ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

บุพกรรมของพระสีวลี


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 4 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 09:41 AM

บุพกรรมของพระสีวลี

พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยกย่องพระสีวลีเถรเจ้าด้วยพระวาจาว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของเราตถาคต พระสีวลีเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยลาภ” และตามคัมภีร์มโนรถปูรณี ในเรื่องของพระสีวลีก็ได้กล่าวไว้ว่ายกเว้นแต่พระตถาคตเจ้าแล้ว ไม่มีผู้ใดเลิศด้วยลาภเหมือนพระสีวลีเถรเจ้า

ในอดีตชาติ (ครั้งพุทธกาลแห่งพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า) มีกุลบุตรผู้หนึ่งได้เกิดในบ้านเล็ก ๆ ตำบลหนึ่งใกล้เมืองพันธุมดี ในสมัยนั้นชาวเมืองกับพระราชาได้จัดการถวายทานแด่พระวิปัสสีพระพุทธเจ้าเป็นการแข่งขัน วันหนึ่งพวกชาวเมืองเตรียมจะกวายทานก็ได้พบว่าในทางของพวกตนนั้นขาดน้ำผึ้งและเนยแข็ง จึงได้จัดคนส่งออกไปหาน้ำผึ้งกับเนยแข็ง โดยคอยดักดูผู้คนจากชนบทที่เดินทางเข้าเมืองว่าผู้ใดมีสิ่งที่พวกตนต้องการบ้าง

บังเอิญวันนั้นกุลบุตร (คือพระสีวลีในชาติต่อมา) ก็จะเดินทางเข้าเมือง โดยนำกระบอกเนยแข็งมาด้วยหมายจะแลกสิ่งของในเมือง แต่ระหว่างทางก่อนจะเข้าเมือง ในที่นั้นได้พบรวงผึ้งรวมหนึ่งโตขนาดงอนไถ เมื่อเดินทางเข้าสู่เมือง ชาวเมืองจึงได้ขอซื้อในราคาถึงหนึ่งพันมหาปนะ ซึ่งทำความแปลกใจให้กุลบุตรเป็นอย่างมาก เพราะลำพังเนยแข็งกับน้ำผึ้งไม่ใช่ของมีราคาเพียงนี้ จึงทำเป็นไม่ขาย เพื่อใคร่รู้ราคาที่แท้จริง ชาวเมืองเกรงจะแพ้พระราชา จึงขึ้นราคาให้ถึงสองพันมหาปนะ

พอรู้ว่าจะไปถวายทานแด่พระวิปัสสีพระพุทธเจ้า ก็เกิดความคิดว่า ตนเองมีสิ่งของที่เป็นของสำคัญในการถวายทาน ก็ควรจะเป็นผู้ถวายทานครั้งนี้ด้วย จึงบอกกับชาวเมืองว่าตนไม่ขายแล้ว แต่จะขอร่วมถวายทานด้วยมือของตน ครั้นถวาย เมื่อพระวิปัสสีพระพุทธเจ้า ทรงรับทานของกุลบุตรแล้วก็อธิษฐานว่า อย่าให้น้ำผึ้งของกุลบุตรหมดไปจนกว่ากุลบุตรจะได้ถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ครบทุกองค์ ซึ่งทำให้กุลบุตรได้ใส่บาตรด้วยน้ำผึ้งครบทุกองค์ และได้ขอพรจากพระวิปัสสีพระพุทธเจ้าว่า

“ด้วยผลแห่งกุศลที่ตนได้กระทำ ขอให้ตนเองเป็นผู้เลิศด้วยลาภเถิด” พระองค์ก็ทรงอนุโมทนาให้ ต่อมากุลบุตรนั้นก็ได้สร้างกุศลอยู่เสมอจนสิ้นชีวิต

ครั้นในชาติต่อมาคือในสมัยพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี้ กุลบุตรนั้นถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสุปปวาสาธิดาแห่งโกลิยวงศ์ พระนางต้องทรงพระครรภ์ถึง 7 ปี 7 เดือน มิได้ประสูตรพระกุมาร พระนางต้องได้รับทุกขเวทนาในการเจ็บพระครรภ์เป็นอย่างมาก พระนางจึงให้พระสวามีไปกราบถวายบังคมพระศาสดา พระองค์ก็ทรงตรัสประทานพรให้ว่า “พระนางสุปปวาสา ผู้เป็นพระราชธิดาของพระเจ้ากรุเทวทหะ จงเป็นหญิงมีความสุขปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชบุตรผู้หาโรคมิได้เถิด”

