ขอถามค่ะ
#1
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 12:43 PM
ทำไม เวลา ถวายบูชาธรรมหลวงพ่อ ตอนบ่าย จะต้องตะโกนว่ารวย ๆ ๆ คะ
ดูแล้วมันไม่เข้าคอนเซ็ปของวัด ที่ได้พูดถึงกันมาตลอดเลยคือ บุญ น่ะค่ะ ตั้งแต่ครั้งแรก จนถึงวันนี้ ก็ยัง ก็ยังรับไม่ค่อยได้ คือ ไม่เข้าใจน่ะค่ะ มีความรู้สึก เหมือน ไปเข้าวัดที่เค้า ใบ้หวยอะไรประมาณนั้นน่ะค่ะ เพราะ มันทำให้รู้สึกเหมือน เราไม่ได้หวังบุญ หวังบารมีอะไร ที่ทำไปเพราะหวังรวยน่ะค่ะ
มันสร้างภาพ ของความ งมงายน่ะค่ะ เหมือน ถ้าเราไปอยู่ในที่ที่ เค้าตะโกน คำว่า เงิน เงิน เงิน เราจะรู้สึกว่า พวกนี้ บ้าเงินน่ะค่ะ
ที่ไปถวายนี่ เราต้องการบุญไม่ใช่หรือคะ ที่มาที่ 1 รวยนี่เป็นวัตถุประสงค์รองๆลงมาไม่ใช่หรือคะ
ได้ฟังทีไร หน้าเสียทุกทีเลย ไม่ทราบว่าจะตอบคนที่เค้าเพิ่งไปได้ยังไง ว่า ไหนว่าวัดนี้ ไม่ได้บูชาเงิน มันเลยไปเหมือนกับที่ คนอื่นๆ ที่เค้ามองวัดไม่ดีน่ะค่ะ ว่า หลอกให้ไปทำบุญ แล้วจะ รวยๆๆๆ
ทำไมไม่กล่าวนำว่า " บุญ " คะ (อันนี้ถามนะคะ ไม่บังอาจจะเสนอแนะ)
ไม่ปฏิเสธค่ะ ว่า คนทุกคนอยากรวย แต่ สำหรบ koonpatt ความรวยไม่ใช่สิ่งแรกที่ต้องการจากการทำบุญ สิ่งที่ต้องการคือ บุญ กับความสุข (คือ การพ้นจากทุกข์) น่ะค่ะ
ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อ สร้างบุญ สร้างบารมี เพื่อที่จะได้มีความสุข ให้บุญเป็นที่พึ่ง เป็นหลักของชีวิตน่ะค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#3
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 01:11 PM
****ถ้าบุญได้มาฟรืๆก็ดีดิจะได้ไม่ต้องมีสมบัติจักรพรรค์ตักไม่พร่องหรือไม่ต้องรวยได้ ถ้าของที่วางอยู่ตามตลาดแม่ค้าเขาให้เราฟรืๆก็คงไม่ต้องทำมาหากิน โอ้วจอร์ทมันยอดมาก****
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง
สุนทรพ่อ
มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ
#4
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 01:15 PM
น่าเสียดายคนกล้าแสดงออกจึงน้อย คนอย่างkoonpatt ผมเชื่อว่ารักวัด รักหลวงพ่อ ไม่น้อยไปกว่าคนอื่นแน่นอน เพียงแต่ไม่ได้รักแบบ หลงงมงาย เขาเรียกว่ารักแบบคนมีปัญญา ตัวหลวงพ่อเองท่านก็คงไม่มาใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยหรอกครับ เพราะความเมตตาที่ท่านมีต่อลูกศิษย์ มันมากเสียจนไม่เลือกว่าใครจะเป็นลูกศิษย์หรือไม่เป็น เพราะฉะนั้นถ้ารักหลวงพ่อเห็นหลวงพ่อเป็นแบบอย่างแล้วล่ะก็ จงฟังเสียงสะท้อนของคนรอบข้างด้วย เพื่อวัดจะได้มีข้อติ ของคนอื่น ให้น้อยที่สุด ไม่ใช่ว่าพอมีคนติหน่อยก็ว่าเขา เหน็บเขาโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน
ช่วยกันครับไม่มีอะไรที่ดีพร้อมทุกอย่าง เพียงแต่เกิดสิ่งที่ดีๆให้มากที่สุด ขออนุโมทนากับkoonpatt ครับ
#5
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 01:48 PM
อะไรที่ติดขัดข้องอยู่ในใจ ก็คงจะบอกกล่าวกันได้ด้วยจิตที่ปรารถนาดี
เพราะเชื่อว่า ถ้าหากเป็นสิ่งดีงาม ที่จะทำความรุ่งเรืองให้พระพุทธศาสนา วัดก็พร้อมที่จะกระทำในสิ่งนั้นๆ
ก่อนอื่นต้องขอให้ความเห็นส่วนตัวในฐานะชาวบ้านที่รักในการสร้างบารมี
เรื่องนี้เป็นเรื่องมุมมองหรือวินิจฉัยของแต่ละคน
เช่นบุคคลากรที่อยู่เขตในวัด (คือเป็นบุคคลากรวัด) หรือบุคคลที่ใกล้ชิดวัด
ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ส่วนมากจะมีความคิดที่บริสุทธิ คิดพูดทำ ในสิ่งใด
ก็ไม่ต้องคิดอย่างซับซ้อน ระแวงอย่างโน้นอย่างนี้มากนัก
ส่วนพวกเราที่อยู่ภายนอก ได้ถูกสังคมหล่อหลอม มีความกดดันสารพัน
ความคิดก็จะซับซ้อน ระแวง ระวัง มาก
ดังนั้น ที่พูดว่า รวย รวย รวย ใจเขาคิดปรารถนาดีว่า ขอให้บุญนี้ส่งผลให้รวย ก็เท่านั้น
ส่วนพวกเราก็คิดต่อเนื่องไปอีกว่า.........
