ขอขมาต่อหลวงพ่อ
#1
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 09:23 AM
ขออารธนา หลวงพ่อธัมมชโย
กระผมชื่อ นายสุรชัย กระผมได้ ยิน เรื่องราว ของหลวงพ่อ เมื่อ ประมาณ
พ.ศ.2543 ซึ่ง ตอนนั้น ผมกำลัง เรียน ปี 2 คณะวิทยาศาสตร์ ผมไม่เคยเชื่อเรี่อง ธรรมกายเลย
และไม่คิดเลยว่า มันจะเป็นจริง หรือมีอยู่จริง และประกอบกับช่วงนั้น มีข่าวที่ไม่ดีกับทางวัดธรรมกายด้วย
ยิ่งไม่เชื่อเข้าไปใหญ่ แถมยังยึดติดกับหลักการ ทางวิทยาศาสตร์ มากๆ แม่ผมเคยบอกให้ผมไปที่วัดธรรมกาย
ดูสิ ผมก็บอกว่า เดี๋ยวไป แม่ แถมยัง บอกแม่ว่า พ่อธัมมชโยก็เหมือนพระรูป อื่นๆ ที่พอดังแล้วก็เก็บตังบ้าง
เดี๋ยวก็มีข่าวเรื่องสีกาบ้าง เดี๋ยวหลวงพ่อธัมมชโยก็คงเหมือนพระรูปอื่นๆ วงการพระก็เป็นอย่างนี้ แหละแม่ไม่ต้องไปสนใจหรอก
ไม่เคยเชื่อและศรัทธาต่อสิ่งใด ที่วิทยาศาสตร์ พิสูจน์ไม่ได้
แต่ด้วยความคิดแบบนี้ ทำให้ผม จบการศึกษาปริญญาในสาขาวิชาฟิสิกส์ในอีก 2 ปีต่อมา ผมภูมิใจมากกับปริญญาใบนี้
และผมก็ได้ทำงาน โรงงาน กระจกแห่งหนึ่ง ด้วยความที่คิดว่าตัวเองเก่ง สามารถทำงานทุกอย่างได้ทำงานได้1ปี
จึงอาสาช่วยยกกระจกแผ่นใหญ่แต่ด้วยความไม่ชำนาญกระจกึงแตกระเบิดใส่แขนจนเป้นแผลเป็นที่แขนขวา เย็บหลายสิบเข็ม
ทำให้ผมหมดกำลังใจ จึงขอลาออกหางานใหม่ แต่หลายเดือนก็ยังหางานไม่ได้ จนแฟนสาวเกิดตั้งท้อง ขึ้นมาจึงต้องแต่งงาน
แบบไม่ตั้งใจ ผมไม่เคยคิดที่จะ มีลูก มีเมียเลย อยากอยู่คนเดียว กินเหล้ากับเพื่อนๆ มากแต่ด้วยความถอดใจ
ผมเลยตัดสินใจขอกลับไปทำงานที่โรงงานเดิม ทำงานได้ประมาณ ุ6เดือนก็เกิดอุบัติเหตุถูกสารเคมีกัดกระจกกัดนิ้วเนื่องจากทำการ
ทดลองผิดพลาดผมเสียใจกับความผิดพลาดที่เกิดกับชิวิตผม และผมก็เริ่ม กินเหล้า จน ติดต้องกินเบียร์วันละ 2 ขวด ทุกวัน
เริ่มทะเลาะกับภรรยาเรื่องชิวิต ที่มันดูไม่มีอนาคต ทำงานไปวันๆ การทำงานก็เริ่ม ผิดพลาด ผลิตงาน เสียหาย
มีแต่คนบอกว่าผมเป็นคน บ้า คิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน มีแต่ทฤษฎี แต่ปฏิบัติไม่ได้
ผิดพลาดในเรื่องงาน จนถูกเจ้านายตำหนิ หลายครั้ง กลับบ้าน ก็ เมา
ไม่เคยมีความสุข จนแฟน ก็คิดถึงลูก เพราะเอาลูกมาฝากแม่ยาย
เลี้ยงที่ต่างจังหวัด ผมจึงตัดสินใจ เลิกทุกอย่าง เหล้า เบียร์ แล้วบังคับให้เมียย้ายมาทำงานที่ต่างหวัดที่บ้านเมีย แล้วผม ก็มาหางานใหม่
เพราะคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว
โดยบนกับเทพองค์หนึ่งที่ดังทางใต้แบบลองของ ผมก็ได้ทำงาน ที่ใหม่ ทำงาน ได้ 20 วัน ระหว่างไปทำงาน ผมเกิดอุบัติเหตุถุกมอเตอร์ไซค์ชน อย่างแรง
แต่ร่างกายก็ไม่เป็นไรมาก แต่สภาพจิตใจผม แย่ถึงขนาดไม่สามารถขี่มอไซต์ไปทำงานได้จึงไปขอลาออก และก็หางานอยู่บ้านเมีย
ตามใจเมีย ทุกอย่างเพราะคิดแต่ว่าจะรักษาครอบครัวไว้เพราะไม่อยากให้ลูกผมต้องเป็นเด็กขาดความอบอุ่นแค่นั้นเอง
ตอนว่างผมก็เปิด เคเบิ้ลทีวีดู จนวันหนึ่ง ก็เปิด เจอช่อง หนึ่ง คือ DMC tv ผมเห็นหลวงพ่อธัมมชโย พูดเรื่องกรรม
ในใจผม ก็คิดแต่ว่า พระ***นี้ ยังอยู่อีกเหรอนี่สร้างภาพได้เก่งจริงนั่งเทศน์ดำแว่นดำอยู่ได้ ก็เลยดูสักหน่อยเพราะคิดว่า
มันต้องมีอะไร ที่โกหกกันมั่งแหละเหมือนพระองค์อื่นๆ ที่ชอบสร้างนู่นสร้างนี่หาเงิน แล้วท่านหลวงพ่อธัมมชโย
