อยากทราบว่า..
#1
โพสต์เมื่อ 06 October 2007 - 03:13 PM
ถึงเห็นพวกเค้าทำกันได้ทุกวัน ไม่กลัวบาปกลัวกรรม อยากรู้จริงๆ........
#2
โพสต์เมื่อ 06 October 2007 - 03:37 PM
แล้วแต่กรณีครับ
1. หากบาปหนัก มีแค่บุญสร้างองค์พระอย่างเดียวก็ต้องลงนรกครับ
2. บาปไม่หนักมาก บุญจากการสร้างองค์พระมีแรงหนุนก็อาจไปเป็นแค่ภุมมเทวผู้ศักดิ์น้อยครับ (เมื่อหมดบุญก็ต้องลงนรกเช่นเดียวกันครับ
#3
โพสต์เมื่อ 06 October 2007 - 03:58 PM
#4
โพสต์เมื่อ 06 October 2007 - 04:48 PM
ใครหรือครับ???
#5
โพสต์เมื่อ 06 October 2007 - 04:56 PM
#6
โพสต์เมื่อ 06 October 2007 - 09:43 PM
ถ้าไม่อายชั่วไม่กลัวบาป ต่อให้สร้างโน่นสร้างนี่มันก็หนีไม่พ้นคำว่าคนบาปครับ ส่วนเรื่องผลกรรมและการส่งผลก็เป็นอีกเรื่องนึง
ส่วนเรื่องเซ็งเพื่อนก็อีกเรื่องนึงนะคุณ
#7
โพสต์เมื่อ 06 October 2007 - 10:23 PM
#8
โพสต์เมื่อ 06 October 2007 - 10:26 PM
บาปส่วนบาปครับ
#9
โพสต์เมื่อ 07 October 2007 - 02:47 AM
#10
โพสต์เมื่อ 08 October 2007 - 08:00 AM
#11
โพสต์เมื่อ 08 October 2007 - 02:15 PM
บาปส่วนบาป นะค่ะ
#12
โพสต์เมื่อ 08 October 2007 - 06:31 PM
ส่วนอีกท่านคือ นางมัลลิกา สร้างมหาทานที่ยิ่งใหญ่ ชื่อว่า อสทิสทาน เป็นบุญใหญ่มาก แต่ก่อนตาย นึกถึงตอนที่ตนเคยสร้างบาปไว้ด้วยการลอบเป็นชู้ (ไม่กี่ครั้ง) ตายไปลงนรกอยู่ 7 วัน(มนุษย์) พอนึกถึงบุญออก เปลี่ยนร่างจากสัตว์นรก เป็นเทพธิดา ขึ้นสวรรค์ทันที อย่างนี้ก็มีครับ
#13
โพสต์เมื่อ 08 October 2007 - 08:34 PM
แต่วันนึงได้ฟังหลวงพ่อผู้ genious ที่สุดในโลก บอกว่า คนที่จะไปสวรรค์ชั้นต้นๆ อย่างน้อยต้องมีหิริโอตัปปะ แล้วก็ตั้งใจฟังหลายๆ case บางคนทำบุญสร้างองค์พระ 10 กว่าองค์ แต่ก็ทำบาป ก็ต้องตกนรกอยู่ดี แต่เข้าใจว่าเวลารับกรรมบุญอาจจะทำให้ลำบากน้อยลงหน่อย
ขนาดกรรมเล็กๆ น้อยๆ หลวงพ่อยังไม่ยอมพลั้งทำเลย เช่นเดินผ่านบริเวณที่มีคนนั่งสมาธิท่านยังต้องเดินย่องๆ ไม่ให้มีเสียง ขนาดท่านเดินอยู่นอกตึกแท้ๆ ท่านยังระมัดระวัง ทั้งๆ ที่ท่านก็มีบุญเยอะมหาศาล
ดังนั้น ถ้าใครทำให้เราข่นใจก็อย่าไปสนใจ เรามีหน้าที่สร้างบารมีให้มากที่สุด บาปกรรมเพียงนิดก็อย่าได้คิดทำ ส่วนใครทำไม่ดี เขาก็ได้รับผลของเขาเอง ถ้าเราถูกใครทำให้ใจข่นมัว จนออกไปนอกหมู่คณะ เราจะลำบากเอง อย่างเช่นหลายๆ case ที่เคยฟังมา ใครไม่ดีก็ช่างมัน แต่เราเกิดมาสร้างบารมี
#14
โพสต์เมื่อ 09 October 2007 - 01:54 PM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#15
โพสต์เมื่อ 09 October 2007 - 05:53 PM
พระนางมัลลิกา ชาติในอดีต เคยอธิษฐานกับสามี(ในชาติอดีต)ว่า ขอให้ครองคู่กันทุกชาติ ครั้นมาชาตินี้ พระนางมาเกิดเป็นเจ้าหญิง แล้วได้แต่งงานกับพระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์แห่งแคว้นโกศล
อยู่มาวันหนึ่ง นางเห็นแพะแล้วเกิดนึกรักขึ้นมาทันที ทั้งนี้เพราะแพะตัวนั้น คือ อดีตสามีเก่า ที่เคยอธิษฐานร่วมกันมา จึงทำให้อดใจไม่ไหว เลยไปเสพกามกับแพะ
ต่อมาพระเจ้าปเสนทิโกศล มาเห็นเข้า จึงทรงต่อว่าพระนางมัลลิกา แต่พระนางมัลลิกาฉลาดในอุบาย จึงโกหกพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ห้องนี้เป็นห้องกาลกิณี หากใครเข้าไปยืนในห้องนี้ จะถูกมองเห็นไปว่า ไปเสพกามกับแพะ เป็นต้น ว่าแล้ว ก็แกล้งบอกให้พระราชาเข้าไปยืนในห้องนี้ แล้วพระนางก็ทำทีเป็นเดินออกไปนอกห้อง ผ่านไปสักครู่ ก็แกล้งบอกพระราชาว่า นางเห็นพระราชากำลังเสพกามกับแพะอยู่
พระราชาหลงเชื่อนึกว่าจริง พระองค์จึงไม่ได้ทำโทษใดๆ กับพระนางมัลลิกา แต่กฏแห่งกรรมไม่อาจหนีพ้นได้ครับ