ผมว่า ดีครับ ถือเป็นการสะท้อนเพื่อสร้างสรรค์ และป้องกันภัยไปด้วย
#6
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 01:54 PM
เพราะ ในภาษาอังกฤษ คำว่า rich ใช้ได้หลายๆ ความหมายมากอยู่เหมือนกัน เช่น This food is rich of vitamines. Wat Phar Dhammakaya is rich of enthusiastic buddhists. etc.
อย่างไรก็ตาม โปรดลองฟังความคิดเห็นจากท่านผู้อื่นประกอบด้วย จะช่วยให้เห็นมุมหลายมุมมองมากขึ้นจ้า
โปรดลองพิจารณาดูภาพนี้ ประกอบเพิ่มเติมไปด้วยนะครับ
ข้าพเจ้าขอ อนุโมธนาบุญ กับ ทุกๆท่าน ด้วยจ้า
สาธุ...สาธุ...สาธุ...ครับ
ขอเชิญร่วม อนุโมทนาบุญ งานบุญกฐินพระราชทาน ที่ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก คลิ๊กที่นี้
Who am I?__>>> CLick Here <<< to see my answer Post # 7
.
รวมภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า: คลิ๊กที่นี้คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 58 files, 120.99 MB, for easy listening dharmas.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 121 really-good-to-read e-books, 295.67 MB.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Free Download Manager ช่วย Download ไฟล์ใหญ่ๆ ต่างๆ ฟรีครับฟรี
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Acrobat Reader V.5
.
The basic knowledge of Buddhism to become a better buddhist Edition 2 คลิ๊กที่นี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
-= Hillary Clinton =-.... >>>>>>> CLicK HeRe <<<<<< To Be wisher, To Be smarter, and To Know Better !!!
#7
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 02:26 PM
ในแง่ของการสร้างศรัทราการปลุกฝังให้เพื่อนใหม่ๆที่หวังจะมาศึกษาธรรมะ ในวัดของเรา ถ้าเขาไม่เข้าใจเจตนารมของคำว่า"รวย" การมาวัดครั้งแรกของเขาอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้
พระพุทธเจ้าสอนให้สันโดษมักน้อยพอใจในสิ่งที่ตนมี ในหลวงสอนให้ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง
ขอให้พวกเรา ประยุกต์ใช้ สมบัติ บุญ และ กิริยาวาจาพิธีการ ให้เหมาะสมตามรูปการณ์ด้วยครับ
บางทีเจ้าหน้าที่บางท่านอยู่ในวัดเพียงอย่างเดียวเจอแต่กัลญาณมิตรลูกหลวงพ่อที่ใจใสๆอย่างเดียว จึงเข้าใจคนใหม่ๆได้น้อยกว่าผู้นำบุญที่อยู่ข้างนอก ซึ่งเจอคนมาสารพัดรูปแบบ เพราะฉนั้น เจ้าหน้าที่ในวัดต้องรับฟังข้อมูลผู้นำบุญข้างนอกและเอามาไตร่ตรองดูนะครับ
#8
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 03:26 PM
ไปครั้ง ตอนเช้า พาไป ถวายสังฆทาน เสร็จ ก้อพามานั่งสวดมนต์ เพื่อนชอบมากเลย โดยเฉพาะคำกล่าวอธิฐานตอนก่อนถวายสังฆทาน
ที่จะมีเจ้าหน้าที่วัด นำอธิฐานจิต นะค่ะ เขาบอกว่าไปที่ไหนๆๆ ก้อไม่เหมือนมาที่นี่
แต่บอกตอนถวายปัจจัย เพื่อนกลับบอกว่า หัวหน้าชั้น หน้าจะนำอธิฐานจิต เหมือนตอนไปถวายสังฆทาน
แต่อาจจะเปลี่ยนคำพูด ไม่ต้องย้ำคำว่ารวยๆๆ มากๆๆ ก้อได้
เลยอึ้งไปเหมือนกันค่ะ
[email protected]
#9
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 03:43 PM
ก็เข้าใจ และที่จริงก็อยากรวยค่ะเพราะจะได้เอาตังมาบำรุงพระพุทธศาสนาเยอะ ๆ
แต่
1) เกรงเป็นอันตรายต่อคนใหม่ ๆ มาก ๆ เพราะมีหลายท่านที่เป็นดังคำพูดของคุณสิรปโภว่า
2) บรรยากาศพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์ ที่น่าปลื้มใจบางงาน นั้นถูกทำลายลงได้โดยง่าย ทำให้บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์หายไปเลย มัวแต่มาเย้ว ๆ รวย ๆ กัน