พูดเรื่องกรรมที่มีประเด็นว่า ที่ชาตินี้มีลูกก็ไม่ได้เลี้ยงเพราะเคยหนีออกจากบ้านทำเหมือนว่า มีพ่อแม่แล้วไม่ให้ความสำคัญ
ผมไม่เชื่อเลย เพระาเคยได้ยินมาว่า ต้องไปพรากลูกพรากเต้าคนอื่น ถึงจะได้ รับผลแบบนี้ ผม ปิด TV เลย และจำไว้พิสูจน์
ภรรยาผมมีพี่สาว คนหนึ่งชื่อเมย์ที่มีปัญหาทะเลาะ กับสามี จนต้องแยกบ้านกันอยู่ มีลูก 2 คน
เธอต้องการจะเลิกกับสามีเพราะสามีเธอติดหนี้พนันเป็นล้านๆ แต่สามีเธอเอาลูกไปอยู่ด้วย
เธอก็ก็บ่นให้ผมฟังว่าเธอไปทำกรรมอะไรมาจึงเป็นเช่นนั้นนี้ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร จนผมก็เลยลองถามแม่ยายผมดูว่า พี่เมย์เคยหนีออกจากบ้าน
ไหมครับ แม่ยายตอบผมว่า ไอ้เมย์มันเคยหนีออกจากบ้านไปอยู่กับผัวบ้าพนันมันนั่นแหละ
ผมอึ้ง และงงมาก คิดแต่ว่า******นี้พูดถูกได้ไง
ผมชักเริ่มสนใจว่า หลวงพ่อธัมมชโยนี้ เป็นใครมาจากไหนจะทำอะไร ที่วัดธรรมกาย ผมเริ่มหาข้อมูล มากขึ้นและดู DMC จนเข้าใจ
และก็เริ่มดูปฏิบัติวิชชาธรรมกาย กับหลวงพ่อธัมมชโย ในรายการ สิ่งที่ผมเห็น มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคิด คนมาจากไหนตั้งมากมายมานั่งสมาธิ
กับหลวงพ่อธัมมชโย ธรรมกายมีจริงเหรอ หลวงพ่อธัมมชโยไม่ใช่พระในแบบที่ผมเคยเห็น และคิดมาตลอดเวลา
ท่านดูสดไสอิ่มเอิบ อบอุ่น ไปทุก คำพุด ผมดู รายการที่หลวงพ่อธัมมชโยสอนนั่งสมาธิจนจบ ผมคิดถึงคำพูดของแม่ ที่ให้ไปวัดธรรมกาย
ในสมองผมคิดแต่ว่าถ้าสิ่งที่หลวงพ่อธัมมชโยทำและสอน อยู่มันถูกแล้วกูไปทำอะไรมาตั้ง 7 ปี วะเนี่ย ผมรุ้จักวัดธรรมกาย เมื่อปี2543
จนปีนี้2550 ผมรู้สึกเสียดายเวลาและโอกาส และพอตกก็กลางคืน ผมเลยลอง นั่งแบบที่หลวงพ่อสอน คือให้ตั้งดวงแก้ว
ไว้ที่ศูนยกลางกาย เหนือสะเดือขึ้นมา 2 นิ้ว แล้วภาวนาสัมมา อรหัง ผมนั่งไปได้แป็บเดียว เกิดความตื้นตันใจ แบบประหลาดมาก
น้ำตาผมไหลอาบแก้ม จนนองหน้า ทั้งที่ผมไม่ได้ เศร้าเสียใจเลย จิตใจผม นิ่ง ร่างกายผม สั่น เบาๆ ผมรู้สึกเหมือนว่า การทำเช่นนี้
เป็นสิ่งที่อะไรสักอย่างที่มันอยู่ในร่างกายมันรอ มานานแล้ว ให้ผมทำ และรู้ว่ามันใช่และได้ผลแน่ ๆ
ผมตื่นขึ้นมาอีกวัน ด้วยความรู้สึกผิดที่มองหลวงพ่อธัมมชโย ผิด ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ผมจึงขอขมา ต่อหลวงพ่อธัมมชโย
ตลอดจนกรรมชั่วอันใดที่ผมได้กระทำ พูดรู้สึก นึกคิด ต่อ หลวงพ่อธัมมชโย ผมขอให้หลวงพ่อ อโหสิกรรมให้ผมด้วย
ผมขอขมาครับ
#2
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 09:53 AM
#3
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 10:08 AM
นี่ซิลูกผู้ชายตัวจริง
นับแต่วันนี้จนถึงวันหน้า ขอให้ธรรมะของ จขกท. ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป
#4
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 10:36 AM
#5
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 11:30 AM
#6
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 11:39 AM
#7
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 11:44 AM
#8
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 12:20 PM
ขอกราบอนุโมทนาบุญ กับ ท่าน นะครับ ...
