ่งเรืองเช่นนี้ อสูรก็มาหยุดคิดว่าเพราะคราวที่แล้วเราผลีผลามรุกไล่ติดตามเทพทั้งสองไปโดยไม่ได้ดูตาม้าตาเรือ จนเป็นเหตุให้กายเราขาดเป็นสองท่อน เที่ยวนี้ขืนติดตามมันเข้าไปอีก อาจหัวขาดออกจากตัวอีกก็ได้ คิดดังนั้นแล้ว ก็คำรามด้วยความเคียดแค้นว่าฝากไว้ก่อนนะไอ้ขี้ขลาด คราวหน้าถ้าเห็นอีก ข้าจะกินเสียให้หนำใจว่าแล้วก็เหาะกลับไปยังที่อยู่ของตน
ฝ่ายเทพบิดร เมื่อเห็นอาทิตย์และจันทรเทพเหาะมาสู่ยังที่พักของตนอย่างลุกลี้ลุกลน ก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เทพทั้งสองจึงเล่าแจ้งแถลงไขให้ทรงทราบ และขอร้องให้เทพบิดรทรงช่วย พระบิดรจึงทรงเนรมิตอาชาสีแดงพร้อมราชรถให้แก่อาทิตย์เทพ และเนรมิตอาชาสีขาว ๘ ตัวพร้อมราชรถให้แก่จันทรเทพ
ประทานให้เอาไว้เป็นพาหะหลบหนีอสูร แล้วทรงสั่งว่าคราใดที่ท่อนขาของอสุรินทรราหูลอยมาติดตัว ท่านทั้งสองจะต้องโดนอสูรกลืนกินกล่าวฝ่ายอสุรินทรราหู เมื่อไม่สามารถจะทำร้ายอาทิตยเทพและจันทรเทพได้ดังหวัง ก็ให้รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน จึงเหาะขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ ไปอาละวาดไล่ทำร้ายเหล่าเทวดาทั้งหลายจนเป็นที่หนำใจแล้วก็เหาะกลับยังที่อยู่ของตน
ครั้นอสุรินทรราหูไปแล้ว เทพและเทวดาทั้งหลายก็ออกจากที่ซ่อนไปเฝ้าพระนารายณ์ยังเทวสภาแล้วประชุมปรึกษาว่าจะทำการป้องกันไม่ให้อสุรินทรราหูมาไล่ทำร้ายได้อย่างไรองค์อินทร์ก็ทรงตรัสว่า สรรพสิ่งในโลกเมื่อมีจุดเด่นก็ต้องมีจุดด้อย อสูรตนนี้ถึงมันจะกินยาทิพย์ฆ่าฟันไม่ตายแต่ก็ต้องมีวิธีทำลายอาถรรพ์และทำร้ายชีวิตมันได้เหมือนกัน อยู่ที่ว่าใครจะเป็นผู้ไปล้วงเอาความลับนี้มาได้
เหล่าเทวะทั้งหลายพากันนิ่งเงียบและนั่งก้มหน้า ไม่มีผู้ใดที่จะขันอาสา เวลาผ่านไปสักครู่ ก็มีเสียงดังก้องกังวาลมาทางด้านท้ายแถวว่า ข้าพเจ้าท้าวจาตุมมหาราชทั้ง ๔ ขอขันอาสาที่จะไปล้วงความลับของอสูรตนนี้


