ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

อยู่กันฉันมิตร :::


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 7 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 สิริปโภ

สิริปโภ
  • Members
  • 1766 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:เรื่องลึกลับ

โพสต์เมื่อ 15 November 2007 - 07:21 PM

> Subject: Fwd: ::: ธรรมะ ONlinE : อยู่กันฉันมิตร :::
>
> เมื่อครั้งเยือนวิคตอเรีย
>
> เมืองสวยบนเกาะชื่อเดียวกันริมฝั่งแปซิฟิกด้านตะวันตกของประเทศแคนาดา
> ดอกไม้สีสวยสดกำลังบานสะพรั่งในต้นฤดูร้อนนั้น
> เห็นเขาปลูกดอกไม้ประดับตามถนนหนทาง
> หลากสีหลายพันธุ์เอามารวมกันไว้ในกระเช้าห้อย
> เกิดเป็นองค์ประกอบที่สวยงาม
>
> จึงเกิดความคิดว่า
>
> "ดอกไม้หลายๆ อย่างก็เอามาปลูกรวมกันในกระถางเดียวได้"
> บนเกาะมีสวนสาธารณะแห่งหนึ่งซึ่งจำลองสวนญี่ปุ่นมาไว้
> โดยนำพันธุ์ไม้มาจากแดนอาทิตย์อุทัยไกลโพ้น
> แม้เป็นพืชพันธุ์จากคนละท้องถิ่นเมื่อนำมาปลูกในสวนกับไม้เมืองฝรั่ง
> ก็อยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี
>
> ต่อมา เมื่อท่องไปในป่าเมืองไทย
>
> ขณะนั่งอยู่ท่ามกลางขุนเขาเขียวมองดูหมู่ไม้หลายหลากชนิดที่รายรอบ
> ซึ่งอยู่ด้วยกัน เป็นองค์ประกอบที่งดงามเกิดความคิดแบบเดียวกันว่า
> "ต้นไม้หลายๆ อย่าง ต่างอยู่รวมกันในป่าได้"
> ต้นไม้อยู่ด้วยกันได้โดยง่าย ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ไม่มีปัญหา
> แต่ทำไมคนเราจึงอยู่ด้วยกันยาก ถ้าอยู่รวมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป
> มักจะเกิดความขัดแย้งเป็นเรื่องเป็นราวชวนให้ผิดใจกัน ไม่มากก็น้อย
> ไม่ช้าก็เร็ว ยิ่งในคนหมู่มาก ปัญหาก็ยิ่งมีมากตาม
>
> ถาม : "ทำไมคนเราจึงชอบทะเลาะกัน"
> ตอบ : "..."
> ถาม : "ทำไมคนเราจึงไม่อยู่กันด้วยความสงบ"
> ตอบ : "..."
> เงียบ : ต้นไม้ทั้งป่าไม่ตอบ
>
> อ้อ! เพราะต้นไม้ไม่ตอบนั่นเอง จึงอยู่กันได้โดยไม่ทะเลาะเบาะแว้ง
> คนเราถ้าจะเอาอย่างต้นไม้ ไม่ตอบ ไม่โต้ ไม่ต่อความ
> ไม่จองเวรสังคมมนุษย์คงพบความสงบสุขกว่าเดิมอีกมาก
>
> ครั้งหนึ่ง นางมาคันทิยานารี บุตรีพราหมณ์
>
> ผู้มีโฉมเลอเลิศเป็นที่หมายปองของบุรุษตระกูลสูงทั่วไป
> ผูกใจเจ็บเพราะสมณโคดมที่ไม่หลงรูปงามของตน
> ได้ว่าจ้างข้าทาสบริวารให้เที่ยวตามด่าพระศาสดาไปทั่วทุกมุมเมืองโกสัมพี
> ด้วยถ้อยคำเสียดสีผรุสวาทล่วงเกินอย่างรุนแรง แม้จนถึงพระคันธกุฎี
> ที่ประทับในวัดโฆสิตาราม
>
> พระอานนท์ร้อนใจ
>
> ทูลให้พระพุทธองค์เสด็จไปเสียจากเมืองนั้นแต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมโนหนักแน่น
> สงบนิ่ง เยือกเย็นประหนึ่งช้างศึกกลางสนามรบ อดทนลูกศรจากทุกสารทิศ
> "อานนท์... ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัว
> อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกัน ก็เพราะเห็นว่ากำลังพอกัน
> ยังอาจทำร้ายกันได้ แต่ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ต่ำต้อยกว่าตน เรียกว่า
> อดทนสูงสุด ผู้มีความอดทนและมีเมตตาย่อมอยู่เป็นสุข
> เปิดประตูความสงบได้โดยง่าย และขุดมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเสียได้"
> พระพุทธองค์มิได้ทรงตอบ มิได้ทรงโต้ ทั้งมิได้ทรงหนี
> แต่ทรงระงับเหตุร้ายทั้งปวงด้วยพระปัญญา พระกรุณาและพระบริสุทธิคุณ
> "คนพอใจอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น
> มนุษย์เราจะไม่ให้คนรักคนชังนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ อานนท์
> ถ้าจะต้องหนีไปทุกที่ เราก็จะไม่มีแผ่นดินอยู่เรื่องเกิดที่ใด
