ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

ประโยชน์ของความทุกข์


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 usr18804

usr18804
  • Members
  • 4 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 December 2007 - 08:20 AM






เชื่อไหมครับว่า มนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนพัฒนาขึ้นมาจากกองทุกข์

ถ้าไม่เชื่อก็ลองย้อนกลับไปในอดีตกาล

กว่าที่สังคมโลกจะเป็นสังคมเทคโนโลยีอยู่ในขณะนี้ คนเราต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์มาแล้วไม่รู้สักกี่ครั้งกี่หน

จากยุคอดีต...คนเราต้องเผชิญหน้ากับธรรมชาติอันทารุณจากความร้อนและความหนาว

เผชิญหน้ากับความหิว

เผชิญหน้าจากภัยพิบัติทั้งน้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด ภัยหนาวและภัยแล้ง

ใครที่เคยหิวจนไส้กิ่ว หนาวเย็นจับกระดูก หรือร้อนแบบตับแลบ คงจะเข้าใจถึงคำว่า "ทุกข์ทรมาน" ได้ดี

ความทุกข์เช่นนี้ไม่ว่าใครล่ะครับ หากหลีกหนีได้เป็นหนี

และไอ้ด้วยความต้องการหนีให้พ้นทุกข์นี่แหละครับที่ทำให้มนุษยชาติมีพัฒนาการ

มนุษย์ที่เดิมทำได้แต่พเนจรล่าสัตว์ไปตามท้องที่ต่างๆ ก็เริ่มหันมาเพาะปลูกธัญญาหาร

คนที่อยู่บนภูเขาสูงก็อพยพกลับลงมายังพื้นที่ลุ่ม ใกล้แม่น้ำ ปักหลักปักฐานเป็นหลักแหล่ง

คนที่เคยตากแดด ตากลม ตากฝน ต้องทนร้อนทนหนาวก็เริ่มเสาะหาที่อยู่อาศัย

จากนอนกลางดินกินกลางทราย เปลี่ยนมาอยู่ในถ้ำ กลายเป็นบ้าน เป็นคฤหาสน์ในปัจจุบัน

หรือถ้าจะมองไปรอบๆ ตัวก็พบข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้เช่นกัน

หลายสิ่งหลายอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน มีต้นกำเนิดมาจากความทุกข์ของมนุษย์ในอดีตแทบทั้งสิ้น

เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม พัฒนามาจาก"ทุกข์"ที่ต้องทนหนาว

น้ำแข็ง ตู้เย็น พัดลม เครื่องปรับอากาศ ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อลดความทุกข์จากความร้อน

ถนน รถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อลดความทุกข์ของมนุษย์ในต้องใช้เวลาเป็นแรมปีในการเดินทาง

แต่ละอย่างแต่ละชิ้นได้รับการสรรค์สร้างขึ้นเพราะต้องการความสะดวกสบาย

หรือจะเรียกว่า เพราะต้องการพ้นทุกข์ก็ว่าได้

ที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นเพียงความพยายามพ้นทุกข์ทางกาย ทำให้มนุษย์มีพัฒนาการทางสิ่งปลูกสร้าง และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก

แต่จริงๆ แล้ว ด้วยต้นเหตุเดียวกัน คือเหตุจากทุกข์ ก็ทำให้มนุษย์มีพัฒนาการทางใจเหมือนกัน

การกำเนิดของศาสนาต่างๆ ดูเหมือนจะเป็นบทพิสูจน์ในเรื่องนี้ได้ดีที่สุด

ทั้งศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกข์ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพื่อเป็นเพื่อนทางจิตใจของมนุษย์

ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกข์ ล้วนแล้วมีเป้าหมายเพื่อให้มนุษยชาติพ้นทุกข์

ศาสดาแต่ละพระองค์ ล้วนแล้วแต่มีลักษณะพิเศษสุด คือ การนำเอาหนทางแห่งการพ้นทุกข์มาเผยแพร่แก่มนุษย์

มนุษย์จึงต้องมีคุณสมบัติของคนดี จึงจะสามารถดำรงอยู่ร่วมกันมนุษย์กันเองได้

ทั้งหมดเกิดจากอิทธิพลของศาสนา

และศาสนาก็เกิดขึ้นจากความต้องการหลุดพ้นความทุกข์ของมนุษย์

เห็นแล้วใช่ไหมว่า ธรรมชาติสร้างความทุกข์ขึ้นมาเพื่อให้พวกเราฟันฝ่า

เหมือนกับเล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่ต้องฝ่าด่านไปทีละด่านนั่นแหละครับ

