เห็นด้วยหรือไม่กับการเข้าไปตอบกระทู้ที่กล่าวหาวัด
#1
โพสต์เมื่อ 04 March 2008 - 11:10 PM
#2
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 12:06 AM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#3
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 08:35 AM
#4
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 09:31 AM
#5
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 09:42 AM
ไม่สู้ ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป แบบที่หลวงพ่อท่านว่าไว้ดีกว่าค่ะ ซักวัน ทองก็ล้นหลังค่ะ ไม่เชื่อคอยดูซิ ตอนนี้เกือบ ๆ แล้วล่ะ
เรื่องของวัด เรื่องของความศรัทธาที่หมู่คณะมีกับวัด เรื่องความเชื่อเรื่องบุญ บาป ภพนี้ ภพหน้า ตายแล้วไปไหน เรื่องที่เป็นอจิณไตยทั้งหลาย เกินกว่าปุถุชนทั่วไปจะรับได้จริง ๆ (ปุถุ แปลว่า "หนา" ปุถุชน ก็แปลว่าคนกิเลสหนาค่ะ จำมาจากพระอาจารย์อารักษ์) ถ้าบุญเขาไม่เปิดจริง ๆ ก็ยากที่จะเข้าใจเราค่ะ เพราะครั้งหนึ่งอยู่กับยายก็เคยเป็นปุถุชนเหมือนกันค่ะ
#6
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 10:31 AM
ซักวัน ซักวันที่เค้าจะรู้ความจริง .........
100กะรัต
#7
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 11:44 AM
#8
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 12:30 PM
บางคนไม่ฟังอะไรทั้งนั้น อคติอย่างเดียว ดังเช่น พระเทวทัต อย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านตักเตือนเพียงแค่สองสามครั้ง ครั้นเห็นว่า ไม่ฟังเลย พระองค์ก็จะวางอุเบกขา
บางคน เช่น องคุลีมาลฆ่าคนเกือบพันศพ แต่พระพุทธเจ้าตักเตือนแล้วเชื่อฟัง พระพุทธเจ้าก็ทรงชี้แจงแนวคิดที่ถูกต้องให้ แต่ก็ตักเตือนส่วนตัว ไม่ใช่ไปคอยอธิบายในที่สาธารณะ
อ้าวแล้วในที่สาธารณะล่ะ จะทำอย่างไร เพราะมีทั้งคนแบบพระเทวทัต และมีทั้งคนแบบอคุลีมาล พระพุทธเจ้าท่านใช้นิ่งเงียบครับ ดังเช่น เหตุการณ์ตอนนางจินจามาญวิกาใส่ร้ายพระพุทธองค์็
#9
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 12:55 PM
ผมเคยโพสรูปกิจกรรมของวัดซึ่งเป็นของจริงสวยงามพร้อมเพรียงไปลง กลับลบออกทุกรูปเลย
แต่คำพูดกล่าวหาจริงบ้างไม่จริงบ้าง กลับคงอยู่อย่างนั้น
อย่าไปเสียเวลาเลยครับ
ถ้าคนเขาสนใจจริง เมื่อเซิชคันหาคำจะเจอคำว่า dmc ให้เขามาดูด้วยตนเองดีกว่า
ใจใสๆ ดีกว่าครับ
อ้อ ขอเตือนใครที่อาจเผลอสติหงุดหงิดใจ เข้าไปแก้ข้อกล่าวหาด้วยใจที่ยังไม่ใสเท่าไร อย่าเข้าไปเลย จะดูแล้วเสียชื่อเสียงมาถึงวัด และเพื่อนกัลยาณมิตรด้วยครับ
