ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

**ถ้าจะเป็นกัลยาณมิตรให้คนใกล้ตาย จะใช้ธรรมะข้อใด**


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 เถลิงเกียรติ

เถลิงเกียรติ
  • Members
  • 760 โพสต์
  • Interests:N/A

โพสต์เมื่อ 17 June 2007 - 11:55 AM

พระมหานันทา นนฺทปญฺโญฺ พระนักเทศน์..."นักโทษประหาร !"

พระมหานันทา นนฺทปญฺโญฺ เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้ อ.เมือง จ.นนทบุรี
ชื่อนี้อาจจะไม่เป็นที่คุ้นหูของนักฟังเทศน์
ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่พระนักเทศน์ ที่มีชื่อเสียงอะไรมากนัก
แต่ท่านกลับเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู่นักโทษ
เด็ดขาดของเรือนจำบางขวาง นักโทษบางคนมีโอกาส ฟังเทศน์ของ
ท่านเพียงครั้งเดียว จากนั้นก็ไม่มีโอกาสอีกเลยเพราะท่านคือ "พระนักเทศน์
นักโทษประหาร"

จากประสบการณ์เดินเข้าออกคุกบางขวางนับครั้งไม่ถ้วน มีคำพูดหนึ่ง
ของนักโทษมักพูดให้ได้ยินอยู่เสมอๆ ว่า "ถ้าผมไม่ติดคุก ผมคงไม่มีโอกาส
ฟังเทศน์และปฏิบัติธรรม" ได้สร้างความสะเทือนใจ ให้กับพระมหานันทา
ในฐานะสาวกผู้เผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ขณะเดียวกัน
ท่านก็พูดไว้อย่างน่าคิดว่า

"วันนี้เรามีโอกาสฟังเทศน์ปฏิบัติธรรมก็จงทำเสีย อย่าบอกว่าไม่ว่าง
หรือไม่มีเวลา เพราะท่านอาจ
จะว่างและมีเวลาก็ต่อเมื่อไปอยู่ในเรือนจำเสียแล้ว
และอาตมาไม่อยากเทศน์ให้ใครฟังเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต" และต่อไปนี้คือ
บทสัมภาษณ์ "พระนักเทศน์นักโทษประหาร" แบบ "คม ชัด ลึก"

ถูกนิมนต์ไปเทศน์ครั้งแรกเมื่อไรครับ ?

- ตอนที่เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส ปี ๒๕๓๘ โน่น ไปเทศน์แทนเจ้าอาวาสก่อน
เมื่อท่านมรณภาพก็เทศน์มาตลอด

ครั้งแรกรู้สึกอย่างไรครับ ?

- ฉันก็ถามหลวงพ่ออดีตเจ้าอาวาสก่อน
โดยเฉพาะบรรยากาศระหว่างการเทศน์นักโทษมีความกลัวหรือไม่
ฉันเคยคิดว่านักโทษจะกลัว แต่ที่ไหนได้ฉันกลับเป็นฝ่ายกลัวเสียเอง
เพราะเห็นแล้วเกิดความสงสาร ในสมองคิดอยู่ตลอดเวลาว่า
พอพ้นจากเราเขาก็หมดลมหายใจ ส่วนนักโทษนั้นเขาจะสงบนิ่งมากกว่า
เท่าที่รู้นักโทษประหารมีการฝึกสมาธิปฏิบัติกัมมัฏฐานมาเป็นอย่างดี

ส่วนใหญ่เทศน์หัวข้อธรรมอะไรครับ ?

- เทศน์เรื่องกฎแห่งกรรมอย่างเดียว


หัวข้อธรรมอื่นคงไม่มีประโยชน์อะไร
เริ่มจากการให้ศีลก่อน ที่สำคัญคืออย่าไปซ้ำเติมนักโทษ
ต้องเทศน์ให้อยู่ในกรอบของพระ ต้องไม่อิงกฎหมาย
ต้องอิงธรรมะของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะเรื่องกรรม
สิ่งหนึ่งที่จะลืมไม่ได้ตอนท้าย คือ การอโหสิกรรม ต่อผู้คุม ผู้ประหาร
เพื่อให้หมดเวรกรรมต่อกัน

ท่านใช้เวลาเทศน์เท่าไรครับ ?

