อยากเป็นอุบาสิกาแต่พ่อแม่ไม่เห็นด้วยทำไงดีคะ
#1
โพสต์เมื่อ 29 March 2007 - 09:08 AM
#2
โพสต์เมื่อ 29 March 2007 - 12:49 PM
#3
โพสต์เมื่อ 29 March 2007 - 12:56 PM
#4
โพสต์เมื่อ 29 March 2007 - 02:46 PM
#5
โพสต์เมื่อ 29 March 2007 - 04:21 PM
#6
โพสต์เมื่อ 29 March 2007 - 04:28 PM
#7
โพสต์เมื่อ 29 March 2007 - 06:51 PM
1. อุบาสิกา คือสตรีผู้แสดงตนเป็นพุทธมามกะ
2. อุบาสิกา-ผู้ประสานงานของวัด เป็นผู้ที่ปราวารณาตน ขอเป็นผู้สร้างบารมีกับหมู่คณะ ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้แสงสว่างแก่โลกจนถึงที่สุดแห่งธรรม
- เห็นแก่ตัว เป็นความหมายเชิงลบ แสดงว่าผู้พูดยังเข้าใจเรื่องการสร้างบารมีคลาดเคลื่อน
- รักตัวเอง เป็นความหมายเชิงบวก
การที่มารดาบิดายังไม่เห็นด้วย ยังไงก็ควรรับฟังท่าน เพราะท่านอาจยังไม่เข้าใจ ควรรอเวลาและโอกาสที่ท่านเปิดใจ แล้วจึงอธิบาย ในฐานะที่เป็นอภิชาติบุตรเราควร
1. อธิษฐานจิตตั้งเป้าหมายของตนเอง ฝึกฝน(วินัย-อดทน)ตนเองให้ต่อเนื่อง
2. ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้(ธรรมทาน)ท่าน อย่างต่อเนื่อง
3. ปรนนิบัติดูแลท่านให้มีความสุข ประดุจพระอรหันต์
4. คบบัณฑิตเข้าไว้ เดี๋ยวใจตกจะได้มีกัลยาณมิตรคอยเกื้อกูลช่วยเหลือ
5. พัฒนาตนให้ก้าวหน้า จนท่านเห็นเป็นรูปธรรม ว่าดีงามและยอมรับ
#8
โพสต์เมื่อ 29 March 2007 - 09:42 PM
ขอเป็นกำลังใจให้ซึ่งกันและกันนะครับ
อยู่เคียงข้างพ่อและแม่จวบจนสิ้นชีวี
ดุจจมสู่ก้นมหานทีพร้อมกัน
ชาวโลกย่อมสรรเสริญอยู่
แต่ลูกจากพ่อและแม่ไปในครานี้
ปรารถนาจะสั่งสมบารมี
ด้วยรู้ซึ้งแล้วว่า พระมหากรุณาธิคุณ
ของพระบรมศาสนานั้น
ก่อประโยชน์แก่ลูกและหมู่สัตว์เพียงใด
ก็ดุจประหนึ่งว่า ลูกจะจากไปหาความสุขแต่ผู้เดียว
ชาวโลกจะติฉินนินทาประการใด
ลูกก็ปรารถนาจะให้พ่อและแม่ได้รับรู้ว่า
ในการจากไปในครั้งนี้ มีจิตแน่แน่ว
จะแสวงหานาวา เพื่อจะกลับมารับ
ผู้ที่ลูกรักดังดวงใจ ได้ไปอยู่ ณ ที่เดียวกัน
ในวันที่ไม่มีมหานทีใดใด ให้เราต้องว่ายเวียนอีก…
...นี่คือหน้าที่ ขุนพลแนวหน้า ขุนพลกล้าลูกหลานยาย...