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
#10
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 01:47 PM
เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยผมไม่ขอตอบ แต่ผมขอบอกไว้อย่างนี้แล้วกันนะครับ หากคิดว่าตัวท่านเองมีสติปัญญาในการแก้ต่างและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่งรู้จักพลิกแผลงสถานะการณ์เป็นแฟนพันธ์พระรัตนตรัยอย่างแท้จริงๆแล้วล่ะก็ลุยเลยครับ เอาให้เขาจนมุมหมดปัญญาโต้กลับ แต่หากสำรวจดูแล้วเห็นว่าตัวท่านเองยังไม่เกิดปัญญายังไม่ใช่แฟนพันธ์แท้พระรัตนตรัยแล้วล่ะก็ วางอุเบกขาเถอะครับ เพราะหากเราไม่ดูตัวเองแล้วไปแก้ต่างท้ายสุดโดนเขาต้อนจนมุม เขาจะเย้ยหยันเราเอาได้ ที่สำคัญบุคคลเหล่านี้เขาต้องการให้เราจนมุมทนไม่ได้จริงๆสุดท้ายจะเราทนไม่ได้ตามที่เขาตั้งใจระเบิดอารมณ์ออกมา เขาจะซำเติมเราได้ ที่สำคัญเขาจะลามจนถึงขั้นชื่อเสียเลยครับ
ขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ยังแบ่งมนุษย์ไว้เป็น4ประเภท ซึ่งได้แก่ บัวพ้นนํา บัวเหนือนำ บัวใต้นำ บัวในตรม ซึ่งอย่างสุดท้ายนี้พระองค์จะไม่เสวนาธรรมด้วยเลยเป้นอันขาดครับ ดั่งที่มีกล่าวไว้ในมงคลชีวิตว่า อเสวนาจะพาลานัง หรือไม่เสวนากับคนพาลซึ่งจะทำให้เราไปสู่ความชิบ..ได้นั่นเองครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#11
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 02:10 PM
ทางที่จะปลอดภัยจากรักก็ฉันนั้น มีอยู่ทางเดียวคืออย่ารัก
#12
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 02:26 PM
- หากจะเข้าไปในเขตแดนเขา ต้องเป็นผู้มีเมตตาจิตสูง ประหนึ่งพระคุณานันทะเถระ โต้ตอบปัญหาแก่ศาสนิกอื่นๆที่ได้ว่าร้าย จาบจ้วงพระบรมศาสดา ด้วยปัญญาและปฏิภาณ
- ตอบผู้ที่ใจที่ปิดกั้น ก็เหมือนพูดให้คนหูหนวกฟัง เผลอไปมีอารมณ์เดี๋ยวจะเข้าข่าย"พูดไปสองไพเบี้ย เสียหนึ่งตำลึงทอง"
#13
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 02:54 PM
ตั้งแต่ อนูปวาโท... เป็นต้นไป
ก็จะมีหลักในการทำหน้าที่กัลยาณมิตรที่ถูกต้อง
#14
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 04:41 PM
#15
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 05:17 PM
๑)พวกที่เข้าใจผิดเพราะสื่อ (ต้องใช้ยา=ข้อมูลจริงที่ดี, สื่อธรรมะ,พามาวัดให้เห็นกับตาตนเองว่าดีจริง เช่น พระองคุลีมาล,พระเจ้าอาชาตศัตรูซึ่งหมอชีวกพาเข้าวัดไปกราบพระพุทธเจ้า)
