ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

เงินทำบุญ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 usr16322

usr16322
  • Members
  • 5 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 09:48 AM

อยากทราบว่าเงินทำบุญที่เราได้ทำไว้เป็นเงินที่กู้ยืมมา จะมีได้รับผลบุญอย่างไรบ้าง เหมือนกับเงินที่ไม่ได้กู้ยืมมาอย่างไร

#2 สิริปโภ

สิริปโภ
  • Members
  • 1766 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:เรื่องลึกลับ

โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 10:50 AM

เงินที่เรากู้มาไว้ ก็เป็นของเราแล้วจะไปทำบุญหรือบาปมันก็เป็นเรื่องของเราเพราะเราเป็นเจ้าของแล้วครับ ส่วนเรื่องจะไปใช้หนี้ทีหลังก็เป็นเรื่องต่อไปในอนาคตที่ต้องทำชัวร์ๆ

ถ้าจะไปคิดว่า กู้เงินมาทำบุญแล้วไม่ได้บุญ งั้นผมก็กู้เงินไปจ้างมือปืนมายิง.......ผมก็คงไม่บาปเหมือนกัน




#3 เด็กผู้น้อย

เด็กผู้น้อย
  • Members
  • 436 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 12:48 PM

คุณครูไม่ใหญ่แนะนำว่า หากกู้เงินมาแล้ว หักกลบลบหนี้แล้วคุณมีเงินพอจะจ่ายได้ หมายความว่าเหมือนการลงทุนธุรกิจ คุณมีเงินแต่คุณไม่เอาเงินมาลงทุนแต่อาศัยการไปกู้เพื่อมาหมุนเวียน แล้วดำเนินธุรกิจ ซึ่งหากคุณล้มละลายก็ยังพอกลบลบหนี้หมดไม่เดือดร้อน แต่หากไม่มีแล้วไปกู้และไม่แน่ว่าจะมีเงินคืนหรือเปล่า คุณครูไม่ใหญ่ไม่แนะนำให้ไปกู้มาทำบุญนะครับ เรื่องการส่งผลของบุญจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อใช้หนี้เขาหมดครับ

#4 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 01:19 PM

ในความคิดผมนั้นคิดแตกต่างดังนี้ครับ
การกู้เงินทำบุญก็เหมือนกับการกู้เงินมาทำกิจการ กิจการจะเป็นของเราเต็มตัวก็ต่อเมื่อเราใช้เงินที่กู้มาคืนหมดแล้ว ผมคิดว่าบุญก็น่าจะคล้ายๆกัน คือเราจะได้บุญเต็มเปี่ยมก็ต่อเมื่อเราใช้เงินคืนเจ้าของได้หมด หรือพูดง่ายๆคือเราได้บุญแบบผ่อนส่ง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้สู้เรามีแล้วค่อยๆทำไปเรื่อยๆจะไม่ดีกว่างั้นหรือครับใช้เงินของเราเองเท่าที่เราพอทำได้ ค่อยๆทำไปทีละนิดทีละหน่อยแต่ได้บุญเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกครั้งจะดีกว่าไปกู้เงินเขามาแล้วต้องมาคอยกังวลกลัวไม่มีตั้งจ่ายแถมมีดอกเบี้ยบานตะทัยอีก ถ้าผมจำไม่ผิด คุณครูไม่ใหญ่ท่านเองก็ไม่สนับสนุนเรื่องนี้นะครับ แต่ก็ไม่ได้ห้าม
ประการสำคัญอยากให้จำคำสอนของคุณยายเอาไว้ คุณยายท่านเคยสอนไว้ว่า "หากไปกู้นี่ยืมสินใครต้องใช้ให้หมดในชาตินี้ เพราะถ้าใช้ไม่หมดในชาตินี้เราจะต้องไปใช้เขาในชาติต่อๆไปอีกชาติละสตางค์" ลองคิดดูแล้วกันนะครับสมมุติไปยืมเงินเขามาทำบุญ100บาท แต่ลืมคืนให้เขา ชาติต่อไปเราต้องเกิดไปใช้นี่เขาชาติละสตางค์ 1บาทเท่ากับ100สตางค์ 100บาทเท่ากับ100*100เท่ากับ10000สตางค์เท่ากับว่าเราต้องเกิดไปใช้หนี้เขา10000ชาติ มันไม่คุ้มกันเลยจริงไหมครับ
สรุปคือได้บุญเหมือนกันแต่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนเราใช้เงินของเราทำเองแม้จะไม่มากก็ตามน่ะครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#5 mpbkkt

mpbkkt
  • Members
  • 55 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 10:51 PM