- ไม่เกิน ๑๕ นาที เพราะเวลาของการประหารชีวิตมีอยู่อย่างจำกัด
การเทศน์ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนนำนักโทษเข้าสู่หลักประหาร ช่วงแรกๆ
ฉันต้องซ้อมเทศน์ให้อยู่ในเวลาก่อน
เมื่อเทศน์บ่อยครั้งก็ชำนาญมากยิ่งขึ้น

คิดว่าธรรมะเข้าหูนักโทษหรือเปล่าครับ ?

- เข้าสิ เพราะคำพูดของฉันที่ว่า เป็นการฟังเทศนาครั้งสุดท้ายของชีวิต
พ้นจาก ๑๕ นาที นี้โอกาสจะฟังเทศน์จะได้เห็นพระที่ห่มผ้าเหลืองคงไม่มีอีกแล้วในชาตินี้
ระหว่างเทศน์ก็ขอให้เจริญภาวนาเพื่อให้จิตเป็นสุคติ

นักโทษประหารตายแล้วจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ครับ ?

- เหตุของการตายไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ว่าจะได้ขึ้นสวรรค์หรือตกนรก
แต่มันอยู่ที่การกำหนดจิตก่อนชีวิตจะดับ เมื่อจิตของเราผ่องใส จิตมีสติ
สุคติเป็นที่หวังในเบื้องหน้าดังพระบาลีว่า จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ
ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมองสุคติเป็นที่หวังได้

เทศน์จบนักโทษก็ถูกประหารทันทีแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรครับ ?

- ฉันคิดว่ามันมีประโยชน์ คนที่รู้ตัวว่าจะตายอย่างมีสติ
ตายด้วยจิตที่ไม่อาฆาตพยาบาท ดีกว่าคนที่ตายในขณะที่ควบคุมสติไม่ได้
เพราะ อย่างน้อยมันก็เป็นการเตือนสติไม่ให้จิตมีความอาฆาตผูกพยาบาท
จิตที่สงบก่อนสิ้นลมย่อมพาดวงวิญญาณไปสู่สุคติ

ตายอย่างมีสติคืออะไรครับ ?

- ปกติแล้วคนทั่วๆ จะตายแบบไม่รู้ตัว หรือเรียกว่าตายแบบไม่มีสติ
แต่นักโทษประหารตายอย่างมีสติ รู้กำหนดลมหายใจจะสิ้นเมื่อไร
การที่รู้ตัวก่อนตายทำให้สามารถเตรียมตัวก่อนตาย
สามารถทำกิจอะไรก่อนตายได้ เขียนจดหมายบอกลา ฝากคำพูด
และแบ่งทรัพย์สมบัติได้ ส่วนคนที่ตายแบบไม่รู้ตัวเลยนั้น
ร้อยทั้งร้อยไม่เคยเตรียมอะไรไว้เลย ดังนั้นคนเรา
จึงควรตั้งชีวิตอยู่บนความไม่ประมาทเพราะความตายเปรียบเสมือนเงาที่ตามตัวเราตลอดเวลา

นักโทษหรือเรือนจำเขาติดกัณฑ์เทศน์ให้เท่าไรครับ ?

- ๕๐๐ บาทต่อครั้ง ซึ่งเป็นไปตามระเบียบราชการ
เคยเทศน์ให้นักโทษประหารฟังพร้อมๆ กันถึง ๕ คน ส่วนใหญ่จะ ๑-๒ คน
ปัจจัยที่ได้มาเราก็ไปทำบุญกุศลอุทิศให้กับผู้ตาย
เดิมทีนั้นฉันไม่รู้ว่านักโทษประหารชื่ออะไร
แต่สมัยนี้รู้ได้เพราะหนังสือพิมพ์

ท่านเทศน์ให้นักโทษประหารฟังกี่คนแล้วครับ ?

- ไม่เคยนับ และก็ไม่เคยบันทึกเป็นสถิติอะไร ตั้งแต่ปี ๒๕๓๘
มาถึงปัจจุบันน่าจะยังไม่ถึง ๑๐๐ ศพ
แต่ถ้ายังอยู่เป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ต่อไป
ซึ่งฉันเองก็ไม่เคยคิดย้ายไปไหนอาจจะเกิน ๑๐๐ ศพ
เพราะเดี๋ยวนี้คนก่อกรรมกันมาก สุดท้ายก็ได้รับกรรมที่ก่อไว้

ความรู้สึกระหว่างเทศน์กับตอนถึงวัดต่างกันหรือเปล่าครับ ?