ครั้งครบ 7 วันแล้วก็ทรงประสูติได้อย่างง่ายดายเปรียบประดุจน้ำไหลออกมาจากหม้อ ด้วยอำนาจแห่งพุทธานุภาพ และในระหว่างที่พระนางทรงครรภ์อยู่นั้น ก็บริบูรณ์ไปด้วยลาภสักการะ ด้วยมีผู้นำมาถวายทั้งเช้าและเย็น พระนางทรงใช้สอยไปอย่างๆก็ไม่รู้จักพร่อง ทั้งนี้เป็นด้วยอำนาจของบุญกุศลของบุตรที่อยู่ในครรภ์ อันเนื่องมาจากศุภนิมิตอันเป็นมงคลนี้พระญาติทั้งหลายจึงได้ถวายพระนามพระโอรสของพระนางว่า
“สิวลีราชกุมาร



เนื่องจากพระสีวลีราชกุมาต้องอยู่ในครรภ์ถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน พอประสูติออกมาจึงมีความรู้มาก ในวันที่เจ็ดพระสารีบุตรได้สนทนากับพระสีวลี พระนางสุปปวาสาเห็นพระโอรสประสูติได้เจ็ดวันก็พูดได้ก็ถามพระสารีบุตรว่า พระสีวลีกล่าวว่าอย่างไร พระสารีบุตรตอบว่า พระสีวลีบอกถึงการระลึกถึงทุกข์ที่อยู่ในครรภ์ตลอดมา ถ้าหากได้รับอนุญาตให้บรรพชาก็จะขอบรรพชา พระนางก็ทรงอนุญาต

ขณะเมื่อบรรพชาพระสารีบุตรได้สอนให้พระสีวลีพิจารณาถึงทุกข์ที่อยู่ในครรภ์ โดยให้พิจารณาเป็นทุกข์ลักษณะขึ้น ครั้นในขณะที่จรดมีดโกนเพื่อปลงผมในครั้งแรกนั้น พระสีวลีก็ได้สำเร็จโสดาปัตติผล เวลาจรดมีดลงในครั้งที่สองก็ได้สกิทาคามิผล และได้อนาคามิผลในเวลาโกนผมเสร็จ คือพอหมดศีรษะก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ

นับแต่พระสีวลีได้บรรพชาแล้ว ก็มีปัจจัยลาภเกิดแก่หมู่สงฆ์ ตามปรารถนาเสมอมา แม้นท่านจะไปอยู่ที่ไหนจะไปอยู่ที่ใด ๆ แม้นแต่พระพุทธเจ้าจะเสด็จพาพระสงฆ์ไปในที่กันดารก็ยังต้องเอาท่านไปด้วย มีอยู่คราวหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปกรุงสาวัตถี พระสีวลีได้ทูลขอทดลองในบุญของท่าน โดยขอพระภิกษุสงฆ์ 500 องค์ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตครั้งนั้นเทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่นั้นก็ได้ถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ทั้ง 500 องค์นั้น โดยมีพระสีวลีเป็นประธานอยู่ตลอด 7 วัน จากสาเหตุนั้นเอง สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตั้งพระสีวลีไว้ในตำแหน่งอันเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ถึงซึ่งความเลิศด้วยลาภในพระพุทธศาสนา หลังจากนั้นพระสีวลีก็ดำรงชีวิตอยู่ถึงอายุขัยของท่าน แล้วก็เสด็จเข้าสู่นิพพาน

ส่วนในคัมภีร์พระธรรมบทนั้น กล่าวถึงสาเหตุที่พระนางสุปปวาสารทรงตั้งครรภ์อยู่ถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน นั้นก็เนื่องมาจากบุพกรรมในอดีตชาติเมื่อครั้นเสวยชาติเป็นพระราชา ได้ทรงยกกองทัพไปล้อมเมือง โดยชาวเมืองนครนั้นที่ถูกล้อมนั้น ได้เข้าออกเพื่อนำฟืน และน้ำเป็นต้นจากภายนอกทางประตูเล็กของนคร จึงสามารถครองตนอยู่ได้แม้ถูกข้าศึกล้อมอยู่ ถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน พระราชชนนีจึงแนะนำพระราชา(พระสีวลีในอดีต)ว่าให้ปิดประตูเล็กเสีย พระราชาทรงปฏิบัติตาม เมื่อชาวเมืองออกไปภายนอกไม่ได้ จึงปลงพระชนม์พระราชาของตนเองเสียในวันที่ 7 แล้วถวายราชสมบัติแก่พระราชา(พระสีวลีในอดีต)นั้น