ผม ก็ขอพูดสั้น เหมือนกับลูกๆ หลวงพ่อทุกคน ที่ได้มาพบหลวงพ่อ ว่า ...
ชี วิ ต ผ ม นั้ น ถ ว า ยใ ห้ ห ล ว ง พ่ อ ไ ป แ ล้ ว ค รั บ ^^~*
สาธุ ...
เ มื่ อ เ ร า ส ว่ า ง * * * โ ล ก * * * ก็ ส ว่ า ง ด้ ว ย ^^~*
ส า ธุ . . . ค รั บ ^^~*
#9
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 12:41 PM
#10
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 12:52 PM
#11
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 01:00 PM
นี่ซิลูกผู้ชายตัวจริง
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#12
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 02:17 PM
ที่ได้ค้นพบความจริง อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อเคยกล่าวกับคนที่ขอขมาท่านว่า
ท่านไม่เคยถือโทษโกรธลูกเลย
ยังไงถ้ามีโอกาส ก็อย่าลืมบวชบูชาธรรมท่านบ้างนะคะ สาธุ
#13
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 02:51 PM
#14
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 03:03 PM
[color="#9932cc"]มีคนอีกจำนวนมาก ประสบความสำเร็จในชีวิตในระดับปลานกลางเท่านั้น เพราะไม่กล้าเปลี่ยนใจ กลัวว่าการเปลี่ยนใจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ที่ทำให้ชีวิตต้องประสบความสำเร็จลดลง...
มีคนจำนวนปานกลาง กล้าเปลี่ยนแปลง แต่เปลี่ยนบ่อย จนยากที่จะทำความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันให้เกิดขึ้น...
มีคนจำนวนน้อย เปิดโอกาสให้ตัวเองรับฟังข้อมูลทุกด้าน ศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องนั้นอย่างถ่องแท้ แล้วค่อยเลือกที่จะเปลี่ยนแปลง เขาจึงเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากขึ้นกว่าเดิม...
อย่างน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ แต่ความเป็นญาติทางสายเลือด ความเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมา หรือความเป็นบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรักก็ตาม จะยังคงมีความรู้สึกดีๆต่อกัน มีความจริงใจและหยิบยื่นสิ่งที่ดีๆให้แก่กัน
จะดีกว่ามั๊ย..? หากโลกนี้ยังมีความเชื่อที่แตกต่าง แต่ทุกคนก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข..สมานฉันท์ และมีความเอื้ออาทรต่อกันตลอดไป
#15
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 03:04 PM
โชคดีมหาศาลแล้วที่คุณยังไม่หมดลมหายใจ
สู้ต่อไปครับ ทาน ศีล ภาวนา ทำทานได้ที่ตัวเรา ถือศีลได้ที่ตัวเรา ภาวนาก็ได้ที่ตัวเรา
เอาให้ครบเถอะครับอยู่ที่ตัวเรา ทำได้ถ้าได้ทำ ทำไม่ได้ถ้าไม่ได้ทำ(คนตายก็ทำไม่ได้ เหอๆ)
#16
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 03:37 PM
#17
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 03:38 PM
#18
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 04:08 PM
หลวงพ่อเคยสอนว่าคนที่ทำผิดแล้วรู้ตัวว่าผิด และพร้อมทีจะแก้ไขตัวเอง เป็นสิ่งประเสริฐมากค่ะ
อย่าลืมไปวัด แล้วอธิษฐานกราบขอขมาจากท่านนะคะ โดยด่วนเลยค่ะ และเร่งสร้างบุญบารมี ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาทุกวัน ตามที่หลวงพ่อสอนนะคะ เร่งทำบุญทุกๆบุญอย่าให้ขาด แล้วอธิษฐานจิตว่า