กู้ก็ โอเคนะเพราะบางทีบุญหมดแล้วหมดเลยนะ อย่างบุญซื้อที่ดิน 2.000 ไร่เขาซื้อกันไปหมดแล้วนะเราจะซื้อไม่มีแล้วนะ พระบนโดม 300,000 องค์เต็มแล้วนะตอนนี้มี 100,000 ล้านก็ทำไม่ได้นะก็ต้องคิดให้ดีก่อนทำต้องเอาตัวให้รอดจากหนี้สินนี้ด้วย บุญจะส่งผลเต็มที่ก็เมื่อใช้หนี่เงินกู้เขาหมดแล้ว คิดว่ากู้แล้วส่งได้ไม่เดือดร้อนก็เอาเลยผมเองเป็นมนุษย์เงินเดือนก็ใช้วิธีนี้อยู่เหมือนกัน

#6 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 10 August 2007 - 08:16 AM

การกู้ยืมเงินเขามาเนี่ย koonpatt มีความคิดเห็นดังนี้นะคะ

ถ้าชีวิตมันแน่นอน พรุ่งนี้เรายังอยู่ งานเรายังมีทำ ไม่เจ็บ ไม่ป่วย มีเงินไปใช้คืนแน่ๆ ไม่มีปัญหาอื่นๆที่จำเป็น หรือ ร้ายแรงเข้ามาแทรก ก็ดีนะคะ แต่ ทุกสิ่งไม่เที่ยงนะ

ถ้าเรากู้เขามา แต่...บังเอิญล่าช้า (เอาแค่ล่าช้าก่อนนะคะ) เขาไม่เดือดร้อน ก็คงไม่เป็นไร...(มั๊ย)...ถ้าคุณยืมกับสถาบันการเงินต่างๆ ทั้งนอกและในระบบ หรือต้องเสียดอกเบี้ย.....เข้าข่ายเบียดเบียนตัวเองหรือเปล่าคะเนี่ย

ถ้าบังเอญล่าช้า....และ...เค้าเดือดร้อน เช่น ยืมเพื่อน ยืมคนรอบข้าง บุญที่คุณทำคงได้ไปแล้ว แต่ บาปตามมาแน่ๆ เบียดเบียนผู้อื่นค่ะ

อย่างว่าล่ะค่ะ ทุกสิ่งไม่เที่ยง ถ้าคุณตาย....คุณไม่มี พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง ให้เจ้าของเงินไปทวงถามภายหลัง ก็จะมีเจ้าของเงินเดือดร้อนเพียงคนเดียว.....แต่.....ก็คงถูกผูกเวรไปเรื่อยๆ

ถ้า เค้าไปตามทวงกับ พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง แล้วเกิด ไม่มี หรือ ไม่ให้ ผลที่ได้ koonpatt ก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะ ไม่เคย ประพฤติเช่นนี้ แต่อยากจะบอกว่า อย่าคิดถึงแต่ตัวเอง

อย่ามั่นใจในสรรพสิ่ง คุณกำหนดทุกอย่างไม่ได้

koonpatt ยังเชื่อ ในคำสอนของผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบที่วา บุญไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงินว่าคุณทำมาก จะได้มาก แต่อยู่ที่ความตั้งใจ คุณตั้งใจมา ตั้งหน้าตั้งตาเก็บสะสมเงิน อดออม ลด ละ เลิก ฟุ่มเฟือย ยอมตัดใจ จากสิ่งอื่นที่อยากได้มากๆ แต่ไม่จำเป็นสำหรับชีวิต น่าจะได้บุญมากกว่า

ยืมเงินน่ะ ง่ายไปค่ะ ถ้าเคยกินข้าวแล้วตามด้วยน้ำอัดลม กาแฟ เคยกินข้าวมื้อละ 100 ตามห้างฯ หันมากิน ข้าวราดแกง 20 บาท ไม่กินน้ำอัดลม เอาเงินที่เคยจ่าย มื้อละ 100 ประหยัดไป 80 วันละ 3 มื้อ 240 บาท