ทั้งนี้เพราะคำว่ารวยมักถูกเข้าใจไปในทางลบ (ทั้ง ๆ ที่ทุกคนอยากรวย) ทางความโลภ เป็นต้น
ถ้าอยากให้ทุกคนรวย เปล่ี่ยนเป็นคำอธิษฐานเป็นให้มีสมบัติ ทั้งคุณสมบัติ ธนสารบริวารสมบัติ ฯลฯ แทนได้ไหม หรือ นิพานะปัจโยโหตุ อะไรทำนองนี้ อาจจะทำให้บรรยากาศดี ๆ นั้นคงอยู่ และไม่เสี่ยงที่จะทำให้ผู้ที่เข้าวัดใหม่เข้าใจผิดค่ะ
ฝากไว้อีกครั้งค่ะ ขอบคุณค่ะ
#10
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 04:53 PM
ผลกระทบที่หนักที่สุดของคน ไม่ใช่ รวย หรือ จน แต่ เป็น ดี หรือ ชั่ว เพราะ ดี ก็ไปดี ถ้า ชั่ว ก็ไป อบาย ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมเราไม่ตั้งเป้าหมาย ให้รวยด้วย ดีด้วยล่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 05:02 PM
ปัจจัยจากคนที่เดินทางมาอีกด้วย ระหว่างที่เดินนำผ้าป่าหางกฐิน ไปถวายแก่หลวงพ่อนั้น
ผู้นำบุญก็ร้องนำ รวยเร็ว รวยแรง รวยรวด รวยอัศจรรย์ สะบั้นหั่นแหลก รวยถึงที่สุดแห่งธรรม
ผมก็ร้องตามเหมือนกันแต่ไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไร เพราะว่ามันเหมือนกับไม่มั่นใจ
เพราะเราทำบุญแล้วจะรวยได้ขนาดนี้ มันเกินเหตุเกินปัจจัย
ต้องมาคิดตรอง ตามเบื้องหลัง ว่าเหตุใด เขาจึงทำเช่นนี้ เพราะอาจจะทำให้คนไม่เข้าใจ
เรื่องการทำบุญว่าต้องรวยจริง ๆ ก็ได้ ประเดี๋ยวถ้าไม่รวยเลยพาลเลิกทำไปเลย
ลองค้นคว้าคิดดูไปเรื่อย ๆ ก็พบคำตอบว่าน่าจะเป็นเช่นนี้
อรรถกถา กล่าวว่า ทานที่มีผลมาก ประกอบด้วย
องค์ ๓ คือ
๑. ผู้รับมีศีลมีคุณธรรม
๒. ของที่ให้ ได้มาอย่างสุจริต มีประโยชน์และสมควรแก่ผู้รับ
๓. มีเจตนาบริสุทธิ์ มีจิตใจที่ยินดี แจ่มใส เบิกบาน ทั้งก่อนให้
ขณะให้ และ เมื่อให้แล้ว
สัปปุริสทานสูตร (๒๒/๑๔๘) พระผู้มีพระภาค ตรัสถึง
ทาน ๕ ประการ
๑. ทานที่ให้ด้วยศรัทธา ทำให้ร่ำรวยและมีรูปงาม
๒. ทานที่ให้โดยเคารพ ทำให้ร่ำรวยและมีบุตร ภรรยา บริวาร
ที่เชื่อฟัง
๓. ทานที่ให้โดยกาลอันควร ทำให้ร่ำรวยตั้งแต่ปฐมวัย
๔. ทานที่ให้ด้วยจิตอนุเคราะห์ ทำให้ร่ำรวยและพอใจใช้ของดีๆ
๕. ทานที่ให้โดยไม่กระทบตนและผู้อื่น ทำให้ร่ำรวยและทรัพย์นั้น
ปลอดภัยจากไฟ น้ำ หรือ การแย่งชิงของผู้อื่น
จากที่ยกมากล่าวและจากการฟังโอวาทของหลวงพ่อ พบว่าในขณะที่ทำทานนั้น
จากทานที่มีผลมาก ข้อที่ ๑ และ ๒ เรามั่นใจแล้วว่าเราถึงพร้อม
ส่วนข้อที่ ๓ นั้น ถ้าจะให้มีจิตใจที่ยินดี แจ่มใส เบิกบาน ทั้งก่อนให้ ขณะให้ และเมื่อให้แล้ว
ควรจะหาวิธีใดที่จะยกใจให้ผุ้ที่กระทำทานนั้น ให้อยู่ในความ ยินดี แจ่มใส เบิกบาน ตลอดทั้ง ก่อนให้ ขณะให้ และให้แล้ว
จึงเป็นที่มาของการ ร้องตะโกนดังกล่าว
ถ้าผู้ที่ทำทาน สามารถยกใจตัวเองตามได้แล้ว ก็จะได้บุญครบเต็ม ๓ กาล
ยกตัวอย่าง
ก่อนให้ คือ วันนี้คิดจะใส่บาตร คิดปุ๊บกุศลจิตก็เกิดแล้ว พรุ่งนี้จะเอาอะไร
ใส่บาตร กุศลจิตเกิดแล้วก่อนทำ เรียก ปุพเจตนา กำลังใส่ พระกำลัง
มา เรียกกำลังใส่ บุญจากเจตนา กำลังทำ อปราปรเจตนา ทำแล้ว
สาม อิ่มใจ ปีติในสุขที่ได้ทำบุญ ถ้าทั้งสามกาลนี้ เสียตอนใดตอนหนึ่ง
เวลาให้ผล ก็ให้ผลไม่เท่ากัน ก่อนทำเจตนาดี ให้ผลตั้งแต่อายุ ๑ ถึง ๒๕ ปี
กำลังทำ ให้ผล ๒๕ ถึง ๕๐ ทำแล้ว ๕๐ ถึง ๗๕ ให้ลองสังเกตชีวิตคนเรา
ตามช่วงทั้งสามกาลนี้ ดังนั้นก่อนทำ กำลังทำและเมื่อทำแล้ว ก็ให้เป็น
ทานที่บริสุทธิ์ไปเลย ถ้าใครทำดีทั้งสามกาล ก็จะดีตลอด
ส่วนการตะโกนเมื่อได้ทำทานเมื่อฆ่าความตระหนี่มีมาแล้วในสมัยพุทธกาลเมื่อ
จูเฬกะสาฎกพราหมณ์ จนมาก มีผ้าห่มผืนเดียว ผลัดกันใช้สองสามีและภรรยา
วันนั้น พราหมณ์จูเฬกะสาฏก ได้ฟังทานสูตร เมื่อฟังเทศน์ตอนเริ่มต้น ก็ยังมีใจ