> ควรให้ระงับลงที่นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยไป" ในที่สุด
> เสียงด่าว่าที่กระทบกับศิลาแท่งทึบที่ไม่หวั่นไหว ก็เงียบหายไปเอง
> สมดังที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ในคราวหนึ่งว่า
> "จดหมายที่ส่งแล้วไม่มีผู้รับ ก็ยังเป็นของผู้ส่งฉันใด
> คำพูดด่าทอที่เราไม่รับ ก็ยังเป็นของผู้พูดฉันนั้น"
>
> แน่นอน ต้นไม้ไม่มีความนึกคิดและถ้อยคำ
>
> แต่เพราะคนเรามีจิตใจซ้ำยังต่างจิตต่างใจ
> จึงเกิดเป็นอารมณ์และความปรารถนาที่ซับซ้อน
> อันนำไปสู่วจีกรรมและกายกรรมอันยุ่งเหยิง
> ยากนักที่เราจะให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อยดังใจ
>
> โดยเฉพาะเมื่อดวงจิตที่ต่างความคิดกันนั้นยังเคลือบอยู่ด้วยโลภะโทสะ และโมหะ
>
> คำพูดที่แฝงด้วยความไม่ปรารถนาดี และไม่มีสติปัญญาไตร่ตรอง
> จึงมักก่อความเดือดเนื้อร้อนใจให้ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
> และเป็นมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทสืบเนื่อง
>
> ผิดกับคำพูดที่มาจากกุศลเจตนา
>
> มีเมตตากรุณา และมุทิตา ตั้งสติพิจารณาให้เหมาะควรก่อนพูด
> ย่อมยังความสงบสุขให้เกิดขึ้น ซ้ำยังพาให้เรื่องร้ายปิดฉากลง
> จึงควรที่เราจะต้องรู้จักเลือกส่งและรับถ้อยคำอันเป็นสื่อที่สำคัญยิ่งแห่งความเข้าใจของมนุษย์
>
> เลือกส่งคำพูด ว่าจะเป็นแบบใด
>
> ระหว่างคำพูดหลอกลวงบิดเบือนกับคำสัตย์จริง
> คำพูดส่อเสียดยุยงกับคำปรองดองให้สมานฉันท์ คำพูดบ่นว่าด่าทอหยาบคาย
> มองโลกในแง่ร้าย
> กับคำไพเราะสร้างสรรค์ชวนให้มองกันในแง่ดีและคำพูดเพ้อเจ้อไร้สาระปราศจากการระมัดระวังใคร่ครวญ
> กับคำที่อุดมด้วยอรรถสาระประโยชน์
>
> เลือกรับคำพูด เมื่อเสียงกระทบหู
>
> ย่อมก่อให้เกิดการรับรู้ทางโสตวิญญาณ
> อันนำไปสู่สังขาร-การนึกคิดปรุงแต่งแล้วกลายเป็นเวทนาอารมณ์-ความรู้สึกสุขทุกข์พอใจไม่พอใจก่อนตอบโต้กลับเป็นการกระทำและคำพูด
>
> หากมีสติคุมจิต
>
> ไม่นึกคิดปรุงแต่งเสียงก็เป็นสักว่าเสียงมากระทบเพียงเท่านั้น
> แล้วหยุดอยู่แค่การรับรู้
> เมื่อไม่มีการปรุงแต่งก็ไม่เกิดเป็นอารมณ์สุขทุกข์
> เสียงนั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หากมีปัญญาใคร่ครวญได้ทัน
> ก็ยิ่งสามารถพิจารณาแยกแยะให้เห็นประโยชน์จากถ้อยคำนั้น
> ไม่ว่าจะเป็นคำพูดดีหรือเลว ถ้าเป็นคุณก็น้อมนำไปสู่การเรียนรู้
> และตอบสนองด้วยกายกรรมและวจีกรรมที่เหมาะควร
> ถ้าไร้สาระก็วางเสียไม่ต้องตอบ ไม่ต้องโต้ ไม่ต้องเดือดร้อนวุ่นวาย
>
> เหมือนต้นไม้หลายพันธุ์ที่อยู่ร่วมกันในป่า
>
> ต่างก็ทำหน้าที่ของตนไปตามปกติ แม้จะแตกต่างกันในรูปทรงเทือกเถาเหล่ากอ
> แต่ก็อยู่ด้วยกันในที่เดียวได้โดยสงบ
>
> คนเราอยู่รวมกัน หากต่างทำหน้าที่ของตน
>
> ไม่ต้องรับคำพูดที่ไม่ควรรับ ไม่ต้องพูดคำที่ไม่ควรพูด
> ไม่เคลือบแฝงด้วยอกุศลเจตนาต่อกันถึงจะแตกต่างกันในพื้นฐานจิตใจ
> คนเราก็อยู่ร่วมกันได้โดยสันติสุข เหมือนดอกไม้หลายพันธุ์ในกระเช้า
> หรือหมู่พฤกษานานาพรรณในป่า ที่คอยประดับประดากันและกัน
> ให้เกิดเป็นองค์ประกอบของสังคมที่สวยงาม ...อันเป็นการ "อยู่ฉันมิตร"
>
> แม้ต้นไม้จะกระทบกระเทือนเบียดเสียดกันบ้าง
>
> ก็คงเป็นส่วนน้อยและเป็นไปโดยปราศจากมายา คนเราถ้ากระทบกันโดยไม่ตั้งใจ
> ก็ไม่มีแก่นสารอะไรที่ควรยึดถือ ขอเพียงเราอยู่กันด้วยเจตนาบริสุทธิ์
> ขอเพียงเราไม่ตอบไม่โต้ไม่ต่อความ ไม่จองเวรเท่านั้นสังคมก็อยู่กันด้วยดี
> มีความสุข หากใครเขายังไม่ "หยุด" เรา "หยุด" ได้ก็พอแล้ว
>
>
> ขอบคุณที่มา
>
> สังคมธรรมะออนไลน์