ไฟล์แนบ
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#9
โพสต์เมื่อ 30 March 2007 - 01:00 AM
และอีกอย่างก็คือว่ากว่าจะได้ทำหน้าที่นี้ก็คงต้องผ่านการคัดเลือกมากมาย คุณพร้อมหรือยังคะ ถ้าใจของคุณพร้อมและมุ่งมั่นจริงๆ ย่อมทำได้
#10
โพสต์เมื่อ 30 March 2007 - 07:22 AM
#11
โพสต์เมื่อ 30 March 2007 - 12:41 PM
แต่หากเราฟังความคิดเห็นผู้อื่น เพื่อนำมากลุ้มใจ อย่างนี้ผมว่า เราเป็นอุบาสิกา(ช่วยงานประจำ)ในวัดไม่ได้หรอกครับ เพราะเราจะต้องกลุ้มใจไปตลอด เนื่องด้วยจะมีผู้มาคอยแนะนำเราเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปตลอดน่ะครับ
#12
โพสต์เมื่อ 30 March 2007 - 04:24 PM
หากเราฟังความคิดเห็นของผู้อื่นแล้วกลุ้มใจ เป็นอุบาสิกา ช่วยงานหลวงพ่อที่วัดไม่ได้หรอกค่ะ อยู่ในองค์กรมีปัญหาเยอะกว่านี้ โดนคนว่า ฯลฯ มากกว่านี้ แล้วถ้าเราเก็บมากลุ้มใจแล้วใจหมอง มันก็ไม่ได้ สู้ไม่เป็นเลยดีกว่าค่ะ
แต่ถ้าอยากเป็นจริงๆ ต้องฝึกฝนกันหน่อย ฝึกหลายๆอย่าง
เอาง่ายๆ ก็ลองอบรมธรรมทายาทหญิง หรือว่า มัชฌิมธรรมทายาทหญิง ดูก่อนก็ได้นะคะ จะได้รู้จักตัวเราเองมากขึ้น เข้าใจคนอื่นมากขึ้น และที่สำคัญได้รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร เมื่อเจอเหตุการณ์ที่เราไม่เคยคิด เราสามารถคิด แยกแยะได้ดี ฝึกฝนตั้งแต่เด็กๆ เป้าหมายของเราก็จะได้สำเร็จโดยง่าย
แต่ถ้าอยากเป็นจริงๆ ก็ลองทำง่ายๆดูก่อน อย่างเช่น ให้ทาน รักษาศีล 5 เป็นปกติ ถือศีล 8 ทุกวันพระ หรืองานบุญใหญ่ นั่งธรรมะทุกๆวัน เป็นกัลยาณมิตรให้กับคุณพ่อคุณแม่ ถ้าท่านยังไม่เข้าใจ ก็เอาละเอียดเข้าช่วย คือ กลั่นใจเอาบุญบารมีของเราทำให้ท่านเข้าใจค่ะ
แต่จริงๆแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นอุบาสิกาที่วัดก็ได้ เป็นบัณฑิตแก้ว หรืออาสาสมัครก็ได้ค่ะ อุบาสิกากว่าจะบรรจุที่วัดได้ ก็ต้องฝึกฝนหลายปีเช่นกัน แต่ถ้าใจอยากที่จะเป็น อยากที่จะช่วยงานพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็เต็มที่กับการฝึกฝน แต่อย่าเต็มทีกับการรอคอยคุณแม่คุณพ่อนะคะ
คุณพ่อคุณแม่เข้าใจเราแล้ว แต่เราไม่ฝึกฝนเลย ก็เปล่าประโยชน์ค่ะ
อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ สำหรับความคิดอันยิ่งใหญ่ เป้าหมายอันสดใสของคุณค่ะ
หยุดนั่นเองเป็นตัวสำเร็จ
ทั้งทางโลกและทางธรรม สำเร็จหมด
#13
โพสต์เมื่อ 30 March 2007 - 07:12 PM
ไม่ใช่ม้างคุณหัดฝัน,น้องPungpa
สามารถช่วยงานหลวงพ่อได้สิครับ ส่วนความรู้สึก เซ็ง เครียด เบื่อ กลุ้ม เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เพียงแค่เรารู้เท่าทันความรู้สึกนั้นๆและพิจจารณาตามหลักอริยสัจ4 ก็จะผ่านไปได้
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#14
โพสต์เมื่อ 30 March 2007 - 07:32 PM
Negotiation Process
1. Pre-Negotiation Process
2. Negotiation Process 3. Closing Process
............................................................................................
Strategic Negotiation
กลยุทธ์การเจรจาต่อรอง
หมายถึง กลยุทธ์ในการใช้ปากเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในชีวิต
................................................