เสียดายผ้าห่มอยู่ ความตระหนี่เข้ามาขัดขวางคิดว่า ให้แล้วภรรยาจะเอาอะไรใช้เล่า
จึงฟังต่อไปถึงตอนกลางคิดว่า เออที่เราจนอย่างนี้เพราะไม่ให้ทานจึงตัดใจคิดว่า
เอาละ ให้ไปแล้วหาใหม่เอาก็ได้ แต่ความตระหนี่ก็ขัดขวางไว้อีก คิดว่าถ้าให้ไปแล้ว
หาใหม่ไม่ได้จะเอาอะไรห่ม ก็ฟังเทศน์ต่อไปจนตอนท้าย นึกขึ้นว่าถ้าไม่ให้วันนี้แล้ว
จะให้วันไหน จึง ตะโกนว่า ชิตังเม เราชนะแล้ว
พร้อมทั้งพับผ้าห่มนำมาวางไว้แทบเท้าพระศาสดา
หลังจากนั้นพราหมณ์ก็ร่ำรวยทันตาเห็น แต่พระพุทธองค์ตรัสให้ฟังว่านี่ยังน้อยไป ถ้าพราหมห์มอบ
ผ้าห่มมาให้ตอนเริ่มเทศน์ ก็จะได้สมบัติ อย่างละ ๑๖ ถ้ามอบให้ตอนกลางจะได้สมบัติอย่างละ ๘
ถ้ามอบให้ตอนท้ายก็จะได้สัมบัติอย่างละ ๔ คือที่พระเจ้าปเสนทิโกศลประทานให้ ทุกอย่างอย่าง
ละ ๔
ใครมีความเห็นอย่างอื่น แลกเปลี่ยนกันได้ครับ
#12
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 05:09 PM
ตัวผม ผมไม่รู้สึกอะไรกับการเปล่งวาจาแบบนี้ คิดในแง่บวกว่า เป็นการแสดงเจตจำนงที่ชัดแจ้งว่าชาติหน้าต้องรวยกว่านี้ จนตลอดทุกชาติถึงที่สุดแห่งธรรม ผมคิดแบบนี้เลย ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่
แต่สำหรับท่านที่รู้สึกตะหงิดๆ แนะนำว่า ให้ไปคุยกับหัวหน้าชั้นโดยตรงเลยสิครับ ไปวัดก็ไปถามหัวหน้าชั้นเลย เล่าให้ฟังว่า มีคนใหม่ข้องใจๆ อย่างงี้ๆ ถ้าหัวหน้าชั้นตอบเหมือนไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของเรา ก็บอกไปว่า ก่อนที่พี่จะพูดคำนี้ ขยายความก่อนทุกครั้งได้ไหม เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ว่า รวย รวย รวย ที่ว่า หมายถึงอะไรกันแน่
ถ้ายังไม่ได้เรื่องอีก ก็ไปกราบคุยกับหลวงพ่อเลยครับ สิ้นเรื่อง ง่ายดี ไปหาหลวงพ่อทัตตะก็ได้ ที่อาศรมบัณฑิต เดี๋ยวท่านก็จัดการตามความเหมาะสมเองแหละครับ
การมาโพสแสดงความคิดเห็นกันตรงนี้ ผมว่ามันไม่ถึงผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนี้หรอกนะครับ เพราะถ้ามันถึง มันก็ควรจะถึงไปตั้งแต่กระทู้ที่คุณบุญโตกล่าวอ้างแล้วล่ะครับ จริงไหม
http://www.dmc.tv/fo....php/t1074.html
จบข่าว
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#13
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 05:54 PM
ถ้ามองภาพย่อยเฉพาะตัวผม
ผมไม่เห็นความจำเป็น ที่มีการพูดพร่ำเพรื่อ เรื่องนี้ ในเวลาจะถวายไทยธรรม
เพราะโดยมาก คำจำพวกนี้ ผู้คนมักตีความไปเรื่อง โลภะ
และโดยส่วนตัว คิดคล้อยตามผู้คนไปด้วย เพราะเราถูกหล่อหลอมมาอย่างนั้น
บางครั้งรู้สึกว่า คำจำพวกนี้ ลดคุณค่าแห่งทานบารมีของตนเองด้วย
ในประเด็นเรื่อง พูดเพื่อตอกย้ำ ความปรารถนาอยากรวย
ทำให้ผมระลึกถึงความฝัน ( แค่ความฝัน นะครับ )
ผมเคยฝันถึงพระเดชพระคุณ หลวงปู่ฯ ว่า
ท่านนั่งรับการถวายไทยธรรม มีพี่ท่านหนึ่งที่ผมคุ้นเคย
เข้าไปถวายปัจจัยกับมือ พระเดชพระคุณ หลวงปู่ฯ แล้วขอพรท่านว่า
ด้วยผลแห่งทานนี้ ขอให้ลูกร่ำรวย
พระเดชพระคุณ หลวงปู่ฯ ท่านก็ยิ้ม ๆแล้วกล่าวตอบว่า
เมื่อเอ็งทำบุญทำทาน ไม่ว่าเอ็งจะขอ ( ให้ร่ำรวย ) หรือไม่ขอ
( ด้วยผลแห่งบุญแห่งทาน ) ก็ทำให้เอ็งรวย อยู่แล้วล่ะวะ
ต่อจากนั้นมีพระเถระ ( จากโคราช ) เข้ามาถวายพระเครื่องและสร้อยประคำพวงใหญ่
พระเดชพระคุณ หลวงปู่ฯ ท่านยิ้ม ๆ และรับไว้ แล้วส่งให้ผม
ความคิดกายฝันของผม ตอนนั้นเข้าใจความหมายของพระเดชพระคุณ หลวงปู่ฯ ว่า
เอ็งเอาไปเถอะ
แต่ผมไม่รู้สึกยินดีเลย เพราะคิดว่า
หลวงปู่ฯ คงเห็นสิ่งเหล่านี้ เป็นเพียง ธาตุ 4 เท่านั้น
หลวงปู่ฯยังไม่เอาเลย เราจะเอาไปทำไม
จึงเดินไปมอบให้ภิกษุอีกรูปหนึ่ง.