๒)พวกที่รู้ๆอยู่ว่าวัดเราดี แต่เป็นฝ่ายตรงข้ามฝ่ายเสียผลประโยชน์ เช่น พระเทวทัต,สัญชัยเวลัฏฐบุตรปริพาชก(ครูเก่าของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ)
๓)พวกที่ไม่เข้าใจผิดแต่ก็ไม่รู้ว่าวัดเราดี เช่น คนอยู่เมืองนอก (ยา=dmc)
๔)พวกที่รู้ว่าวัดเราดีมากๆ แต่ยังติดตระหนี่ไม่กล้าเข้าวัดเราเต็มที่ยังกลัวๆกล้าๆอยู่เพราะกลัวใจตัวเองว่าจะเลื่อมใสมากขึ้นไปเรื่อยๆเหมือนญาติมิตรของตนแล้วก็จะห้ามใจตนเองไม่ได้กลัวว่าตนเองจะอยากทำบุญเยอะๆแม้ไม่มีใครบังคับก็ตาม ทั้งนี้เพราะตนเองยังอยากเก็บเงินไว้ให้ลูกหลานมากๆ ซึ่งแม้แต่dmcก็ดูบ้างไม่ดูบ้าง เพื่อเป็นการตัดศรัทธาตั้งแต่ต้นลม (ยา=ค่อยๆปลอบโยน)
๕)พวกที่ขัดแย้งกันทางด้านทิฐิความคิด เช่น ประเด็นนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา (ยา=ให้เขานั่งสมาธิพิสูจน์ด้วยตนเอง แค่เขาได้ดวงปฐมมรรคจริงๆติดอยู่ที่ท้องตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืนแกะก็ไม่ออกโดยที่เขาไม่ได้จินตนาการไปเอง แล้วเขาก็จะเริ่มตระหนักเองว่าชีวิตจริงในโลกนี้นั้นมันมีอะไรๆที่มากกว่า"ความคิด"ด้วยหรือ แล้วเขาก็จะเริ่มรู้จัก"อัตตา"ในระดับเริ่มต้น กล่าวคือให้ขยายperceptibilityการรับรู้และกรอบอ้างอิงframe of referenceของเขา เพราะคนส่วนใหญ่่ในโลกนี้ตลอดชีวิตรู้จักแต่จินตมยปัญญา ไม่รู้จักภาวนามยปัญญาเลย กล่าวคือรู้จักแต่สัมผัสทางหูตาจมูกลิ้นกาย,ใจหยาบ แต่ทว่าใจละเอียดนั้นไม่เคยสัมผัสเลย จึงไม่เชื่อเรื่องตัวตนที่แท้จริง ถ้าจะว่าไปแล้วนะ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของคนเราทุกวันนี้ ทางการแพทย์ก็รู้แล้วว่า จุดตรงไหนในสมองควบคุมอารมณ์อะไร เช่น คนเป็นโรคซึมเศร้า หมอก็จะฝังเม็ดไฟฟ้าอ่อนๆที่จุดhappyในสมอง แล้วก็ถือremote control ปรับความแรงของไฟฟ้าแปรผันตามdegreeของความซึมเศร้า แสดงว่าอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของคนเราในเซลสมองนั้นเป็นแค่ผัสสะสัมผัสทางกายเท่านั้น ส่วนผัสสะสัมผัสทางใจจริงๆนั้น ต้องมาจากสมาธิภายในเท่านั้น เพราะเซลสมองประกอบด้วยดินน้ำลมไฟไขมันโปรตีน ย่อมเสื่อมสลายเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง แต่สมาธิภายในเช่นดวงต่างๆ๖ดวง๑๘กายดวงบุญดวงบาปดวงจิตที่บันทึกเรื่องราวทุกภพชาตินั้นเป็นอัตตา(ระดับแรกเริ่ม,กลาง)เป็นตัวตนที่แท้จริงไม่เสื่อมสลายแม้ข้ามภพข้ามชาติตราบเข้าสู่พระนิพพาน(อัตตาระดับสูงสุด))