ในการเจรจาถ้าหากมีผู้ได้และผู้เสีย การเจรจาจะไม่ประสบผลสำเร็จเลย เนื่องจากผู้เสียจะไม่ยอมเจรจา.......................... ตามหลักการก็คือ การเจรจาใดๆ ก็ตามที่ส่งผลกระทบที่จะทำให้ผู้เจรจาเสียผลประโยชน์ การเจรจาดังกล่าวนั้นจะไม่มีวันไปสู่ข้อยุติได้ ดังนั้นทุกๆ ฝ่ายจึงพยายามหาทางเจรจากันเพื่อหลีกเลี่ยงเกมลบ
............................................................................................
หลักการนี้คือ การเจรจาที่ประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องนำไปสู่ข้อยุติที่เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย สรุปที่ทุกฝ่ายเป็นฝ่ายได้ (Win-Win Position) คือทุกฝ่ายได้ผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกันในการเจรจานั่นเอง
.......................................
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#15
โพสต์เมื่อ 31 March 2007 - 01:47 PM
เมื่อเราเอาชนะใจ้นเองได้แล้ว
การที่จะเอาชนะใจพ่อแม่นั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก
ไม่สู้ ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป
ขอให้สำเร็จครับ
#16
โพสต์เมื่อ 31 March 2007 - 04:34 PM
#17
โพสต์เมื่อ 02 April 2007 - 10:47 PM
ผมให้แนวคิดนะครับ
1.ทำแบบหลวงปู่และคุณยายครับ ที่ท่านทำก่อนที่จะบวชอุทิศชีวิต ท่านปลดหนี้ให้ครอบครัวและมีเงินเหลือเก็บให้แม่ด้วย แล้วบวชอุทิศชีวิต
2. รุ่นพี่ชมรมของผมก็ทำแบบนี้นะครับ พี่เค้าบอกว่า เค้าตั้งใจทำงานและตั้งใจใช้หนี้ให้หมด พร้อมกับมีเงินเก็บที่เพียงพอที่แม่จะใช้ไปได้นานๆ และมีเงินเก็บพอประมาณ เอาไว้เพื่อนำมาใช้ในขณะที่มาบวช ซึ่งยังจำเป็นต้องใช้เงินทำบุญไปด้วย ซึ่งแม่ของพี่คนนี้ เคยพูดกับผมว่า ถ้าจะให้ลูกอยู่ข้างนอกแล้วไปมีครอบคัรว ให้ลูกบวชตลอดชีวิตดีกว่า
2. แต่ถ้าทำอย่างข้อหนึ่งจะช้าในการเข้ามาสร้างบารมี แต่ข้อดีคือ ในช่วงที่เราทำงานข้างนอกนั้น เราก็สามารถฝึกตัวไปด้วย เช่น การนั่งสมาธิให้ได้ทุกวันวันละ 1-2 ชม. หรือมากกว่านั้น รักษาศีล 8 ทุกวันพระ และค่อยๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ และอาจจะมารับบุญเป็นอาสาสมัครไปก่อน เรียนรู้ระบบงานไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อมาอยู่วัด จะฝึกตัวสักพักและให้ลงงานทันที ซึ่งถ้าเรามีความสามารถอยู่แล้ว เราก็สามารถรับบุญได้เลยไม่ต้องมาฝึกใหม่ เช่น ความรู้ด้านภาษา ซึ่งเป็นที่ต้องการมาก ถ้าเราเข้ามารับบุญที่วัดแล้วมีความสามารถทางภาษาก็สามารถรับบุญได้ทันทีโดยไม่ต้องฝึกใหม่ หรือการเขียนเวปหรืออะไรอื่นๆ ก็ให้ดูว่าเราชอบอะไร และวัดขาดอะไร เราก็ฝึกสิ่งนั้นให้เก่ง
2. การจะมาเป็นอุบาสิกาและอยู่วัดตลอดไปนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องผ่านการทดสอบหลายขั้นตอน มีการสอบสัมภาษณ์หลายขั้นตอน ต้องรับบุญและเจอเรื่องกระทบกระทั่งมากมาย สิ่งที่ผมกังวลคือ ถ้าวันใดวันหนึ่ง เราเกิดทนไม่ได้แล้วออกไป เราจะบอกพ่อแม่อย่างไร
#18
โพสต์เมื่อ 02 April 2007 - 11:06 PM
3. ข้อดีของการทำงานข้างนอกก่อนแล้วค่อยมารับบุญแบบอุบาสิกาคือ เราจะมีประสบการณ์ในการทำงานมามาก และเราจะมีประสบการณ์ที่สำคัญคือ การทำงานกับคนข้างนอก จะทำให้เราได้เรียนรู้นิสัยของคนและการเข้าใจคนมากขึ้น และเรายิ่งจะเห็นความสำคัญของการเข้ามารับบุญในวัดมากขึ้นด้วย เพราะสังคมข้างนอกมันค่อนข้างจะ ......มาก คือ ผมเคยทำงานข้างนอกมาก่อนนะครับ
แล้วเราจะคิดได้ว่า แม้เราจะกระทบกระทั่งกับคนในองค์กรมากเท่าไร เราก็จะอดทนได้มากขึ้นเท่านั้นเพราะว่า เราก็จะได้ข้อคิดว่า ยังดีกว่าการขัดแย้งกับคนข้างนอก
เท่าที่ผมประเมิน ผมคิดว่า ที่พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกมาอุทิศชีวิตไปเลยเพราะท่านห่วงลูกครับ ห่วงมากด้วย ท่านกลัวประเด็นหนึ่งเลยคือ ถ้าวันใดที่เราทนไม่ได้แล้วออกมาจะเป็นอย่างไร นั่นคือ เวลาพ่อแม่คิดถึงลูก คิดอะไรเกี่ยวกับลูก ท่านคิดไกลมากนะครับ คิดไปถึงวันสุดท้ายของลูกเลยครับ อย่างที่พี่หัดฝันบอกว่าวินๆ ทั้งสองฝ่ายก็เวิร์กดี
สำหรับประสบการณ์ของผมก็คือ ผมเคยบวชแล้วครับและตั้งใจบวชอุทิศชีวิต ตอนนั้นทิ้งทุกอย่างแล้วครับ เรียนก็ยังไม่จบครับ แต่ว่าใจมันไปแล้ว บรรยากาศมันไปแล้ว พ่อแม่ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยครับ แต่ท่านไม่อยากจะขัดใจเรา ก็เลยให้พี่ชายไปด๊อปให้ พอบวชไปได้เจ็ดเดือนมีสอบสัมภาษณ์ครับ แล้วเราก็สอบสัมภาษณ์ไม่ผ่าน (หลักการในการสอบไม่ผ่านผมไม่ทราบชัดเจนครับ) ผลก็คือ ก็ต้องสึกนะครับ คือ จะบอกว่าตอนนั้น มันเจ็บปวดสุดๆ ครับ แต่ว่า เมื่อต้องออกมา คนที่เราจะไปหาคนแรกก็คือ พ่อแม่ของเราครับ คุณรู้ไหมครับ พ่อแม่พูดกับผมว่าอย่างไร "ท่านบอกว่าไม่เป็นไรลูก ตั้งใจเรียนให้จบ และเริ่มต้นใหม่ได้" นั้นคือ พ่อแม่ของเราไงครับ ที่ผมเล่าประสบการณ์ตัวเองก็เพราะ สิ่งที่เราคิดกับสิ่งที่เราต้องไปประสบมันไม่เหมือนกันครับ
ดังนั้นถ้าเราตั้งใจทำงานเก็บงานให้ได้พอประมาณ ขณะที่เรามาใช้ชีวิตในวัดนั้น ก็จะเป็นหลักประกันได้ส่วนหนึ่งครับว่า ถ้าเกิดวันใดเราออกมาจากวัดโดยที่เราไม่ต้องการ แต่ระบบขององค์กรผลักดันเราออกมา เราก็ต้องยืนหยัดได้ด้วยตนเองครับ
การคัดอุบาสิกาประจำ หรือนักบวชที่วัด ผมทราบมาว่า ทำเหมือนกันครับ
สำหรับตอนนี้ตำแหน่งของผม "คือ เจ้าหน้าที่พิเศษครับ" ไม่มีระบบแบบที่เหล่ามา คือ คล้ายๆ กับว่า ให้โอกาสสำหรับคนที่รักบุญ แต่อยากทำงานในวัด แต่เป็นบัณฑิตแก้วไม่ได้ หรือไม่อยากเป็นบัณฑิตแก้วครับ เพราะกฏระเบียบจะไม่เคร่งครัดมากเท่า
มีอะไรก็โทรมาคุยได้ครับ