หมู่เทวะทั้งหลาย ต่างหันมามองท้าวมหาราชทั้ง ๔ ด้วยแววตาและดวงจิตที่ชื่นชมความกล้าหาญ เสียสละ ของมหาราชทั้ง ๔ องค์อินทร์ ก็ทรงถามว่า ท่านทั้ง ๔ เห็นประโยชน์อะไรในการขันอาสาครั้งนี้
ข้าพเจ้าทั้ง ๔ เห็นความสุขสงบควรจะมีต่อหมู่มหาเทพทั้งหลายถ้าสามารถกำจัดอสูรร้ายนี้ได้ และอีกอย่างข้าพเจ้าทั้ง ๔ เท่านั้น เป็นผู้ควรต่อการครั้งนี้ เหตุเพราะหมู่เทวะทั้งหลายมีกลิ่นกายไอสวรรค์ปรากฏอยู่ทั่ว
ทุกท่าน ถ้าจะจำแลงแปลงกายเป็นอสูร อสุรินทรราหูผู้มีปัญญาและประสาทสัมผัสที่ว่องไว อาจจะจับพิรุธได้และมีอันตราย
แต่ข้าพเจ้าทั้ง ๔ เป็นผู้ไม่มีกลิ่นไอสวรรค์และเป็นผู้ไม่มีกลิ่นไออสูร ข้าพเจ้าทั้ง ๔ จึงเป็นผู้เหมาะแก่การอาสาไปล้วงความลับของอสุรินทรราหูด้วยประการฉะนี้เจ้าข้า สาธุ สาธุ ดีแล้วมหาราชทั้ง ๔
ท่านช่างเป็นผู้กล้าและเสียสละยิ่ง ปวงเทพทั้งหลายก็พากันแปล่งสาธุการสรรเสริญ
ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ก็เหาะมายังที่อยู่ของอสุรินทรราหู และร่ายเวทย์แปลงกายเป็นอสูรน้อย เข้าไปขันอาสารับใช้ต่อกิจการต่างๆจนเป็นที่รักใคร่ของจอมอสูรและยอมสอนวิทยาการต่างๆ ให้จนหมดพุง อสูรแปลงทั้ง ๔ กล่าวกับอสุรินทรราหูผู้เป็นอาจารย์ว่า " ท่านอาจารย์ที่เคารพ หมู่เทวดามีอยู่ด้วยกันจำนวนมากจะพากันรุมทำร้ายท่านอาจารย์ ท่ายอาจารย์ต้องระวัง พวกกระผมเป็นห่วง"
อสุรินทรราหูจึงได้กล่าวกับศิษย์ของตนว่า "เจ้าทั้ง ๔ มิต้องเป็นห่วง หมู่เทพทั้งหลายไม่สามารถจะฆ่าเราได้หรอก เพราะเรามีวิธีรักษาอาถรรพ์ของยาทิพย์ให้อยู่ได้ เราจะบอกต่อเจ้าให้ฟัง แต่เจ้าจะต้องให้สัจจะแก่เราว่า จะไม่บอกใคร
มหาราชทั้ง ๔ รับปาก อสุรินทรราหูก็บอกความลับแก่ศิษย์ของตน ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ เมื่อได้รู้ความลับของอสุรินทรราหูก็ปลีกตัวเหาะกลับมายังเทวสภา ปวงเทพทั้งหลายเมื่อได้เห็นท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ กลับมาสู่เทวสภา ก็พากันปริวิตกว่า กิจที่ไปสืบความลับของจอมอสูรจะสำเร็จไหมหนอ ฝ่ายมหาราชทั้ง ๔
เมื่อมาถึงเทวสภาแล้วก็ตรงเข้าไปอัญชลีแก่องค์อินทรราชผู้เป็นใหญ่ แล้วกราบทูลว่า " บัดนี้ภารกิจที่ข้าพระองค์ทั้ง ๔ ขันอาสาไปปฏิบัติได้สำเร็จลุล่วงแล้วพระเจ้าข้า"
มหาเทพผู้เป็นประธานในหมู่เทพทั้งปวงก็ตรัสถามว่า แล้วมีวิธีใดที่จะกำจัดจอมอสุรินทรราหู ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ จึงกราบทูลว่า " ข้าแต่จอมอัมรินทร์ปิ่นสวรรค์ ข้าพเจ้าทั้ง ๔ ไม่สามารถบอกความลับแก่ผู้ใดได้ เหตุเพราะข้าพเจ้าทั้ง ๔ ได้รับปากกับจอมอสูรไว้แล้วว่า ถ้าได้ล่วงรู้ความลับที่จะสังหารจอมอสูรแล้ว
จะไม่บอกแก่ใครเป็นอันขาดพระเจ้าข้า แต่ถ้าเมื่อใดที่อสุรินทรราหูจอมอสูร ขึ้นมาอาละวาดบนสรวงสวรรค์อีก ข้าพเจ้าทั้ง ๔ ขออาสาที่จะหาวิธีกำราบจอมอสูรให้พ่ายแพ้ไปจนได้ พระเจ้าข้า "
จอมอัมรินทร์ผู้เป็นใหญ่ และเหล่าเทพทั้งปวง เมื่อได้ฟังท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ กล่าวเช่นนั้น ก็โสมนัสยินดี พากันเปล่งสาธุการจนดังกังวาลก้องไปทั่วโลกทั้งสาม แล้วเหล่าเทพทั้งหลาย ก็ได้กล่าวสรรเสริญแก่ท่านท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ว่า ท่านทั้ง ๔ ช่างเป็นผู้กล้าหาญ เสียสละ กตัญญู และรักษาสัจจะเป็นเลิศกล่าวฝ่ายอสุรินทรราหูอยู่ในที่พำนักของตน เมื่อได้ยินเสียงแช่ซ้องสาธุการของชาวสวรรค์ ก็คิดเคืองใจจิตว่า ไอ้พวกมดพวกปลวกนี้ชักกำเริบใหญ่ บังอาจส่งเสียงรบกวนเวลาพักผ่อนของเรา เห็นทีจะต้องขึ้นไปอาละวาดเสียให้เข็ดหลาบ คิดดังนั้นแล้ว จอมอสูรผู้มีเดช ก็สำแดงฤทธิ์เหาะขึ้นไปสู่นภากาศแล้วร่ายเวทย์เนรมิตกายให้กว้างใหญ่ แล้วแผ่อำนาจบาตรใหญ่ตวาดออกไปว่า ไอ้พวกมดปลวกขี้ขลาดทั้งหลายชักกำเริบ บังอาจรบกวนเราผู้เป็นใหญ่ซึ่งกำลังพักผ่อนอาศัยอยู่ใต้บาดาล เห็นทีวันนี้เราจะกลืนกินพวกเจ้า ให้สาสมกับโทษทัณฑ์ที่บังอาจรบกวนเรา ว่าแล้วจอมอสูร ก็อ้าปากขึ้น ซึ่งดูลึกล้ำและกว้างใหญ่ สามารถดูดอมดวงดาวในมหาจักรวาลไว้ได้ทีเดียว แม้แต่เทวสภาขององค์อินทรที่ว่ากว้างใหญ่สามารถบรรจุปวงเทพทั้งหลายได้ถึงแปดหมื่นสี่พันโกฏิ ก็ยังไม่ทำให้กระพุ้งแก้มของจอมอสูรโป่งพองขึ้นมาได้ ฝ่ายหมู่เทวะน้อยใหญ่ เมื่อได้เห็นจอมอสุรินทรราหูแสดงเดชเพื่อจะกลืนกินพวกตนไปพร้อมกับเทวสภา ก็ให้เกิดอาการหวาดผวาระวังสะดุ้งกลัว พากันหลีกหนีหลบซ่อน เป็นที่สับสนอลหม่านหาได้มีผู้ใดคิดจะต่อกรจอมอสูรไม่
ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ เมื่อเห็นอสุรินทรราหูสำแดงเดชเพื่อจะกลืนกินเทวสภาเช่นนั้น มหาราชทั้ง ๔ ก็ออกไปยืนปรากฏอยู่ในทิศทั้ง ๔ ของเทวสภา แล้วก็ร่ายเวทย์สำแดงตนให้จอมอสูรใด้เห็นเป็นสองภาพ คือ ภาพนหนึ่งเป็นอสูรน้อย แล้วเปลี่ยนมาเป็นเทพพิทักษ์ทิศ กลับไปกลับมาอยู่ดังนี้เป็นสองคำรบแล้ว อสุรินทรราหู เมื่อได้เห็นดังนั้น ก็จำได้ว่า เทพพิทักษ์ทิศทั้ง ๔ นี้คืออสูรน้อยลูกศิษย์เรา แล้วเราก็เป็นผู้บอกวิธีที่จะทำให้เราตายได้อย่างไร เห็นทีเราจะเสียรู้เทพพิทักษ์ทิศทั้ง ๔ นี้เสียเป็นได้คิดดังนั้นแล้วอสุรินทรราหูก็รีบหุบปาก หดตัวเหาะหนีลงสู่บาดาลที่อยู่แห่งตนทันทีนับแต่แต่บัดนั้นมา เหล่าเทพเจ้าและมหาเทพทั้งหลายก็สถาปนาให้ท่านท้าวจาตุมหาราช เป็นเทพพิทักษ์สวรรค์และโลกในทิศทั้ง ๔ มีหน้าที่อภิบาลดูแลสวรรค์และโลกให้สงบสุขตลอดเวลา