กลับมาที่คำพูด ที่มีอิทธิพลต่อความคิดกันต่อครับ
เมื่อมอง ภาพใหญ่ ภาพรวมทั้งหมด
ก็เห็นความสำคัญและจำเป็น
ในเรื่อง รวยบุญ รวยบารมี รวยคุณธรรม ความดี
อย่างที่เคยมีการอธิบาย ขยายความ ( ในบางครั้ง )
อีกอย่าง มนุษย์ส่วนมาก เลาะไปตามฝั่ง
พอใจ ยอมรับ อยากได้โลกียสมบัติ มากกว่า โลกุตตระสมบัติ
คำพูด รวย จึงโดนใจ คนทั่วไปมากกว่า
สำหรับผมคิดว่า
คำว่า รวย ( โลกียสมบัติ และโลกุตตระสมบัติ )
ควรไปใช้ตอนอธิษฐานบารมี ตอนใจนิ่ง ๆ ใส ๆ
จะเหมาะสมกับกาละ เทศะ มากกว่า
แต่บอกตรง ๆ เวลาหัวหน้าชั้น นำพูดอะไร
ผมเองพูดดัง มากกว่าเพื่อน ๆซะอีก
เพราะถือว่าเป็นการร่วมมือกับหมู่คณะ
และเวลาได้เปล่งเสียงเป็นทีม ก็เบิกบานดีครับ
#14
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 06:03 PM
แต่ในส่วนตัวของผม ผมว่า ควรใช้คำนี้มากกว่า
ชิตํ เม
คำนี้...เป็นการประกาศชัยชนะของทายกผู้เอาชนะความตระหนี่ในใจได้
ส่วนคำว่า รวย ก็ไปอธิษฐานกัน
อย่างน้อย..ก็คงจะได้มีหัวข้อสนทนาถึงความหมายคำว่า "ชิตํ เม" บ้างละ
#15
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 06:38 PM
รวยที่ 1 คือ รวยบุญ
รวยที่ 2 คือ รวยบารมี
รวยที่ 3 คือ รวยเป็นเศรษฐีกันทุกๆคน
---------------------------------------------------------------------------------
รวยบุญ รวยบารมี รวยเป็นเศรษฐีกันทุกๆคน ทรัพย์สมบัติมีมากล้น พวกเราทุกคนมารวยเร็วๆ
เพลง มาเร็วรวยเร็ว ค่ะ
หยุดนั่นเองเป็นตัวสำเร็จ
ทั้งทางโลกและทางธรรม สำเร็จหมด
#16
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 08:51 PM
เวลาที่เราเปล่งเสียงรวยๆตามพิธีกรนั้น เนื่องจากเรามีจิตใจเบิกบานในบุญ และคิดว่าเราทำสำเร็จแล้ว เราตัดความตระหนี่ได้แล้ว เราจะไม่อดอยากยากเข็ญอีกแล้ว เราจะมีอุปกรณ์ในการสร้างบารมีได้ยิ่งๆขึ้น(ในภายภาคหน้า)แล้ว
ถ้าเราไม่กล่าวคำว่ารวย อาจต้องคิดคำอื่นๆที่ให้พลัง และความรู้สึกปลื้มๆๆที่ได้ทำบุญใหญ่แล้ว ช่วยกันคิดกันดูครับ
ส่วนคนใหม่ที่ยังไม่เข้าใจเป้าหมายของพวกเรา พวกเราต้องทำหน้าที่กัลยาณมิตรอธิบายให้เขาเข้าใจนะครับ
สาธุครับ...