ใครหลุดพ้นจากทุกข์ได้ ก็เหมือนฝ่าด่านไปได้

ใครฝ่าด่านไปได้ ก็เหมือนกับเป็นผู้ชนะการเล่นเกมคอมพิวเตอร์

ใครสามารถฝ่าด่านไปได้มากกว่าคนอื่น ก็มีโอกาสพัฒนาได้มากกว่าคนอื่น

ทีนี้เราลองมา"เล่นเกม"กับชีวิตของเราดูบ้างดีไหม

เราลองมองดูความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราเป็น"ด่าน"ที่เราจะต้องฟันฝ่าไปให้ได้

ตอนเด็กๆ เด็กส่วนใหญ่จะเจอ"ด่าน"ง่ายๆ เพราะมีพ่อแม่เป็น"ตัวช่วย"อยู่ด้วย

แต่สำหรับบางคนที่กำพร้า คือขาดตัวช่วย เด็กคนนั้นอาจจะต้องใช้ความสามารถมากกว่าเด็กคนอื่นๆ หน่อยถึงจะฝ่าด่านมาได้

แต่หากเด็กคนนั้นสามารถฟันฝ่าอุปสรรคมาได้ พัฒนาการของเขาหรือเธอก็จะได้คะแนนทวีคูณ

เหมือนเล่นเกมคอมพิวเตอร์ไหม?

พอชีวิตเข้าสู่วัยรุ่นก็เช่นกัน

ความทุกข์ หรือ"ด่าน"ที่ต้องฟันฝ่าไป อาจจะยากขึ้น และจะยากขึ้นไปเรื่อย ๆจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีครอบครัว

แต่หากใครสามารถฝ่าด่านเหล่านั้นไปได้ จิตใจของคนผู้นั้นก็จะแข็งแกร่งขึ้น สามารถดำรงอยู่ในสภาวะที่มั่นคง และเหนือชั้นกว่าคนอื่นๆ

หากเรามีโอกาสศึกษาปูมหลังบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

จะพบว่า ก่อนที่คนเหล่านั้นประสบความสำเร็จ ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องฟันฝ่าความทุกข์มาแล้วทั้งนั้น

ความสำเร็จที่ว่านี่ไม่ได้วัดจาก"ความรวย"นะครับ

ความสำเร็จนี่เขาวัดจาก"ความสุข"ต่างหาก

คนที่สามารถ"ฝ่าด่าน"ต่างๆ ในชีวิตมาได้ เท่ากับว่าสามารถฝึกฝนตนเองให้สามารถรับสภาวะความทุกข์ในลักษณะต่างๆ มาได้

ในที่สุดเขาหรือเธอก็สามารถหาความสุขให้แก่ตัวเองได้

นี่อาจจะเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมคนรวยบางคนถึงเป็นทุกข์ และทำไมคนจนบางคนถึงมีความสุข

ก็ถ้าคนรวย แต่ไม่ใคร่ได้ฝ่าด่านความทุกข์มาในชีวิต เวลาเจอสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง ใจก็จะไม่สงบ

ความทุกข์ก็บังเกิดขึ้น

ผิดกับคนจนที่แม้จะไม่มีเงิน แต่ฟันฝ่าความทุกข์มาอย่างโชกโชน

เขาหรือเธอเหล่านั้นจึงสามารถหาความสุขได้เสมอ

เราจึงไม่ควรจะหวาดกลัวความทุกข์จนเกินไป

และเมื่อใดที่เรามีทุกข์ สิ่งที่เราควรจะคำนึงถึงคือ หาทางฟันฝ่าความทุกข์นั้นไปให้จงได้

ค่อยๆ มองดูทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรา ค่อยๆ เรียนรู้สิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์

แล้วก็หาทางเอาชนะมันด้วยวิธีที่เราคิดได้

เหมือนกับหาทางพิชิตด่านในเกมคอมพิวเตอร์

คิดอย่างนี้แล้วชีวิตก็จะพบกับความสนุก และเพลิดเพลินกับการเผชิญหน้ากับความทุกข์

เมื่อใดที่เราสนุก เมื่อนั้นความทุกข์ก็ถูกสกัด

และเมื่อใดที่เราพ้นทุกข์ไปได้ ก็เท่ากับเราเสริมเกราะคุ้มกันจิตใจได้อีกชั้นหนึ่ง

เห็นไหมว่าพัฒนาการของมนุษย์เกิดขึ้นมาจากองทุกข์

ดังนั้น แทนที่เราจะกลัวทุกข์ เราควรจะใช้ความทุกข์ให้เป็นประโยชน์

ประโยชน์ในการพัฒนาเราให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ตลอดไป