เคยดูหนังก็เลิกดู เคยใส่เสื้อผ้า แบรนด์เนม หันมาใส่เสื้อผ้า ธรรมดา ประหยัดไปอีก ชุดละ 2-3 พัน โทรศัพท์ จากเครื่องละ หลายๆ พัน เหลือ เครื่องละ พัน - 2 พัน น่าจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นความตั้งใจของคุณได้มากกว่า คุณผู้หญิงก็ เลิกใช้เครื่องสำอางแพงๆ เลิกเข้าสปา สระผมเอง น่าจะประหยัดกันไปได้อีกเยอะ มีอีกเยอะแยะมากมาย ที่เราจะเลือกทำ ถ้าเอาเงิน เหล่านี้มาทำบุญ koonpatt คิดว่า เราได้บุญเต็มๆแน่

koonpatt ไม่ได้ แนะนำแต่ปาก แต่ตัวเองไม่ทำนะคะ เพราะ ตัว koonpatt เอง รับเงินเดือนมา ก็จะกันเงินไว้ก่อนเลยเพื่อทำบุญ ไม่ได้เอาเงินที่เหลือแล้วมาทำบุญ เราตั้งใจว่า เราจะเก็บเดือนละเท่านี้ ก็เก็บเลย เหลือเท่าไหร่ ประหยัดใช้เอา จึงไม่เคยต้องยืมเงินใครมาทำบุญ

อาจไม่เคยทำบุญใหญ่ๆมาก แต่ ใจใส ใจสบายทุกครั้งที่ทำ

ถ้าคุณ เชื่อหลวงพ่อทุกอย่าง คุณก็ควรจะเชื่อที่หลวงพ่อสอนด้วยว่า ทำบุญน่ะ ให้ทุ่มหมดใจ แต่ไม่ใช่หมดตัว

ถ้ายืมเขามาทำบุญเนี่ย ยิ่งกว่า หมดตัวอีกนะคะ เค้าเรียกกันว่า............เกินตัว.......ไม่ประมาณตัว

ขออนุญาต ยกส่วนหนึ่งของบทความนี้มาให้อ่านกันนะคะ

พระพุทธเจ้าทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่มนุษยชาติตลอดสี่สิบห้าปี เพื่อมุ่งหมายให้เกิดประโยชน์สูง 3 ประการ คือ
1. ประโยชน์สุขสามัญที่สามารถมองเห็นได้ในปัจจุบันที่บุคคลทั่วไปปรารถนามีทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียง อันประกอบด้วยลาภ ยศ สุข สรรเสริญ

2. ประโยชน์ชั้นสูงขึ้นไป อันได้แก่ความมีจิตใจเจริญงอกงามด้วยคุณธรรมความดีทำให้ชีวิตมีค่าและเป็นหลักประกันในชาติหน้าและ

3. ประโยชน์อย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน อันได้แก่ สภาพที่ดับกิเลสความโลภ ความโกรธและความหลง อันเป็นเป้าหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา

ขบวนการแก้จน ตามแนวทางพระพุทธศาสนา มีจุดมุ่งหมายให้เกิดประโยชน์สูงและประหยัดสุด โดยมุ่งเน้นประโยชน์สุข ปัจจุบัน อันเป็นที่ต้องการของบุคคลทั่วไป เนื่องจากสังคมไทยยุคข้อมูลข่าวสารไร้พรมแดน มักจะให้ความเคารพยกย่องผู้ที่มีทรัพย์สิน เงินทองและชอบเหยียบย่ำผู้ที่ต่ำต้อยด้อยกว่าตัว ดังคำประพันธ์ว่า เมื่อมั่งมีมิตรมามุ่งหมายมอง เมื่อมัวหมองมิตรมองเหมือนหมูหมาเมื่อไม่มีหมดมิตรมุ่งมองมา เมื่อมอดม้วยแม้หมูหมาไม่มามอง

ต่อไปนี้ บุคคลใดต้องการร่ำรวยมีทรัพย์สินเงินทองและเกียรติยศชื่อเสียง จะต้องปฏิบัติตามหลักธรรม 4 ประการ หรือเรียกว่า หัวใจเศรษฐี อุ อา กะ สะ โดยจะต้องประพฤติดีปฏิบัติชอบ ดังต่อไปนี้