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#17
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 09:12 PM
****ถ้าบุญได้มาฟรืๆก็ดีดิจะได้ไม่ต้องมีสมบัติจักรพรรค์ตักไม่พร่องหรือไม่ต้องรวยได้ ถ้าของที่วางอยู่ตามตลาดแม่ค้าเขาให้เราฟรืๆก็คงไม่ต้องทำมาหากิน โอ้วจอร์ทมันยอดมาก****
คือ กรณีของ koonpatt เข้าใจค่ะ ว่า บุญไม่ได้มาฟรีๆ จึงตั้งใจทำทุกบุญค่ะ
ทุกๆ ท่านในที่นี้เข้าใจถึงสิ่งนี้เป็นอย่างดี แต่อีกหลายๆ ท่านยังไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพราะ เคยมีกัลยาณมิตรบางท่าน ใช้วิธีการชักชวนให้ คนเข้าไปทำบุญที่วัด ด้วยประโยคที่ว่า
" ถ้าทำบุญกับที่นี่เยอะๆนะ หลวงพ่อจะทำให้จะรวยๆๆๆๆ " แล้วก็ชวนขายตรง อันนี้อันนึง เลยเกิดคำครหา ธรรมกาย ขายตรง
ตอนนั้น ก็งงนะคะ ว่าเกี่ยวอะไร มาทำบุญ ก็คือหวังบุญนะ ไม่ได้หวังรวย นึกไปใหญ่โต หรือ จะใบ้หวย (คิดไปไกล) พอดีเป็นคนไม่สนใจเรื่องหวย เรื่องเลข เลยรอดตัวค่ะ
ขนาดมาร่วมบุญกฐิน เมื่อวันที่ 5 กลับไปถึงบ้าน แม่บอกว่า ผู้จัดการเขตที่อยู่กรุงเทพ มาเยี่ยมดูกิจการที่บ้าน พอทราบว่าเราไปที่วัด ก็ยังบอกแม่ว่าเคยไปวัดกับแฟน แต่ไปเจอประโยค ทำบุญเยอะๆ แล้วจะรวยนี่แหล่ะค่ะ ก็เลยไม่ไปอีกเลย ให้เหตุผลว่า
"เหมือนหลอกให้คนที่อยากรวยไปทำบุญกันเยอะๆ ก็เลยไม่อยากไป เพราะวัดมาจับจุดตรงที่ รู้ว่าใครๆก็อยากรวยก็เลยเอาตรงนี้มาเป็นจุดขาย
ก็พูดถึงขนาดที่ว่า ก็จบมาทางเศรษฐศาสตร์ เรื่องบริหารต้องเก่งอยู่แล้ว แล้วทีมงานก็มีแต่คนจบสูงๆ การตลาดเลยดี โฆษณาประชาสัมพันธ์เด่น ฯลฯ "
เค้าดูถ่ายทอดสดกันด้วยน่ะค่ะ เลยสุมฟืน ใส่ไฟ ว่า ก็ดูสิ พูดแต่เรื่องรวยๆๆ ใครๆก็อยากไปสิ เที่ยวนี้กลับบ้านไป เลยพูดอะไรไม่ออก บอกไม่ถูกเลยค่ะ
เล่าให้ฟังค่ะ ไม่ทราบว่าจะอย่างไร แต่ koonpatt ก็ขอร่วมทุกบุญด้วยเหมือนเดิมค่ะ
สู้ สู้
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#18
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 10:06 PM
การยังบุญกุศลให้ถึงพร้อม
การยังจิตใจให้ผ่องแผ้ว
กรรม ๓ อย่างนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฯ
#19
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 10:36 PM
และอาจพลาดพลั้งไปสู่อบายได้
เลี้ยงพระ 1รูป กับเลี้ยงพระ 100,000 รูป ย่อมได้บุญเหมือนกันแต่ถ้าศรัทธาเท่ากันเลี้ยงพระ 100,000 รูป ย่อมได้บุญมากกว่าเพราะพระ100,000รูปย่อมจะสามารถสั่งสอนผู้คนให้เป็นคนดีได้มากกว่า แต่การจะทำบุญกับพระแสนรูปนั้นถ้าไม่รวยก็ทำไม่ได้
ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องอธิษฐานให้รวย เพื่อจะได้ใช้ความรวยนั้นทำนุรุงพระศาสนาและสร้างประโยชน์ให้แก่โลก ยิ่งพวกเรารวยเร็วเท่าไหร่
หลวงพ่อก็จะขยายวิชชาธรรมกายไปสู่ชาวโลกได้เร็วเท่านั้น ยิ่งพวกเรารวยมากเท่าใดพระพุทธศาสนาก็ไปถึงชาวโลกได้มากเท่านั้น
ในวันนี้เราคงเห็นแล้วว่า สภาธรรมกายสากลที่มีขนาดใหญ่เกือบสองร้อยไร่นั้น บัดนี้คนมามากขึ้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงต้องสร้าง
มหารัตนวิหารคต แต่ยังไม่อาจสร้างให้เสร็จได้ เพราะพวกเรายังไม่รวยนั่นเอง หากเรารวยกันทุกคนแล้วหลวงพ่อให้บุญอะไรมา
ก็คงสำเร็จในไม่กี่วัน ชาตินี้กว่าจะเป็นวัดพระธรรมกายขึ้นมาได้หมู่คณะรุ่นบุกเบิกต้องลำบากมากแค่ไหน เราเคยทราบกันบ้างไหม
ดังนั้นความรวยจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการขยายงานพระศาสนาอย่างยิ่ง ท่าอนาถบิณฑิกฯ คงสร้างวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาไม่ได้ถ้าท่านไม่รวย
เพราะเจ้าเชตุประกาศขายที่ดินด้วยราคาแพงมหาโหด
การที่ต้องตอกย้ำว่า รวย รวย นั้น เพื่อให้ผังรวยติดอยู่ในใจเรา ให้เราคุ้นเคยกับความรวยเพราะจะต้องใช้ความรวยนี้ช่วยงานหมู่คณะในการไปสู่ที่สุดแห่งธรรมได้อย่างง่ายดาย อย่างสะดวกสบาย ผมเข้าวัดมาในช่วงเริ่มสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ มาแรกก็ไม่เข้าใจ แต่ต่อมาได้รู้ว่า การจะแผ่ขยายพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกายไปสู่ชาวโลก ไปสร้างคนดีมีศีลธรรมนั้นไม่อาจทำได้ด้วยเงินเพียงสิบบาท
เราในฐานะเป็นฝ่ายเสบียงของหมู่คณะจึงจำเป็นต้องมุ่งไปสู่ความรวย ความเป็นบรมเศรษฐี
เพื่อจะได้ช่วยหลวงพ่อรื้อสัตว์ ขนสัตว์ เข้าให้สู่พระนิพพานรื้อวัฏฏสงสารปราบมารไปสู่ที่สุดแห่งธรรม โดยเร็วและสะดวกสบาย
ดุจแสงเทียนแสงธรรมนำชีวิต พระอุทิศกายใจทำไมหนอ
ลำพังตัวพระเองก็สุขพอ ใยต้องรอผองเราเข้าถึงธรรม
........................................................