คอลัมน์ แท็งก์ความคิด

โดย นฤตย์ เสกธีระ [email protected]

#2 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 December 2007 - 08:58 AM

สาธุ ครับ
พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#3 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 December 2007 - 09:43 AM

ต้องไปดับที่ต้นเหตุแห่งทุกข์..สาธุ

#4 พักผ่อน

พักผ่อน
  • Members
  • 422 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 09 December 2007 - 06:45 PM

ความทุกข์ไม่มีประโยชน์ครับ ปัญญาที่มองเห็นทุกข์นั่นต่างหากที่มีประโยชน์ครับ
เพราะมีทุกข์ แต่ไม่ปัญญา จึงประสบแต่ความมืดมนอนธการในวัฏฏสงสารสิ้นกาลนานครับ

#5 cat....ka

cat....ka
  • Members
  • 55 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 December 2007 - 11:29 PM

ความทุกข์นี่ไม่ดีนะ...มันทุกข์อ่ะ...เราไม่ได้อยู่ในสภาพที่หิวจนไส้กิ่ว หรือหนาวจนเข้ากระดูก เรามองก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเราฟังหลวงพ่อ เราไม่ได้มีหน้าที่เกิดมาทุกข์ ความทุกข์จริงๆน่าจะอยู่ที่ใจ ถ้าเราไม่ใส่ใจกับความหนาวและความหิว ความหนาวและความหิวก็ไม่อาจทำให้ใจเราหวั่นไหวได้ เราคงต้องชวยกันแก้ปัญหานี้ที่ต้นเหตุ...โดยเร่งด่วน...เราและคนทั้งโลกจะได้ไม่ต้องรู้จักคำว่า ทุกข์ มันเป็นอย่างไร จะได้ไม่ต้องเสียเวลาพัฒนาวัตถุให้ติดวัตถุ หันมาพัฒนาจิตใจให้สูงยิ่งขึ้นไปจะดีกว่า...อนุโมทนาบุญกับบทความดีๆที่โพลด้วยนะคะ

#6 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 02:13 AM

กาลครั้งหนึ่่ง
มีเศรษฐีคนหนึ่่ง ไม่่ให้ลูกเรียนหนังสือ
เพราะตนเองก็ไม่่่ได้เรียน แต่่ต่อสู้ชีวิตจนรวย
คุณครูถามเศรษฐีว่า เพื่่่อนๆในสลัมที่่โตกันมาเป็นไงบ้าง
เศรษฐีตอบว่า ครึ่่่่งหนึ่่งติดคุก ที่่เหลือไม่ตายก็พิการ
มีสองคนที่่รวย คือ ตนเอง
และอีกคนรวยอย่างผิดกฎหมาย
คุณครูพูดว่า ลูกคุณโตแล้ว สายไปแล้ว
ตอนแรกเกิด คุณต้องโยนลูกเข้าสลัม ให้ต่อสู้ชีวิต
แล้วเสี่่ยงดวงเอา ว่าโตขึ้นจะเป็นอย่างไร ?


บุคคลสำคัญของโลก มีทั้งตกนรกและขึ้นสวรรค์
ต้องเลือกต้นแบบชีวิตให้ดี
เจ็งกิสข่าน อเล็กซานเดอร์ ฮิตเลอร์ ฯลฯ
ทนทุกข์ได้โชกโชน แต่ใจหมองไม่มีความสุข
จิตใจแข็งแกร่ง แต่ไม่มีพุทธิปัญญา
เหนือชั้นกว่าคนอื่่นๆทางโลกียะ แต่ตกนรก
เก่งในเกมแห่งทุกข์
ทุกข์เป็นเกมของมาร
เกมวัฎฎสงสาร


แต่สุขเป็นเกมของพระ
เกม 072
เกมพระนิพพาน
เกมที่่สุดแห่งธรรม
จงเลือกพระพุทธเจ้าเป็นต้นแบบของชีวิต
ศึกษาชาดก พระไตรปิฎก
พระพุทธองค์ใช้พุทธิปัญญา
แต่ละชาติชนะอุปสรรค
ด้วยความดีงามและประโยชน์สุขทุกฝ่าย