มีผู้ถามว่า ทำไมเทวดาถึงขี้โกง ไม่แบ่งยาทิพย์ให้แก่พวกอสูร อันนี้ก็คงจะตอบลำบากซักหน่อยนะแต่ถ้าจะให้ ตอบพวกเทวดาคงคิดว่า ถ้าขืนปล่อยให้พวกอสูรได้กินยาทิพย์คงจะยุ่งเป็นแน่ เพราะขนาดไม่ได้กินยาทิพย์ และเวลารบกันระหว่างอสูรกับเทวดา บ่อยครั้งที่เทวดาเป็นผู้พ่ายแพ้ เพราะสู้กำลังอำนาจของอสูรไม่ได้ เมื่อสู้ไม่ได้เทวดาก็ต้องหนีกลับเข้าประตูสวรรค์ เมื่อเข้าไปสู่ประตูสวรรค์แล้ว พวกอสูรก็จะไม่กล้าติดตามเข้าไป เพราะเกรงกลัวบารมีของเทพพิทักษ์ทั้ง ๔ หรืออีกนัยหนึ่ง สรวงสวรรค์และวิมานทั้งหลายนั้นเกิดด้วยบุญฤทธิ์ พวกอสูรเป็นผู้มิได้ทำบุญมาแต่เก่าก่อน หรือถ้าทำก็ทำบุญมาน้อย เลยไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของสวรรค์และวิมานทั้งหลาย เช่นเดียวกันตราบใดที่เหล่าเทวดารบชนะพวกอสูร ซึ่งส่วนใหญ่ก็รบด้วยอุบายปัญญา ถ้าจะลุ้นด้วยฝืมือแล้ว
คงจะยาก เอาเป็นว่าเมื่อเทวดาฟลุ๊กรบชนะ พาไพร่พลรุกรบติดตามอสูรไปจนถึงประตูบาดาล อสูรหนีเข้าประตูบาดาลได้ เทวดาก็หมดสิทธิ์ติดตามต่อไป เหตุเพราะเมืองบาดาลเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความมือและอับชื้น หนึ่งวันจะเห็นแสงสว่างเพียงแค่สองชั่วยามเท่านั้น เหตุที่เป็นเช่นนี้คงเป็นเพราะบุญกรรมของคนพาลทั้งหมดที่ได้สร้างสมเอาไว้ เมื่อตายไปหลังจากชดใช้กรรมหนักๆทั้งหลายบนโลกมนุษย์หมดสิ้นหรือเบาบางลงแล้วก็ไปเกิดในอัตภาพของอสูรหรือยักษ์มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด ขาดปัญญา มีแต่พละกำลัง และจมปลักอยู่ในความโลก โกรธ หลง เช่นนั้นเพราะฉะนั้น พวกเทวดาก็เลยไม่กล้าที่จะเหยียบย่างกล้ำกรายเข้าไปในเขตของพวกอสูรด้วยประการฉะนี้


อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ

เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก

Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain

#8 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 11:46 AM

คำตอบของคุณคนรักวัด อ่านแล้วสนุกดีครับ รู้สึกเรื่องนี้จะมีเทพเจ้าของพราหมณ์
อยู่ด้วย เช่น พระนารายณ์ เป็นต้น
หยุดคือตัวสำเร็จ

#9 Tanay007

Tanay007
  • Members
  • 616 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 12:38 PM

รู้สึกเป็นตำนานในคติพราหมณ์นะครับ
ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประพันธ์ขึ้นในยุคของท่านสังกระ เมธีในศาสนาพราหมณ์ ประเด็นนี้ อ.เสถียร โพธินันนทะ เคยวิจารณ์ไว้ว่า คำภีร์รามยณะที่เป็นคำภีร์ใหม่ มีหลายตอนที่แต่งขึ้นมาเพื่อดิสเครดิตศาสนาพุทธและเทวดาในศาสนาพุทธ ทั้งที่ว่าก่อนนั้น ศาสนาพราหมณ์ก็นับถือพระอินทร์ด้วยเหมือนกัน ตอนที่ดิสเครดิตก็มีเช่น
1. พระอินทร์และพระอาทิตย์เป็นชู้กับภรรยาของฤษีโคดม จนให้กำเนิดพระยาพาลี และสุรีพ
2. พระอินทร์ถูกฤษีโคดมสาปให้มีเครื่องหมายผู้หญิงเต็มตัวไปหมด แต่ภายหลังพระอิศวรขอลดโทษให้ กลายเป็นนัยตาแทน
3. พระพรหม (นี่ก็หนีไปนับถือพุทธ) โกงพนันพระนารายณ์ โดยตนหนึ่ง เหาะไปสำรวจยอดเขาพระสุเมรุ อีกตนหนึ่งดำดินลงไปหาฐานเขาพระสุเมรุ
ผมก็เลยฟังเป็นนิทานสนุกๆ ซะมากกว่าครับ

#10 korn6230

korn6230
  • Members
  • 73 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 October 2006 - 03:21 PM

แล้วการที่ฆราวาสสวดนพเคราะห์ทุกวันจะได้บุญอย่างไรครับ?