อยากให้มีใครสักคน ช่วยปลดกังวลให้ฉันพ้นพันธนาการ
ฉันเหนื่อยล้ามานาน ในงานที่ฉันไม่จัดเจน
เธอรู้ใช่ไหม หน้าที่นี้ควรเป็นของใคร
แล้วทำไม ยังไม่ยอมเข้าใจ
ปล่อยให้ฉัน ยังต้องทนฝืนธรรม
เธอรู้บ้างไหม
กาลเวลาได้ดื่มกิน ความแข็งแรงจนหมดสิ้นจากฉันไป
ฉันจะเหลือเวลาอีกสักเท่าไหร่
ที่จะเหลือไว้เพื่อทำงานที่แท้จริงเป็นงานที่สำคัญยิ่ง
เพื่อมวลมนุษย์ชาติ และธาตุธรรม
เวลาของฉันเหลือน้อยเต็ม
ทีกำลังริบหรี่เหมือนอาทิตย์ใกล้อัสดง
ชีวิตฉันคงไม่ยั่งยืนยง มั่นคงเป็นหมื่นปี
โปรดเถิดท่านผู้มีบารมี ให้โอกาสแก่ฉันเสียที
ได้ทำงานที่แท้จริง
โปรดเถิดท่านผู้มีบารมี ให้โอกาสแก่ฉันเสียที
ได้ทำงานที่แท้จริง
ตะวันธรรม
#20
โพสต์เมื่อ 07 November 2006 - 11:01 PM
พี่น้องเหล่ากัลยาณมิตรวัดเราเข้าใจกันก็เลยตะโกนสั้นๆได้ใจความ " รวย "
โชคดีที่เพื่อนเรา ว่ายังไงก็เลยว่าตามกัน
เรื่องนี้อาจจะดูขัดๆไปบ้างสำหรับผู้มาใหม่ ( ไม่ได้ความเห็นไม่ตรงกันหรอก แต่เพียงแค่อาจจะมองต่างมุมกันเท่านั้นเอง)
แต่เป็นความปราถนาดีของพวกเรา เราไม่อยากเห็นเค้าลำบากยากจน ก็ต้องช่วยให้เค้ารวย
อีกอย่างคิดว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองด้วย ย้ำเตือนตัวเอง
" รวยใครคิดว่าไม่สำคัญ "
หลวงพ่อถามในรร.อนุบาลบ่อยๆ ว่า " อยากจนแบบนี้มั้ย , ลองไปจนดูมั้ย ,เข็ดหรือยังละจ๊ะ "
พวกเราก็จะตอบว่าไม่อยาก (ก็ไม่อยากจริงๆค่ะ )
ส่วนที่วัดเราเป็นวัดใหญ่และกำลังเติบโต ผู้ที่เข้ามานั้นมีหลายแบบ
......ส่วนใหญ่ตั้งใจมาทำบุญ......