ธรรมชาติไม่ใช่ผู้สร้างความทุกข์ให้คนฟันฝ่า
มารเป็นผู้สร้างความทุกข์เพื่อไม่ให้คนบรรลุนิพพาน
ทุกข์และสมุหทัยเป็นเกมของมาร
นิโรธและมรรคเป็นเกมของพระ
แก้เกมกันอยู่
ควรรู้เท่าทันทุกข์และสมุหทัย
ควรปฏิบัตินิโรธและมรรค
ปัจจุบันมักจะพูดกันว่า
ยังไม่อยากไปอายตนะพระนิพพาน
ยังอยากสนุกกับกิเลสตัณหาทุกข์สมุหทัย
ดันไปเล่นเกมของมาร เพิ่มทรัพย์ให้มาร
แทนที่่จะเล่นเกมของพระ เพิ่มพลังให้พระ


ไม่ได้หมายถึงเจ้าของกระทู้นะครับ
พูดถึงกรณีทั่วๆไป
บางบทความในบางสื่่อสารมวลชนเป็นดาบสองคม
มีทั้งยาพิษและวิตามิน
มีทั้งองุ่่่่นเปรี้ยวและมะนาวหวาน
เป็นเทคนิคในการล้างสมองทีละเล็กทีละน้อยของจิตวิทยามวลชน
แรกๆจะมีวิตามินมากและยาพิษน้อย
เมื่อผู้คนพากันชื่่นชมวิตามินกันมากมาย
และไม่ชี้โทษชี้ขุมทรัพย์ของยาพิษเล็กน้อย
ด้วยคิดว่า ไม่ควรทำให้เขาเสียกำลังใจ
ด้วยคิดว่า Nothing is perfect.
ด้วยคิดว่า เราอย่าชอบจับผิดเลย จงจับถูกอย่างเดียวเถิด
ค้วยคิดว่า ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง อย่ายึดมั่นถือมั่นเลย
ด้วยคิดว่า แม้เจตนาดีแต่ก็จะเป็นวิบากกรรมเล็กน้อย อย่าเตือนดีกว่า
มารรู้ความคิดนี้และใช้ " ด้วยคิดว่า '' เป็นตัวนำยาพิษ
เป็น solvent สารทำละลายที่ไม่มีสีกลิ่นรสใสซื่อบริสุทธิ์
เวลาผ่านไป เวลาต่อมา
เมื่อผู้คนเริ่มชินและชอบยาพิษชนิด เอ แล้ว
ต่อไปก็จะค่อยๆใส่ยาพิษ บี ซี อี เอฟ ฯลฯ
อย่างช้าๆด้วยความอดทน
ถ้าไม่ตั้งสติปัญญาสมาธิให้ดี
จะถูกล้างสมองโดยไม่รู้ตัว
วิธีป้องกันคือ
อ่านพระไตรปิฎกให้มากที่่สุดหลายๆรอบ
นั่งสมาธิทุกวัน
ดู dmc และปฏิบัติ
เป็นกัลยาณมิตรรู้รักสามัคคีให้อภัยกัน
อ่านหนังสือของวัดพระธรรมกายของเราทุกๆเล่ม
และเชื่อฟังหลวงพ่อ


อยากขอร้องให้ผู้หลักผู้ใหญ่เก่าๆที่เคยเขียนในนี้
(อายุน้อยแต่มากปัญญาก็เป็นผู้หลักได้ครับ)
กลับมาช่วยน้องๆใหม่ๆที่่เพ่งเข้าวัด
เพราะตอนนี้มีสิ่งแปลกๆมากขึ้นมาก
ต้องขออาศัยปัญญาของท่านทั้งหลาย
ก่อนที่่น้องๆจะค่อยๆหลงทางไปทีละเล็กทีละน้อย
ผมยังด้อยสติปัญญาสมาธิ
ด้วยความปรารถนาดี
ขอกราบอนุโมทนาบุญล่วงหน้ามา ณ โอกาสนี้ครับ

#7 usr16773

usr16773
  • Members
  • 21 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 December 2007 - 12:31 PM

ตัวทุกข์เองไม่มีประโยชน์ เรามีหน้าที่เพี่ยงพยายามสร้างสมความดีให้มากขึ้น มองทุกข์เป็นบทเรียน ไม่ใช่มองทุกข์ด้วยความกังวล (เพราะจะยิ่งไปเพิ่มอำนาจให้มันทุกข์หนักขึ้น) ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราดังที่หลวงพ่อฯ เคยกล่าวไว้ว่า
"เมื่อเราสว่าง โลกก็สว่าง" เพราะฉะนั้นไม่ใช่อยู่ที่ใครเลยจะสุขจะทุกข์อยู่ที่อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น โทษใครไม่ได้