ด้วยบุพกรรมนี้ติดตามมาสนองท่านพร้อมกับพระมารดาพระนางสุปปวาสาในชาตินี้

ที่มา : หนังสือ"พระปัจเจกพุทธเจ้า" รุจน์ มัณฑิรา

จากการศึกษาผลของกรรมที่ผู้กระทำต่อผู้อื่นด้วยความไม่รู้ถึงผลของกรรมที่กำลังแสดงผลออกมาทั้งต่อตนเอง และคนในครอบครัว เมื่อผลของกรรมตามไล่ทันด้วยกำลังบุญที่เคยมีทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันซึ่งกำลังจะหมดไป โดยไม่เคยคิดจะสะสมบุญใหม่ ผลของการกระทำความผิดต่างๆ จะถูกบันทึกลงไปในจิตวิญญาณ เหมือนกับคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่คุณรู้เพียงคนเดียวแต่ผู้ที่ร่วมรับรู้ถึงพฤติกรรมของท่านคือ เจ้าที่ เจ้าทาง รุขเทวดา อินทร์ พรหมและเจ้ากรรมนายเวรที่คอยโอกาสส่งผลกรรมต่างๆให้กับคุณเมื่อผลบุญเก่าของคุณหมดกำลัง กรรมที่ท่านทั้งหลายได้ใช้โอกาสที่มี ไม่ว่าจะด้วยทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม หนักเบาก็ขึ้นอยู่กับผลของกรรมและผู้ร่วมกระทำ ผู้ร่วมรับเห็นการกระทำ ทั้งไม่ตั้งใจและตั้งใจ หากผู้ที่ถูกกระทำเป็นผู้มีศลี ปฎิบัติธรรมก็จะบาปมากกว่า เช่นเดียวกับการฆ่าสัตว์ตัวใหญ่กับตัวเล็ก และสัตว์ที่มีคุณช่วยทำประโยชน์ให้กับสัตว์ที่ไม่ได้ทำคุณ มีผลเช่นเดียวกัน ผลของการเบียดเบียนทรัพย์สมบัติของส่วนร่วมมาเป็นของตน เมื่อตนเองมีทรัพย์สมบัติอะไรก็จะถูกคนอื่นขโมย เช่นโจรขึ้นบ้าน เป็นทุกข์เพราะมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมา การเอาของผู้อื่นมาเป็นของตน ก็จะมีทรัพย์ที่ไม่ถาวร การเอารัดเอาเปรียบลูกน้องมากๆ ผลของกรรมก็จะตกถึงลูกถึงหลาน ซึ่งจะเป็นทายาทกรรม จะถูกคนอื่นรังแก ถูกตี ถูกจี้ โจรปล้น ถูกแทง ถูกยิง ถูกข่มขืน และอาจเสียชีวิต หากผู้กระทำไม่รีบสะสมบุญใหม่ให้กับตนเอง ร่วมทั้งมีลูกกี่คนก็จะพบกับความล้มเหลวในชีวิต เลี้ยงยาก ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อาจจะปัญญาอ่อน หรือจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เพราะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ หากดูถูก ด่าทอพ่อแม่ ครู-อาจารย์ ก็จะเป็นคนถูกสังคมประนาม ดูถูก ถูกเอารัดเอาเปรียบในสังคมเช่นกัน เชื่อหรือไม่ให้ทุกท่านติดตามและสังเกตุผลกรรมต่างๆ ที่กำลังแสดงผลกับคนที่ท่านรู้จัก คนใกล้ชิด คนร่วมงาน ร่วมทั้งคนที่อยู่รอบๆตัวท่านดูนะครับ แล้วอย่าลืมรีบสะสมบุญให้ตนเองด้วยครับ บนโลกนี้ท่านอาจจะมีทุกสิ่งทุกอย่าง กลับไม่สามารถนำอะไรติดตัวไปได้เลยแม้แต่บาทเดียว เขาจะถามเพียงคุณเคยทำดี ชั่วอะไรบ้างเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องตัดสิน ด้วยผลของกรรมที่ถูกบันทึกลงในจิตวิญญาณของคุณเอง กรรมของคุณนั้นเองและตัดสินด้วยตนเอง จงอย่าประมาทในชีวิต และอย่าเสียโอกาสเมื่อเวลามาถึง จงคิดถึงความตายวันละ 3 หน ทาน ศิล ภาวนา เท่านั้นที่จะนำท่านไปสู่สุขติภพ

ไฟล์แนบ


พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#2 สาธุธรรม

สาธุธรรม
  • Members
  • 1124 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 01:29 PM

สาธุ สาธู๊ สาธู๊....
ขออนุโมทนาในกุศลกรรมทั้งหมดทั้งสิ้นของทุกท่านในเรื่องอันเป็นธรรมทานอันเลิศ
และ อนุโมทนาแก่ผู้นำธรรมทานอันเลิศมาฝากค่ะ
จะช่วยนำไปเผยแพร่ต่อให้ได้บุญเพิ่มนะคะ สาธุ
หยุดนิ่งนั้นแหละไซร้ พรหมจรรย์
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ

สุนทรพ่อ

#3 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 02:32 PM

Sa Thu Krub

#4 JaiKaeW

JaiKaeW
  • Members
  • 149 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 January 2008 - 04:13 AM

Sadhu ka _/l\_

#5 เด็กอ้วน

เด็กอ้วน
  • Members
  • 40 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 January 2008 - 02:39 PM

สาธุ ครับ ^^