ถ้าท่านใดมีตัวอย่างประเภทอื่นๆอีกก็ช่วยกันระดมสมองในกระทู้แนะนำนี้ด้วยครับ เพื่อประโยชน์ในการเผยแผ่ขยายวิชชาธรรมกายไปทั่วโลก กราบอนุโมทนาบุญครับ
#16
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 05:26 PM
กำลังของบัณฑิต คือ จ้องจับดี และนำมาพัฒนาตนเอง (copy&development)
ส่วนกำลังของคนพาลนั้นไทร คือ จ้องจับผิดเป็นกำลัง ใจไม่ใสป่าวๆ ฟรีๆ นะจะบอกให้๐๐
#17
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 06:55 PM
ตอนที่เราตอบกระทู้ ใจเราอยู่ศูนย์กลางกายหรือเปล่า
ถ้าไม่ ก็อย่าตอบเลยค่ะ (และอย่าอ่านด้วย)
เพราะ โทสะมันจะเกิด คำพูด หรือตัวอักษรของเราก็จะแข็งๆ ไม่นิ่มนวล
เอาว่าถ้าตอบจากใจนิ่งๆ ได้ก็ตอบ แต่ถ้าใจร้อนๆ วางอุเบกขาดีกว่าค่า
#18
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 08:11 PM
#19
โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 09:24 PM
#20
โพสต์เมื่อ 06 March 2008 - 08:23 AM
อย่าไปยุ่งเลยครับ ขาดทุนเปล่าๆ แต่บางเวปก็โอเค เขาอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อน
ถ้าประเมินว่า ตัวเองพอมีภูมิรู้ตอบหรือแก้ไขได้ ก็คงพอเข้าไปอธิบายได้ครับ
#21
โพสต์เมื่อ 06 March 2008 - 01:50 PM
#22
โพสต์เมื่อ 06 March 2008 - 10:01 PM
เขาก็มาเพื่อการนั้น
มาเพื่อจะโรมรัน
ให้ตัวเขาไปเข้าไฟ
มาชวนให้คนดี
อย่าได้มีกำลังใจ
เป็นเพื่อนที่เหมือนไข้
รุมกันให้ใจเผาเผา
ถ้าเห็นว่าเราดี
ก็มีใจอย่างเราเรา
ย้อนถามว่าก่อนเก่า
สิ่งที่เราเคยสงสัย
ทำไมเราเห็นดี
ว่าสิ่งนี้ดีอย่างไร
เกลียดชอบหรือขอบใจ
ก็เป็นได้เพราะบุญญา
แก้ต่างเมื่อสร้างกับ
ดักให้เราเข้าไปหา
หมกไหม้ในปัญญา
เสียเวลากับคนพาล
#23
โพสต์เมื่อ 06 March 2008 - 10:43 PM
ถ้าเขายังไม่เข้าใจอีกเราก็ต้อง วางอุเบกขา...
.....บุกเบิกไปให้ก้าวไกล ถึงคราวพวกเราเติบใหญ่ ชาติไทยได้พัฒนา....
#24
โพสต์เมื่อ 07 March 2008 - 01:50 AM
#25
โพสต์เมื่อ 07 March 2008 - 12:46 PM
อย่างไร ก็ต้องโดนด่าซ้ำไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ
หนักขึ้น หนักขึ้น และก็หนักขึ้น เพราะเขาก็
ต้องการเอาชนะ ไม่มีทางที่เขาจะยอมจำนน
ไม่ว่าเหตุผลของท่านจะดีขนาดไหนก็ตาม
ไม่คุ้มมมมม
อย่าเข้าไปอ่านเลยค่ะ ยิ่งชี้แจงก็เหมือนยิ่งยุเย้าเข้าไปอีกค่ะ
ขอนะคะ นิ่งๆเฉยๆไป บรรยากาศจะเบาบางลง ไม่มีใครต่อก็ไม่ใครยิ่งเอาชนะ
ขอบพระคุณค่ะ
#26
โพสต์เมื่อ 07 March 2008 - 12:59 PM
จะได้มีกำลังใจแก้ต่างให้ตามสติปัญญา
#27
โพสต์เมื่อ 07 March 2008 - 10:58 PM