- เทศน์ผ่านลูกกรง เขามองเราขณะเดียวกันเราก็มองเขา ฉันช่วย
ให้เขาพ้นจากความตายไม่ได้แต่ฉันช่วยให้เขาตายด้วยจิตอันสงบได้
ดีกว่าตายด้วยความทุรนทุราย มันทำให้ปลงชีวิตได้เหมือนกัน
เพราะตอนที่เทศน์เขายังมีลมหายใจอยู่ พอกลับมาถึงวัดเขาก็กลายเป็นศพ
อย่างนี้ที่เขาเรียกว่า ความตายเป็นธรรดาเป็นของคู่กันกับการมีชีวิตอยู่

ท่านได้คติธรรมอะไรจากการเทศน์ครับ ?

- เทศน์ให้นักโทษประหารฟังมันเป็นบทพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า
ว่ากรรมนั้นมีจริงไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้าชาตินี้กรรมก็ตามทัน
นักโทษบางคนหนีอาญาแผ่นดินกว่า ๑๐ ปี
แต่ก็ถูกจับประหารชีวิตเพื่อชดใช้กรรม ถ้ากรรมไม่มีเขาต้องหนีกรรมพ้น
เขาต้องไม่ถูกประหาร

เทศน์ให้นักโทษประหารฟังแตกต่างจากญาติโยมทั่วไปอย่างไรครับ ?

- เทศน์ให้นักโทษฟังมีเรื่องเดียว คือ เรื่องกฎแห่งกรรม

มีจุดประสงค์เพื่อให้จิตใจสงบ ส่วนเทศน์ให้ญาติโยมทั่วไปฟังนั้น
เพื่อให้ญาติโยมนำไปปฏิบัติ เพื่อฝึกจิตใจอีกทอดหนึ่ง
ประเด็นการเทศน์จะอยู่ที่สถานที่ บุคคล และเวลา
เทศน์ให้นักโทษประหารฟังยากกว่า ทั้งด้านจิตใจของผู้เทศน์
ขณะเดียวกันก็ต้องเทศน์เพื่อทำให้นักโทษประหารนั้น
มีจิตใจที่สงบไม่คิดอาฆาต
ซึ่งเราก็รู้อยู่ดีแล้วว่าการบังคับหรือฝืนจิตใจ
ให้ยอมรับความตายนั้นเป็นเรื่องยากที่สุด

ท่านได้มาประยุกต์ใช้เทศน์ให ้คนภายนอกฟังหรือเปล่าครับ ?

- ประการแรก คือ การยกตัวอย่างนรกสวรรค์
คนทั่วไปมักถกเถียงว่านรกและสวรรค์มีจริงบ้าง ไม่มีจริงบ้าง
ความจริงแล้วคุกคือสวรรค์บนโลกมนุษย์
การอยู่นอกคุกก็ถือว่าอยู่เมืองสวรรค์ หลังกำแพงคือนรกของโลกมนุษย์
ทำดีก็อยู่สวรรค์ ถ้าทำชั่วก็ต้องไปใช้กรรมในนรก
ซึ่งนับวันคนก็เข้าคุกตกนรกมากยิ่งขึ้น

ท่านมีอะไรฝากถึงคนไม่อยากฟังเทศน์บ้างครับ ?

- เมื่อเรามีโอกาสฟังพระเทศน์ก็จงรีบฟัง ถ้าตั้งใจฟังก็จะเกิดปัญญา
หากนำหัวข้อธรรมะไปปฏิบัติชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรืองเหมือนได้อยู่เมืองสวรรค์
ถ้าไม่ฟังเทศน์นอกจากไม่เกิดปัญญาแล้วอาจจะนำพาชีวิตไปสู่นรกได้
ฉันได้ยินนักโทษพูดเสมอว่า นี่ถ้าไม่ติดคุกคงไม่ได้ฟังเทศน์
ไม่มีโอกาสได้สวดมนต์ และปฏิบัติธรรม หากเข้าวัด
ฟังเทศน์และปฏิบัติธรรมตั้งแต่อยู่นอกคุก
วันนี้คงไม่ต้องมานั่งฟังเทศน์ในคุก


คนส่วนใหญ่มักอ้างว่าไม่มีเวลาฟังเทศน์ปฏิบัติธรรมท่านคิดว่าอย่างไรครับ ?