(บางคนหวังดีแต่อาจใช้วิธีการบอกเล่า หรือชักชวนที่ไม่รอบคอบเลยทำให้มีการเข้าใจผิดไป ก็มี )
ส่วนน้อยมาหาผลประโยชน์ส่วนตัวก็มีบ้าง เช่นพวกชอบแอบอ้างก็มี
ดังตัวอย่างปีที่แล้วที่เอาชื่อมหาเศรษฐีผู้ใจบุญวัดเราไปแอบอ้างหาผลประโยชน์ หลวงพ่อเลยต้องมาประกาศออกในฝันในฝันด้วย
พวกมาลักขโมยก็ยังมี จับได้อยู่บ่อยๆ ทั้งเงิน มือถือ รถ เป็นต้น
ใครทำดีก็ได้ดี ใครทำไม่ดีก็ต้องได้รับวิบากกรรมไป แต่เราก็ต้องช่วยเป็นหูเป็นตาด้วยป้องกันไว้
ธรรมชาติของคน มักจะชอบจับผิดมากกว่า พอได้ยินเรื่องไม่ดีจำได้แม่นที่เดียว จริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่ขอพูดไว้ก่อน
นินทานั้นปกติ
m-ss เองพอได้ยินคนอื่นว่าวัดเสียๆหายๆ ทั้งที่บางคนไม่เคยมาด้วยซ้ำ ถ้าคนไหนพอจะอธิบายได้ก็อธิบาย เราก็ได้บุญด้วย เค้าก็จะได้ไม้ต้องเสี่ยงต่ออบายไปมากกว่านี้ แต่คนไหนดูแล้วไม่ไหวจริงๆก็เลี่ยงก่อนรอโอกาสดีกว่า ขึ้นกับบุญของเค้าแล้วแหละ ตัวเราก็ทำดีที่สุด เคยเจอประเภทที่ทำให้เราโกรธมากๆๆก็เคย แต่ที่ข่มได้เพราะ สงสารเค้ามากกว่า เพราะเค้าไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรลงไป มันเสี่ยงต่อ ..... แค่ไหน หันมาแผ่เมตตาให้ดีกว่า ขืนพูดต่อมีหวังเค้าก็จะยิ่งหาข้อนั้นข้อนี้มาอ้างเรื่อยไปนะแหละไม่จบ จะจบได้เมื่อบุญในตัวตัวเค้าส่งผล
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ดีทุกคนนะคะ ยังมีผู้มีบุญที่เค้ารอเราอยู่(เป็นส่วนมาก) รอให้เราไปบอกสิ่งดีๆกับเค้า พวกเราเหล่านักเรียนรร.อนุบาลก็อย่าเพิ่งท้อนะคะ สู้ต่อไป ใจสู้ชูนิ้วเดียว สาธุ สาธุ
#21
โพสต์เมื่อ 08 November 2006 - 03:06 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#22
โพสต์เมื่อ 08 November 2006 - 03:48 PM
เห็นด้วยกับคุณสิริปโภ
Wording ของคำว่า"รวย"อาจถูกบางสังคมมองว่าแฝงไปด้วยความโลภ ผู้เปล่งวาจาหลายท่านรวมทั้งผมก็ไม่ได้รู้สึกปลื้มเมื่อเอ่ยวจีนี้
แต่ผมกลับปลื้มและสดชื่นเมื่อได้ยิน คำกล่าวนำของหลวงพ่อฯที่ว่า"ให้มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง"และ"รื้อผังจน"
เป็นไปได้ไหมที่ พวกเราและหัวหน้าชั้น จะร่วมกันสรรหา คำที่ผูกใจสาธุชนทุกคนเมื่อเปล่งวาจาร่วมกัน
#23
โพสต์เมื่อ 08 November 2006 - 06:37 PM
#24
โพสต์เมื่อ 08 November 2006 - 09:17 PM
ความจนเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
ทั้งจนและเป็นหนี้ยิ่งเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
สมมติ
หากยังต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป และได้เกิดมาในชาติหนึ่งได้พบพระพุทธเจ้า
ระหว่าง
1) เกิดเป็นคนที่มีทรัพย์สิน เงินทองใช้ไม่มีหมดสิ้น ไม่มีพร่อง
กับ
2) เกิดเป็นคนจนๆ แทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ
ถ้าหากคนทั้งสองมีใจบริสุทธิ์เท่ากัน
ได้มีโอกาสทำบุญลักษณะเดียวกันกับพระพุทธเจ้า
ความต่างเดียวคือความมากน้อยของทรัพย์ และความบริสุทธิ์ของทรัพย์นะครับ
หากจนก็สร้างบุญได้ไม่เท่าไรไม่ว่าชาตินี้หรือชาติใดๆ
ดูอย่างมหาอุบาสิกาวิสาขา และท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ได้มีโอกาสอันยิ่งใหญ่ในชีวิต ได้สร้างบุญกับพุทศสนากาลปัจจุบัน
ถ้าหากทั้งสองท่านไม่รวยแล้วก็คงทำอะไรมากไม่ได้ ดั่งที่ปรากฏ
และที่สำคัญที่สุดเพราะบุญอยู่ทุกเบื้องหลังความสำเร็จครับ
คนดีแท้ที่ร่ำรวยย่อมรู้ว่าชาตินี้เขาจะใช้เงินและทรัพย์สินทำบุญอย่างไรครับ
ดังนั้นก่อนทำบุญใดๆ หากใจยังมีข้อสงสัยอยู่
ก็จงนั่งสมาธิกลั่นใจก่อนครับ
กลั่นใจให้ใส ใสในใส
เมื่อใสได้ที่แล้ว ค่อยทำบุญนั้น
เพื่อให้ได้ขึ้นชื่อว่า ใช้เงินเป็น
เพื่อให้ทรัพย์อันน้อยนั้นให้ผลบุญมาก
สำหรับกระผมชาตินี้ถ้าต้องรวยขนาด
มหาอุบาสิกาวิสาขา ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือคุณบิลเกตต์ ( เจ้าของ Microsoft )
กระผมก็ยินดีรับด้วยความเต็มใจครับ
ถ้าเป็นได้อย่างนั้นกระผมจะได้สร้างวัด ขนาดวัดพระธรรมกาย
ให้อยู่ในทุกทวีปทั่วโลก อย่างน้อยทวีปละ 1 วัด
ให้ผู้มีบุญจะได้ศึกษาและเข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า
ได้ศึกษาและสำเร็จวิชชาธรรมกาย
#25
โพสต์เมื่อ 09 November 2006 - 04:43 AM
I think every body who isn-t rich want to be rich..... some people can-t admit it some people can. I admit I want to be very rich so I can do more boon , baramee and etc.
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง