![รูปภาพ](/forum/uploads/photo-thumb-1565.jpg?_r=1166040289)
ไม่อยากทนเลยค่ะทำงายดี
#1
โพสต์เมื่อ 24 December 2005 - 11:08 PM
ขอความเห็นด้วยนะค๊า
อนุโมทนา...
#2
โพสต์เมื่อ 25 December 2005 - 01:57 AM
๑. ความกล้าและความพร้อมในการนำเสนอโครงการดังกล่าวต่อท่านผู้อำนวยการโรงเรียน (ความกล้าเป็นสิ่งที่สำคัญ มิเช่นนั้น เราจะไม่สามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้เลย)
๒. ต้องทำจริงและทำอย่างตั้งใจ
๓. ต้องประพฤติตัวเป็นต้นบุญต้นแบบให้ครูบาอาจารย์และเพื่อนๆ ได้เห็น และคงรักษาไว้ซึ่งความดีนั้น อย่างเสมอต้นเสมอปลาย (ข้อนี้ ถ้าหน้าอย่างหลังอย่างหรือทำตัวไม่สม่ำเสมอ ก็เป็นอันจบเห่)
๔. ต้องติดตามผลตอบกลับ (feedback) ของความเห็น ในเรื่องเกี่ยวกับการนำเสนอโครงการดาวธรรมโรงเรียน แล้วนำมาประเมินผลว่า มีข้อบกพร่องหรือปัญหาตรงจุดใดที่ควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขบ้าง
#3
โพสต์เมื่อ 25 December 2005 - 01:57 PM
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
![](http://i60.photobucket.com/albums/h38/mooatoontaonoy/cartoon%20one/streamdharma.gif)
#4
โพสต์เมื่อ 25 December 2005 - 03:46 PM
1) ถ้าเป็นประเภทฝังหัว อคติรุนแรง อธิบายและชี้แจงให้ละเอียด แค่ไหน ก็ไม่อยากจะเข้าใจ ย้ำว่า " ไม่อยากจะเข้าใจ" นะครับ คนประเภทนี้ เราก็ไม่ต้องไปอธิบายเรื่องวัดให้เค้าฟังหรอกครับ คงต้องปล่อยไป ถ้าเค้าเริ่มเรื่องก่อน เราก็เฉย ไม่ต้องแก้ต่าง ไม่ต้องตอบโต้ ให้เงียบเข้าไว้ หรือไม่เราก็เปลี่ยนประเด็นชวนเค้าคุยเรื่องอื่นไปเลย จะดีที่สุดครับ อธิบายไปก็เสียเวลา พาลแต่เค้าจะด่าวัดมากขึ้น เราก็ขุ่น เค้าก็แบกบาปมากขึ้น โอกาสที่เค้าจะมาเจอพระสัทธรรมก็ยิ่งยากขึ้นเพราะเค้ากล่าวจ้วงจาบพระรัตนตรัย จ้วงจาบพระธรรมกายซึ่งเป็นกายตรัสรู้ธรรม เพราะขนาดหลวงพ่อยังเคยพูดเลยครับว่า ถ้าจะด่า ก็ให้มาด่าหลวงพ่อ อย่าด่าไปถึงคำว่า "ธรรมกาย" เพราะบาปจะหนักมาก ถ้าเจอคนประเภทนี้ คงต้องปล่อยครับ
2) ถ้าเป็นประเภทไม่เข้าใจวัด แต่มีนิสัยบัณฑิต ยอมรับฟังเหตุผล เราก็คงต้องค่อยๆ อธิบาย จากเรื่องที่เข้าใจง่าย ไปหาเรื่องเข้าใจยาก อย่าอธิบายข้ามขั้นตอน ซึ่งอันนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัญญาและวิธีการพูดของตัวเราเองแล้ว คนประเภทนี้ ถ้าเราอธิบายเค้าเข้าใจแล้ว ก็ยังแบ่งได้เป็นอีก 2 นะครับ
(2.1) ความเข้าใจเรื่องวัดดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สนใจทำบุญกับวัดเราอยู่ดี อันนี้ ก็อย่าบีบบังคับเค้า แต่ถ้ามีบุญประเภทที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนรวมหรือเรื่องที่อินเทรนที่เป็นทีรู้กันจากข่าวคราวทั่วๆ ไป และวัดเราไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ทำบุญวัดภาคใต้ ทำบุญช่วยน้ำท่วม อันนี้ ก็ลองชวนเค้าทำดู ให้เค้าพอมีสายบุญกับหมู่คณะเราบ้าง ถ้าเค้ามีบุญกับหมู่คณะมากขึ้น ในอนาคต เค้าก็สามารถเลื่อนมาเป็นกลุ่มที่ (2.2) ได้ครับ
(2.2) ความเข้าใจเรื่องวัดดีขึ้น และเริ่มสนใจมาทำบุญกับหมู่คณะกับวัดเรา ประเภทนี้ เราต้องดูแลให้ดีนะครับ นี่แหละ แสดงว่า เราเจอลูกพระธัมฯ เข้าให้แล้ว ให้เราค่อยๆ ประคับประคอง ค่อยๆ อธิบายธรรมะ จากง่ายๆ ไปยาก คอยอัพเดทข่าวคราววัดเราเป็นระยะ ว่าวัดกำลังทำอะไร ทำไปทำไม ทำเพื่อใคร ทำเพื่ออะไร อันนี้ ถ้าพูดให้ง่ายๆ คือ เราต้องทำตัวเป็นพี่เลี้ยง ค่อยๆ สอนเค้าไป ประคับประคองเค้าไป จนเค้าสามารถยืนและเดินบนเส้นทางสร้างบารมีด้วยตัวเค้าเองครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#5
โพสต์เมื่อ 25 December 2005 - 04:18 PM
ส่วนการอธิบายก็คงต้องดูตามความเหมาะสม หากเขายังไม่พร้อม การรีบเร่งอธิบาย จะก่อให้เกิดความขัดแย้ง
ซีดี ก็น่าจะช่วยได้นะ ให้เพื่อนยืมไปดู หาเรื่องที่เขาสนใจ
อนุโมทนาบุญและเป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ
#6
โพสต์เมื่อ 25 December 2005 - 07:05 PM
Show what you have been being 'better' as an evidence of what วัดพระธรรมกาย has taught.
Take it easy & Go on making merit. Time is so short.
^-^
#7
โพสต์เมื่อ 26 December 2005 - 12:04 AM
*** ถามว่าเขาหันหลังให้ด้วยเหตุผลมาจากสิ่งใด ผมว่าน่าจะมีการทำวิจัยโพลสำรวจความชอบและไม่ชอบบ้างก็ดีนะครับ เพราะตัวคุณเองเป้นเพียงฟันเฟืองเล็ก ๆ ในขณะที่ปัญหามันคือจักรกลทั้งระบบ คงต้องวิจัยปัญหากันอย่างจริงจังเลิกความคิดลำพังส่วนตัวได้แล้วครับ เพราะบางครั้งเราบอกว่าดี ถามว่าคนที่เห็นด้วยว่าดีมีมากกว่าหรือน้อยกว่า ธรรมดาของสิ่งใดก็ตามถ้าดีจริงแล้วไม่มีใครเขาปฏิเสธหรอกครับ****
อันที่จริงก็มีอยูมากมายใช่ไม๊ล่ะค่ะ แต่ว่า ในสังคมที่น้อยคนที่จะเข้าใจ แล้วมาว่าเรางมงายอย่างโน้นอย่างนี้
***ข้อหาที่คุณถูกหาว่างมงามคือเรื่องอะไรครับ***
(เคยแก้ปัญหามาแล้วน่ะค่ะ) ไม่เห็นด้วย พยายามอธิบายให้เค้าฟังแล้วนะค่ะ อีกอย่างไม่อยากทนกับคนที่มีความคิดคนล่ะแง่กับเราจังเลยค่ะ ทำไงดี เพราะว่า พอปะทะกน คราวไหน ส่วนมาก หนูจะขึ้นก่อนและทนไม่ได้ เป็นบาปอีกที่เราไม่ว่าเค้าทั้งๆที่เค้า มีสิทธิ์ คิดอีกแบบนึง ไม่อยากมีเศษกรรมติดตัวเพราะเรื่องแบบนี้ แล้วมันจะเป็นไรไม๊ ที่เราจะไปติผู้อื่น
***ถ้าหมู่คณะเราปรารถนาจะไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรมจริง ๆ หมายความว่า ทั้งมนุษย์และสัตว์ ตอลดภพ 3 ต้องยอมรับพฤติกรรม หรือการกระทำของหมู่คณะเรา โดยไม่มีหมู่คณะใด ๆ แตกแยก คำถาม ผมขอถามว่าเหตุใดชาวพุทธทั้งปวงจึงศรัทธาพระพุทธเจ้า??? พระพุทธเจ้าปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้สัพพสัตว์เลื่อมใส??? เหตุใดพระองค์ทรงฉันน้ำที่ทางเกวียน ก่อนปรินิพพาน??? และเหตุใดทรงเลือกที่จะปรินิพพานใต้ต้นสาละคู่ ?? เหตุใดไม่ทรงปรินิพพานที่เชตวัน หรือบุพพาราม??? ธรรมใดเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ สงัดจากกิเลส ธรรมนั้นเป็นธรรมของพระองค์ครับ ถามว่าหมู่คณะเราปฏิบัติตามหรือไม่??? ปัญหาทั้งหลายต้องแก้ที่เหตุครับถ้าเหตุมาจากเราเองเราก็ต้องแก้ที่ตัวเองก่อนครับ คุณอย่าไปโกรธคนอื่นเขาเลยเพราะรากฐานพุทธศาสนาบ้านเรานิยมความมักน้อยสันโดษมายาวนานเป็นพัน ๆ ปีมาแล้วครับ****
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#8
โพสต์เมื่อ 26 December 2005 - 12:29 AM
เพราะการที่จะเข้าถึงกลุ่มพวกเขาให้ได้นั้นน่าจะต้องเริ่มจากหยุดฟังเสียงของพวกเขาเสียก่อน ว่าเป็นเพราะเหตุใด อาจจะโดยวิธีไปถามตรง ๆ หรือถามทางอ้อมจากผู้ที่รู้จักคนกลุ่มนั้น (ตัวดิฉันเองก็อาสาหาข้อมูลให้หากทางเจ้าหน้าที่เห็นด้วยกับความเห็นนี้)
จากนั้นสิ่งใดที่หมู่คณะของเราทำอยู่ (แม้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ผิด) ที่อาจจะสร้างภาพให้ห่างไกลเกินจากที่เขาเหล่านั้นจะรับได้ เราอาจจะต้องทบทวนว่าสามารถลดดีกรีสิ่งเหล่านั้นลงมาบ้างได้หรือไม่ ภาพลักษณ์ใดที่ชนหมู่มาก หรือ mass market เขาอยากเห็น ก็อาจจะต้องเริ่มสร้างภาพลักษณ์เช่นนั้นบ้าง เป็นต้นค่ะ ทั้งนี้เพื่อให้ช่องว่างระหว่าง "เขา" กับ "เรา" นั้นแคบลง อย่างที่ทำบุญวัดในภาคใต้นั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก ๆ เลยค่ะ
แต่ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่ามีความคืบหน้าอย่างไรกับความคิดเห็นที่กระซิบให้เจ้าหน้าที่ไป ก็เพียงแต่อยากให้คนไทยทุก ๆ คนเข้าใจวัด และรักวัด รักสร้างความดีกันทุกคน หวังว่าเจ้าหน้าที่คงจะฟังความเห็นของนักเรียนใหม่ด้วยค่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 26 December 2005 - 11:39 AM
#10
โพสต์เมื่อ 26 December 2005 - 12:53 PM
แหม... จนท. วัด อ่านแล้วคงแอบน้อยยยย.. ใจ
ฟังดูเหมือน คนที่วัดไม่รับฟังเสียง"กระซิบ" ของคุณ NU เลย
ที่จริงแล้ว "การทำงานกับคนหมู่มาก" ก็"ต่างมีความคิดเห็นเป็นของตนทั้งสิ้น"
และ ดิฉันอง ก็ได้มีโอกาสทำงานให้วัดบ้าง
จึงรู้ว่า วัดของเราเป็น "วัดเป็น" ไม่ใช่"วัดตาย"
ดังนั้น วัดเราจึงมีการปรับปรุงและพัฒนาอยู่เสมอ
ดังนั้น คำแนะนำที่มีค่าของทุกท่าน จึงเพียงแต่รอโอกาสที่จะนำไปใช้เท่านั้น
และที่สำคัญ "เมื่อเรามีความคิดเห็นใดๆที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์ ในการทำให้งานพระศาสนาแข็งแรง"
เราควรนำความคิดนั้น ไปแจ้งกับหน่วยงานที่นับผิดชอบโดยตรง
เพราะถ้าเรา "กระซิบ" กับน้องๆ ที่วัด
น้องๆ ก็ ไม่สามารถทำอะไรได้
เพราะวัดเรา เป็นองค์กรที่ใหญ่
ดังนั้น เหมือนเราไปติดต่องานตามองค์กรใหญ่ๆ เราต้องไปติดต่อให้ถูกแผนกนะคะ
ความเห็นของทุกคน มีค่าเสมอค่ะ
และความเห็นของทุกคนก็ถูกต้องทั้งนั้น
แต่ต้อง ขึ้นกับ เวลา และสถานการณ์ด้วย
อยากให้อ่านเรื่อง
"พ่อให้ลูกชาย 4 คน ดูตะเกียง"
แล้วทายว่า ตะเกียงสีอะไร
ปรากฎว่า ลูก 4คน ตอบสี คนละสีเลย
และ "ถูกต้องทุกคนด้วย"
อะฮ้า... มันยังไง
แล้วจะเขียนให้อ่านค่ะ
มันมุมมองที่ ช่วยให้เราเข้าใจ ว่าทำไม
คนเราจึงทะเลาะกัน/มองต่างกัน ในเรื่องๆ เดียวกันได้
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
"รักษา อารมณ์ดี + อารมณ์เดียว + อารมณ์สบาย ทั้งวัน "
#11
โพสต์เมื่อ 26 December 2005 - 02:27 PM
ก่อนออกไปทำหน้าที่กัลยาณมิตร ชักชวนให้คนทำความดี
ตัวของเรา "ต้องเคลียร์ตัวเองก่อน"
ว่า "เข้าใจ และทราบหรือไม่ ว่า วัดพระธรรมกาย
"สอนอะไร และ ทำอะไรเพื่อศาสนาและสังคมบ้าง"
ถ้าเราทราบ เราก็จะตอบปัญหา ที่มีคนไม่เข้าใจ ได้อย่างชัดเจน ด้วย"ใจที่ ร่าเริง เบิกบานในธรรม "
เพราะ ถ้าเรา "ไม่ชัดเจน" เวลามีคนมาต่อว่า วัด
ด้วยหัวใจ เรารู้ว่า "เขาไม่รู้จริง และเขาเข้าใจผิด"
แต่เราอธิบาย ให้เขาเข้าใจ ไม่ได้
เราเลยมีอาการ "หงุดหงิด"
คือไม่ได้หงุดหงิดเขา
แต่จริงๆ แล้ว หงุดหงิดตัวเอง
ที่ "พูด ไม่ ล่าย ดัง จายยยย"
แม่น บ่ ?
#12
โพสต์เมื่อ 26 December 2005 - 04:11 PM
1. ทานบารมี เสียสละเวลาประกอบอาชีพ ไปทำหน้าที่
2. ศีลบารมี
3. เนกขัมมะบารมี ตอนนั้นต้องละความสะดวกสบายในกามคุณ 5 เดินสร้างบารมีไปตามบ้านเพื่อนๆ ญาติๆ
4. ปัญญาบารมี ต้องหาวิธีพูดอย่างไรให้เขาเข้าใจ พระพุทธเจ้า ก่อนจะไปโปรดใครพระองค์ตรวจตราดูบารมีของคนนั้นๆ ก่อน เช่นกัน เราจะไปเป็นกัลยาณมิตรให้ใคร ต้องหาข้อมูลก่อนว่า คนนั้นคนนี้ ชอบเรื่องนั้น เรื่องนี้ เป็นต้น
5. วิริยะบารมี ความพากเพียร
6. ขันติบารมี ความอดทน อันนี้คงไม่ต้องบอก กัลยาณมิตรเจอเองทุกคน จนมาเป็นหัวข้อกระทู้
7. สัจจะบารมี จริงใจต่อทุกคน และต่อความตั้งใจของตัวเอง
8. อธิษฐานบารมี ทำหน้าที่เพื่อให้ทุกๆคน ได้พบความสุขที่แท้จริง
9. เมตตาบารมี รักเขา ไม่โกรธตอบ เวลาเขาว่าเอา หรือ ไม่เห็นด้วย
10. อุเบกขาบารมี วางเฉย ในกรณีพบคนที่ดื้อมากๆ ก็ต้องปล่อยไว้ก่อน
#13
โพสต์เมื่อ 26 December 2005 - 07:19 PM
Today I tried to tell my non-buddish friend about "the Law of Life (Samsara)". I found it is difficult to make him accept it. I myself have not seen heaven but I believe it exists as a place. He thinks I was talking about "faith" not "fact". In other words, he implies that faith is generated from the belief, not from being proved and therefore one can believe and trust. I think this can cause diversion of interpretation of the fact. Two friends I discussed with can understand that drinking alcohol/smoking is bad for their healths but cannot understand why they will be punnished after they die or they are doing demerit. One of them said it is not a corruption!
Anyway, they found that this is an interesting issue to be discussed and further explored
![smile.gif](style_emoticons/default/smile.gif)
แต่จริงๆ แล้ว หงุดหงิดตัวเอง ที่ "พูด ไม่ ล่าย ดัง จายยยย". Right, I need to find time to educate myself more and practice.
#14
โพสต์เมื่อ 26 December 2005 - 08:37 PM
จะเล่าต่อค่ะ เรื่องลูก4คน ตอบสีตะเกียง อาจจะอธิบายได้ว่า
"ทำไม คนมักจะมีความเห็น หรือทัศนะ ที่ต่างกัน"
อะแฮ่ม.. กาลครั้งหนึ่ง
มีคุณพ่อหนึ่ง พาลูกชาย 4 คน เดินเข้าไปในห้องที่มีโต๊ะ 4 เหลี่ยมตั้งอยู่ตัวหนึ่ง
คุณพ่อบอกให้ลูกทุกคน เอาผ้าผูกตาของตนเองไว้
แล้วคุณพ่อก็นำตะเกียงใบหนึง มาวางบนโต๊ะ
แล้วบอกให้ลูกคนที่1 เปิดผ้าผูกตาออก แล้วถามว่า
"ลูกรัก ลูกเห็นตะเกียงไหม"
"เห็นครับ" ลูกตอบ
"ดีแล้ว ลูกเห็นตะเกียง สีอะไร.. อะอ้า... อย่าเพิ่งตอบ เดี๋ยวพ่อจะถามทีหลังนะ ตอนนี้ลูกผูกผ้าปิดตาไว้ตามเดิมก่อนนะ"
แล้วคุณพ่อ ก็ ให้ลูกชายคนที่ 2 เปิดผ้าผูกตาออก และถามเหมือนกัน และให้ปิดตาไว้เช่นเดิม... และ ทำเช่นนี้กับลูกคนที่3 และ4
เมื่อครบแล้ว พ่อก็ถามลูกทุกคน "ซึ่งมีผ้าปิดตาอยู่" ว่า
"ลูกรัก ตะเกียง สีอะไร"
ผลคือ ลูกๆ ตอบสีของตะเกียง ไม่เหมือนกันเลย
ทุกคนต่างทุ่มเถียงกัน ว่า ตนเอง"ถูกต้อง" คนอื่น"ผิด"
เมื่อปล่อยให้ลูกทะเลาะกัน จนเกือบจะวุ่นวายมากเกินไป
คุณพ่อ ก็บอกให้ลูกไ เปิดผ้าผูกตา
ฉับพลัน เสียงทุ่มเถียง ก็ กลายเป็นความเงียบ
เพราะ ตะเกียงที่คุณพ่อหมุนให้ ทุกคน "ดู รอบๆ + โดยทั่วถึงทุกด้าน"
ปรากฎว่า ตะเกียง เป็นรูป 4เหลี่ยม
และแต่ละคน ได้ดู-เห็นเพียงด้านเดียวเท่านั้น"
********
ก็แบบนี้แหละค่ะ
แต่ละคน ก็มี "ภูมิ รู้- ภูมิ ธรรม" ที่ไม่เท่ากัน
จึงทะเลาะกัน เพราะ "รู้ไม่จริง - รู้ไม่รอบ - รู้ไม่หมด"
เหมือนเด็ก ป.4 โต้วาทีกับ ดอกเตอร์ .น่ะค่ะ
ป.4 ก็ไม่เชื่อ ที่ ดร.พูด .... หาว่า "โม้"
เพราะตนเอง ยังเรียนรู้ไปไม่ถึง... จึงปฎิเสธ
"รักษา อารมณ์ดี + อารมณ์เดียว + อารมณ์สบาย ทั้งวัน "
#15
โพสต์เมื่อ 27 December 2005 - 01:33 PM
#16
โพสต์เมื่อ 27 December 2005 - 09:14 PM
#17
โพสต์เมื่อ 28 December 2005 - 08:56 AM
#18
โพสต์เมื่อ 28 December 2005 - 11:51 AM
#19
โพสต์เมื่อ 28 December 2005 - 12:37 PM
#20
*ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 28 December 2005 - 01:05 PM
#21
โพสต์เมื่อ 30 December 2005 - 07:24 AM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ
![^_^](https://www.dmc.tv/forum/public/style_emoticons/default/happy.png)