- มนุษย์ทุกผู้ทุกนามมีเวลาเท่ากัน คือ วันละ ๒๔ ชั่วโมง
แต่คุณค่าของเวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน การฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม
เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานไม่จำเป็นต้องมาทำที่วัด
อยู่ที่ไหนเวลาใดก็ฟังเทศน์
ปฏิบัติธรรมและก็เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานได้ทั้งสิ้น
แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้วิธีปฏิบัติธรรม ไม่รู้จักการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน
จึงคิดว่าการเข้าถึงธรรมะเป็นเรื่องยาก

ชาติภูมิพระมหานันทา

พระมหานันทา นนฺทปญฺโญฺ อายุ ๔๒ พรรษา ๒๑ เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้
ต.สวนใหญ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี โทรศัพท์ ๐-๒๕๒๕-๐๐๔๙, ๐-๒๕๒๕-๒๙๔๘
ชื่อและสกุลเดิม คือ นันทา แววสะบก เกิดวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๐๖ ณ
บ้านเลขที่ ๑๔๔ ม.๖ ต.พรหมณี อ.เมือง จ.นครนายก บิดาชื่อ นายเทียน
แววสะบก มารดาชื่อ นางสอิ้ง แววสะบก

อุปสมบท เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๗ ตรงกับวันพุธ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖
ปีชวด ณ พัทธสีมาวัดหนองเตย ต.พรหมณี อ.เมื อง จ.นครนายก
โดยมีพระครูอรรถวาที วัดศรีเมือง เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสมุห์พร้อม
สิริวฑฺฒโน วัดศรีเมือง เป็นกรรมวาจาจารย์ พระครูเทวธรรมสุนทร วัดหนองเตย
เป็นอนุสาวนาจารย์ ครั้นอุปสมบทแล้ว จำพรรษาอยู่ ณ วัดหนองเตย
ย้ายมาสังกัดวัดบางแพรกใต้ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๓๐ เพื่อการศึกษา

วิทยฐานะ จบการศึกษาสายสามัญชั้นสูงสุด พุทธศาสตรบัณฑิต เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐
จากสำนักมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย จบการศึกษาธรรมสนามหลวงชั้นสูงสุด
นักธรรมชั้นเอก จากสำนักเรียน คณะจังหวัดนนทบุรี
จบการศึกษาบาลีสนามหลวงชั้นสูงสุด เปรียญธรรม ๖ ประโยค จากสำนักเรียน
คณะจังหวัดนนทบุรี

พ.ศ. ๒๕๓๘ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พ.ศ. ๒๕๓๘
ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้ พ.ศ.๒๕๔๒
ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้ พ.ศ.๒๕๔๓
ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้ จนถึงปัจจุบัน



ธรรมเทศนาสุดท้ายก่อนสิ้นลม
หัวข้อธรรมที่พระมหานันทาเทศน์ให้นักโทษฟัง คือ กมฺมุนา วตฺตตี โลโก
แปลว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ซึ่งใช้เวลาเทศน์เพียง ๑๕ นาที
ก่อนนำนักโทษสู่หลักประหาร โดยมีเนื้อความดังต่อไปนี้

ขอเจริญพรท่านผู้นิรทุกข์ท่านผู้มีกิจที่จะต้องละจากโลกนี้
ไปสู่ยังปรโลกเบื้องหน้าตามกฎสังสารวัฏที่มีการเวียนว่ายตายเกิดเป็นธรรมดา
ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนต้องมีวันนี้ด้วยกันทั้งนั้นต่างแต่ว่าใครจะถึงวันนี้ก่อนหลังกันเท่านั้น
และไม่มีใครที่จะหนีวันนี้ไปได้ เมื่อทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้
ท่านกล่าวว่าเกิดมาด้วยอำนาจกรรม ดังพระบาลีที่ว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชติ
ยทิทํ หีนปฺปณีตตาย ซึ่งแปลว่า กรรมย่อมจำแนกสัตว์ คือให้ทรามและประณีต
ดังจะเห็นว่าทุกคนที่เกิดมาไม่เหมือนกัน ต่างชั้นต่างวรรณะ ยาก ดี มี จน
รูปร่าง นิสัย แม้เกิดมาวันเดียวกันยังไม่เหมือนกัน
ทั้งนี้เพราะทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง ดังที่ท่านผู้รู้กล่าวว่า

ทุกคนเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่าและสั่งสมกรรมใหม่
ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ว่าบางคนทำแต่ความดี
แต่ผลที่ได้รับไม่ค่อยดีจนบางทีกลับท้อถอย โดยคิดว่าทำดีไม่ได้ดี
นั่นเป็นเพราะว่า เขากำลังได้ผลกรรมชั่วที่เขาได้ทำไว้ในกาลก่อนให้ผลอยู่

ผิดกับบางคนทำแต่สิ่งที่ไม่ดี แต่กลับได้รับผลคือความดี
ได้รับการยกย่องสรรเสริญเพราะว่าเขากำลังเสวยผลกรรมดีที่เขาทำไว้ในกาลก่อนกำลังให้ผล
เมื่อหมดกรรมเก่าที่ให้ผลเมื่อไรจึงจะเห็นกรรมในภพปัจจุบัน

เมื่อเรามาคิดว่าเรามีกรรมเป็นของตน
ย่อมเป็นไปตามกรรมนั้นดังพระบาลีที่ยกไว้เป็นเบื้องต้นว่า กมฺมุนา วตฺตตี
โลโก ซึ่งแปลว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เราจะหนีไม่พ้น
ดังที่โยมทุกท่านที่ได้ประสบพบอยู่นี้
จะรู้ตัวดีว่าเรากำลังเสวยกรรมอะไรอยู่ จะทำหรือไม่ทำ
จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
ทำไมต้องมาประสบพบกับสิ่งเหล่านี้และทำไมถึงต้องมีวันนี้
ทั้งหมดที่กล่าวมาเพราะว่าเราก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรมที่เราทำไว้
ไม่ว่าจะเป็นในชาติก่อนหรือว่าชาตินี้ เราต้องชดใช้

เมื่อท่านทั้งหลายคิดได้อย่างนี้
จึงไม่สมควรที่จะคิดพยาบาทอาฆาตจองเวรกับใคร
ควรปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอโหสิกรรมไป
ทุกคนที่ทำกับเราอยู่ขณะนี้ขอให้คิดว่าเขาทำไปตามหน้าที่ที่เขาได้รับ
อย่าพยาบาทอาฆาตจองเวรใครอีก
เพราะว่าเมื่อท่านคิดพยาบาทอาฆาตจองเวรจิตใจก็เศร้าหมองไม่ผ่องใส
เมื่อจิตใจเศร้าหมองขณะละจากโลกนี้ไปสู่ปรโลกเบื้องหน้า

พระศาสดาท่านตรัสไว้ว่าจะไปสู่ทุคติคือกำเนิดในนรก สัตว์ดิรัจฉาน เปรต
อสุรกาย ซึ่งคนไม่ปรารถนาที่จะไปสู่โลกเหล่านี้
ขอให้คิดว่าเรายังดีที่มีโอกาสได้รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร
ได้มีโอกาสทำทุกสิ่งก่อนที่เราจะตาย ได้ทำบุญกุศล ได้รักษาศีล
ได้เจริญภาวนา ได้ทำภารกิจที่ตัวเองคิดว่าจะต้องทำก็ได้ทำเสร็จสิ้นแล้ว
ผิดกับตัวอาตมาที่เทศน์อยู่นี้ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร
ไม่มีโอกาสทำสิ่งที่อยากจะทำก่อนตาย

เมื่อเราคิดได้ว่าขอให้เราชดใช้กรรมนี้ให้หมด
ไม่พยาบาทอาฆาตใครทำจิตใจของเราให้สงบ เพราะเรามีเวลาน้อยกว่าคนอื่นอีก
ความดีที่เราจะทำได้คือทางใจอย่างเดียว
ขอให้ทุกคนจงรักษาไว้ให้ได้ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ให้กำหนดเป็นกัมมัฏฐาน
ตัดห่วง ที่อยู่ในโลกนี้ทิ้งเพราะเราไม่สามารถจะช่วยเหลือใครได้อีกแล้ว
และไม่มีใครที่จะมาช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง ดังพุทธภาษิตที่ว่า อตฺตา
หิ อตฺตโน นาโถ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน

คนอื่นเราพึ่งใครไม่ได้ พยายามทำตัวเราให้เราพึ่งตัวเองให้ได้
เมื่อเราทำได้จิตใจก็จะสงบ เมื่อจิตใจสงบระงับจากกิเลสาสวะทั้งหลาย
เราละจากโลกนี้ไปในขณะนี้ สุคติเป็นที่หวังในเบื้องหน้าดังพระบาลีว่า
จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา
เมื่อจิตไม่เศร้าหมองสุคติเป็นที่หวังได้

ฉะนั้น เมื่อมาถึงตรงนี้ขอให้ทุกท่านจงพยายามรักษาสิ่งเดียวที่จะรักษาได้คือใจ
ทุกย่างก้าวที่ออกจากนี้อย่าปราศจากสติสัมปชัญญะ
รักษาใจให้สงบระงับจนกว่าวาระสุดท้ายของเราจะมาถึง ขอให้ทุกท่านทำให้ได้
รักษาใจไว้ให้ดี สุคติจะเป็นที่ไปในเบื้องหน้าทุกท่านทุกคน เทอญ
เทศนาก็อวสานยุติลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
อาจเป็นเรื่องที่แตกต่างหรือเกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านใด ขออย่าได้มีอคติก่อน
แต่ถ้าตรงกับความคิดเห็นของท่านผู้ใด ขออย่าได้เชื่อไปก่อน
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเรื่องที่แสดงความเห็นเป็นแนวคิดของข้าพเจ้า
และข้อมูลที่ค้นคว้าเพื่อเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลหนึ่ง กับท่านที่ศึกษาทางพุทธศาสตร์
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของตนเอง เราเป็นทายาทแห่งกรรม
ทำดีตามครูไม่ใหญ่ ต้องได้ดีแน่นอน
และสรุปได้ว่า การเอาธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการดำรงชีวิตไม่เคยล้าสมัย สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม



#2 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 17 June 2007 - 01:13 PM

ชอบธรรมเทศนามากครับ ขอกราบอนุโมมทนาบุญกับคุณอาเถลิงเกียรติด้วยนะครับ สาธุ 

#3 สาคร

สาคร
  • Members
  • 764 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 June 2007 - 01:30 PM

สาธุ สาธุ สาธุ ดีมากๆเลยครับ

ความรักความเมตตาและการให้อภัยเป็นสิ่งที่คนดีเขามีกัน


[email protected]

#4 พุทธบุตร ปุถุชน

พุทธบุตร ปุถุชน
  • Members
  • 5 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 June 2007 - 03:04 PM

สาธุ สุดยอดจริงๆครับ น่านับถือท่านมากๆ

#5 No Torayot

No Torayot
  • Members
  • 44 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 June 2007 - 06:23 PM

ประเทศไทย ขณะนี้ปกคองในระบอบ ผู้คุมกับนักโทษอยู่แล้ว อยู่ประเทศนี้จะกลัวตายกันไปทำไม

ทำอะไรเกินหน้าเกินตาไปหน่อยก็ผิดกฏหมาย อีกหน่อยดวงอาทิตย์ก็คงผิดกฏหมาย

จะสอนโจรทุกชาติว่าว่า

@1 ไม่ทรยศ
@2 ปล้นมั่งปล้นมี ปล้นปีละหน ปล้นฉิบหาย ขายตน ปล้นทุกวัน
@3 ย่ามใจ คือ คุก
@4 ไม่ปล้นตัวเอง

#6 No Torayot

No Torayot
  • Members
  • 44 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 June 2007 - 06:32 PM

"ขึ้นชื่อว่าพุทธศาสนา เหมือนกันหมด คือ จุดดับทุกข์"

เป็นพุทธพจน์ อยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติม nick

#7 jane_072

jane_072
  • Members
  • 539 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 11:05 AM

อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ สาธุๆๆ