#2 usr20337

usr20337
  • Members
  • 4 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 November 2007 - 07:35 PM

อนุโมทนารบุญครับ

#3 cat....ka

cat....ka
  • Members
  • 55 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 November 2007 - 10:17 PM

โห...ดีมากๆเลยค่ะ...ขอบคุณค่ะ

#4 nuntawatee

nuntawatee
  • Members
  • 118 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 November 2007 - 05:53 PM

ได้ข้อคิดดีๆบางอย่างไปฝึก

อนุโมทนาบุญกับคุณสิริปโภค่ะ


#5 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 November 2007 - 03:38 PM

Sa Thu.....

#6 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 17 November 2007 - 11:30 PM

อนุโมทนา เจ้าของกระทู้ เป็นบทความที่สอนใจดีครับ

ขันติ ก่อ สันติ

ความอด ความทน ต่อ อกุศล ก่อให้เกิด กุศล


ขันติธรรม ช่วยเพาะพันธุกรรมแห่งสันติธรรมและสันติภาพ ให้ยั่งยืน

ไฟล์แนบ


ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#7 LiL' Faery

LiL' Faery
  • Members
  • 1160 โพสต์
  • Location:@ Time : Europe
  • Interests:Basic and Advance Meditation;วิชชา ธรรมกาย<br />Birth Day : 19 January

โพสต์เมื่อ 21 November 2007 - 02:41 AM

thank you for the nice story kah happy.gif

คุณครูไม่ใหญ่ บอกว่า :
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ^_^ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง

#8 bkk072

bkk072
  • Members
  • 16 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 November 2007 - 01:06 AM

ขอบคุณมากๆค่ะ