"ด้วยบุญกุศลที่ตั้งใจกระทำมาทุกๆบุญ ให้ช่วยตัดรอนวิบากกรรมที่เคยมีอกุศลจิตเข้าครอบงำให้คิด พูด ทำ ไม่ดีต่อหลวงพ่อ และมหาปชนียาจารย์ ให้มลายหายสูญไปให้หมด และจะตั้งใจทำความดี ประพฤติปฏิบัติธรรมตามที่หลวงพ่อสอนตลอดไป"
อย่าลืมอธิษฐานบ่อยๆนะคะ เพราะหลวงพ่อเคยพูดว่า หลวงพ่ออโหสิให้กับทุกคนที่เคยคิด พูด ทำ ไม่ดีกับหลวงพ่อ แต่ถึงอย่างไรวิบากกรรมก็ยังมีอยู่ค่ะ ต้องอธิษฐานจิตให้บุญใหม่มาช่วยตัดรอนวิบากกรรมนี้บ่อยๆค่ะ จะช่วยให้ หนักเป็นเบา เบาเป็นหาย ได้นะคะ
#19
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 04:38 PM
ขอให้กำลังใจในการสั่งสมคุณงามความดึ บุญ บารมีให้ยิ่งขึ้นต่อไปนะครับ
สู้โว๊ย
#20
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 06:00 PM
" สิ่งผิดพลาดในอดีต ลืมไปให้หมด แล้วอย่าไปกระทำอีกแม้แต่คิดก็อย่าไปคิดถึง
สิ่งใดที่เป็นความดี แม้เพียงเล็กน้อย ก็รีบขวนขวายทำให้เป็นนิสัยติดแน่นไปถึงกลางกาย
เร่งสร้างบุญบารมี ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปตามติด ติดตามหมู่คณะและหลวงพ่อ ไปจนถึงที่สุดแห่งธรรม "
เจ้าของกระทู้ เป็นผู้มีบุญลาภนะครับ ที่กลับลำได้ทันตอนที่ยังมีลมหายใจ และที่สำคัญหลวงพ่อ ของเราก็ยังแข็งแรงอยู่
ขออนุโมทนาในจิตที่เป็นกุศลครับ
ขอต้อนรับกลับบ้านครับ
ไฟล์แนบ
#21
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 06:07 PM
จนได้มาวัดในช่วงแรก เมื่อปี48 ก็ยังคิดไม่ดีอยู่
แต่พอมาวัดนานๆเข้าและมาเริ่มดู DMC บ่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่ท่านทำมากขึ้น มาถึงตอนนี้ผมเคารพหลวงพ่อ
และมหาปูชนียาจารย์มากที่สุดเลย หมดข้อสงสัย ระแวง อคติทุกชนิด และมาวัดร่วมบุญใหญ่ด้วย
แต่ก็ยังมีปัญหาในการมาวัดบ้างก็คือ คนในครอบครัวของผม ไม่มีใครชอบวัดนี้เลย เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่วัดทำ และเชื่อตามสื่อที่เสนอสิ่งที่ไม่จริงต่างๆ ผมก็กำลังพยายามหาโอกาสอธิบายความจริงอยู่ครับ
ผมก็ต้องขออโหสิกรรมกับกรรมหนักของผมด้วยเช่นกันครับ และจะตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อท่านครับ
#22
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 06:11 PM
รีบทำหน้าที่กัลยาณมิตรด้วยความเร็วสูงเลยนะคะ
และทำให้คนที่เข้าใจผิด เข้าใจได้ถูกต้องโดยเร็วพลัน
จะได้ตัดวิบากกรรมได้เร็วยิ่งขึ้นนะคะ
รักหลวงพ่อที่สุดเลย
MY PAPA LOVE ^o^
#23
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 06:28 PM
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#24
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 07:33 PM
#25
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 07:46 PM
#26
โพสต์เมื่อ 07 November 2007 - 11:06 PM
กลับตัวกลับใจ หลวงพี่ท่านให้อภัยเสมอครับ
สาธุ ๆ ๆ ๆ
#27
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 06:43 AM
และหมั่นสั่งสมบุญให้บุญคุ้มครองรักษานะคะ
#28
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 07:32 AM
#29
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 09:56 AM
สำหรับ ทุกท่านที่ตอบมา ตอนนี้ผมเลิกลังเลที่จะทำความดีกับ
หลวงพ่อแล้วครับ ผมมีกำลังใจมากขึ้นจนอธิบายไม่ได้เลย
#30
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 11:36 AM