1. อุ ย่อมาจากคำว่า อุฏฐานสัมปทา แปลว่า ให้ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียรในการแสวงหาความรู้ หนักเอาเบาสู้ในหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมาย กิจการทั้งหลายต้องรู้จักรับผิดชอบ โบราณกล่าวว่า ทรัพย์นี้มิไกล ใครปัญญาไว หาได้บ่นาน ทั่วแคว้นแดนดินมีสิ้นทุกสถาน ผู้ใดเกียจคร้าน บ่พานพบนา ซึ่งหมายถึง ทรัพย์สินเงินทองมีอยู่ทุกหนแห่ง ขออย่างเดียวอย่าเกียจคร้านให้ลงมือทำงานทุกชนิดอย่างจริงจังตั้งใจ งาน คือ ชีวิต ชีวิต คือ งานบันดาลสุข ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อทำงาน มิใช่รอความสุขจากความสำเร็จของงานอย่างเดียวขาดทุนและขอให้ถือคติว่า ขี้เกียจเป็นแมลงวัน ขยันเป็นแมลงผึ้ง ขี้หึ้งเป็นแมลงป่อง จองหองเป็นกิ่งก่า

2. อา ย่อมาจากคำว่า อารักขสัมปทา แปลว่า ให้ถึงพร้อมด้วยการรักษาคุ้มครองทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ด้วยความ ขยันหมั่นเพียร ไม่ให้เงินทองรั่วไหลมีอันตราย ระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยมิให้เปลืองเงินทองโดยใช่เหตุ ตลอดจนรักษาหน้าที่การงานของตัวเองไม่ให้เสื่อมเสีย ขอให้ยึดหลักการเก็บเล็กผสมน้อยหรือการเก็บหอมรอมริบ ซึ่งล้วนเป็นขบวนการเก็บรักษาทรัพย์สินเงินทองที่ได้ผลเป็นอย่างยิ่ง เพราะนี้คือแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ที่เลี้ยงตัวเองได้อย่างสุขกายสบายใจไม่ต้องอยู่ร้อนนอนทุกข์สนุกอยู่กับคำว่า พอ เงินทองมีเกินใช้ ได้เกินเสียไม่ละเหี่ยจิตใจและขอให้ถือคติว่า ความไม่พอใจจนเป็นคนเข็ญ พอแล้วเป็นเศรษฐีมหาศาล จนทั้งนอกทั้งในไม่ได้การ จงคิดอ่านแก้จนเป็นคนพอ

3. กะ ย่อมาจากคำว่า กัลยาณมิตตตา แปลว่า การมีเพื่อนเป็นคนดี ไม่คบคนชั่ว เพราะคบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล คบคนจึงต้องดูหน้าว่าเพื่อนเป็นคนดีที่มีลักษณะไม่เป็นคนปอกลอก ไม่ดีแต่พูด ไม่หัวประจบและไม่เป็นคนชักชวน ไปในทางฉิบหาย มีการดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน มั่วเมาในการเล่นและผีการพนันเข้าสิงจิตใจ และขอให้ถือคติว่า มีเพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา เหมือนมีเกลือนิดหน่อยด้อยราคา ดีกว่าน้ำเค็มเต็มทะเล

4. สะ ย่อมาจากคำว่า สมชีวิตา แปลว่า การเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หามาได้ รู้จักกำหนดรายรับและรายจ่าย อย่าให้สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยหรืออัตคัดขัดสนจนเกินไปให้รู้จักออมเงิน ออมเงินเอาไว้ ฉุกเฉินเมื่อไร จะได้ใช้เงินออม และขอให้ถือคติว่า

มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ แม้มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน
จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#7 Nachpuzzorn

Nachpuzzorn
  • Members
  • 35 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 10 August 2007 - 05:08 PM

กู้มา แล้วไปทำบุญ ยังไม่ใช้หนี้ บุญยังส่งผลไม่เต็มกำลังค่ะ พอใช้หนี้หมดบุญก็จะส่งผลได้เต็มกำลังค่ะ

กู้มา แล้วไปทำบุญ เราใช้ไปครึ่งหนึ่ง แล้วมีคนมาช่วยใช้ครึ่งหนึ่ง คนที่ช่วยใช้ก็มีส่วนในบุญด้วยค่ะ

กู้มา แล้วไปทำบุญ แล้วไม่ใช้หนี้ บุญก็จะส่งผลแบบนี้ค่ะ คือ เวลาทรัพย์เกิด ก็จะมีเหตุให้หมดไป ไม่ได้ใช้เลยค่ะ

พูดถึงการกู้เงินนี่เหนื่อยนะคะ little sun มีประสบการณ์เรื่องนี้ ไม่ได้กู้มาทำบุญนะคะ แต่กู้ในธุรกิจ ใช้หนี้เหนื่อยเลยค่ะ