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=6367
กระทู้โดย นักเรียนอนุบาล mos
อาจมีข้อมูลทีทำให้ ตัดสินใจ ได้เหมาะสมกับ ความเป็นตัวคุณ ครับ
ป.ล. ๑
ถ้าใจยังไม่เจนโลก ใจยังไม่เจนธรรมนัก
วันนี้ ก็อาจยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม สำหรับคุณ
ป.ล. ๒
อนุโมทนา คำแนะนำที่ดี เป็นประโยชน์ของ ทุก ท่านด้วยครับพี่น้อง
ไฟล์แนบ
#28
โพสต์เมื่อ 08 March 2008 - 07:57 PM
#29
โพสต์เมื่อ 09 March 2008 - 12:19 AM
ผมคือ ล็อคอิน ลูกพระธัมฯ หลานคุณยาย แห่งห้องศาสนา เวบพันทิพ
แต่ตอนนี้โดนยึดอมยิ้มไปแล้ว จากนั้นก็ใช้ชื่อ อื่นมาอีกสามสี่ชื่อ ล่าสุดก็โดนยึดไปอีกแล้ว นี่ก็กะลังสมัครใหม่อยู่
หุหุ
ก็ช่วยๆ กันเข้าไปห้องศาสนาบ้างก็ดีนะครับ เพราะพวกเราน้อยสู้เค้าไม่ค่อยได้เลย พวกแก๊งค์เถรใบลานเปล่ามันใช้วิธี เกณฑ์พวกมารุมด่า ถ้าเข้าไปช่วยๆ กันหน่อยก็ดี ขนาดที่ 1 WORLD-PEC ยังเข้าไปเล่นเวบนั้นเรย ตอนนี้กะลังโดนรุมอยู่เรย เหอๆ
อ่อ..ที่ขณะนี้เราเสียเปรียบ ไม่ใช่เพราะเถียงสู้ไม่ได้นะ แต่เพราะเสียงเชียร์น้อยกว่าพวกนั้น แต่พวกนั้นก็ไม่ได้มีเยอะอะไรนักหรอก ขอมาเพิ่มอีกซักสิบยี่สิบคนเราก็เยอะกว่าเค้าแระ
ไฟล์แนบ
#30
โพสต์เมื่อ 09 March 2008 - 10:40 PM
ก็เรื่อง มาชวนเพื่อน ๆ ซักสิบยี่สิบคน ไปวิวาทะในกระดานสนทนาธรรมอื่น ๆ
ไม่น่าสนับสนุนเลยครับ
เพราะ
วัตถุประสงค์หรือคุณประโยชน์ของการสนทนาธรรม นั้น
ควรเป็นไปเพื่อพัฒนาจิตใจซึ่งกันและกัน ทุกฝ่าย
ไม่ควรตั้งเป้าหมายไปที่ เอาชนะกัน/เบียดเบียนกัน
ด้วยความรอบรู้ในธรรมะ ความเป็นพหูสูตร
หรือเอาชนะกันด้วยเหตุผล / ความคิดเห็นของคนที่ยังไม่หมดกิเลส
หรือ พวกใครมาก เสียงเชียร์เยอะ
หรืออาศัยความรอบรู้ในธรรมะของตน ไปไล่บี้คนที่มีความรอบรู้ในธรรมะน้อยกว่าตนเอง
กุศลจิต ก็ก่อให้เกิดอกุศลจิต ได้นะครับ
แรก ๆ ก็คุยกันดี แต่พอความรู้ ความเชื่อ ความคิดเห็นต่างกันมากเข้า
ก็กลายเป็นปฏิฆะ เริ่มขัดเคืองใจ กระทั่งสนทนากันด้วยจิตโทสะ อยากเอาชนะกัน
ยิ่งชวนแบ่งพวกแบ่งฝ่ายกัน หรือใช้ความสามัคคีไปในทางไม่สร้างสรรค์
ยิ่งสนทนา ก็ยิ่งขยายความแตกต่างให้แตกแยก
เราต่างก็เป็นคนไทย
เป็นพุทธศาสนิกชน ที่มีความเลื่อมใส เคารพในพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยกันทั้งนั้น
จะมาทะเลาะกันทำไมครับ
อีกอย่างกระดานสนทนา เป็นของสาธารณะ
คุณมาโพสต์ที่นี่ ที่โน่นเขาก็รู้
แม้คุณเจตนาดี แต่อย่าดูเบาผลกระทบที่อาจขยายกว้าง เกินกว่าที่คุณหรือใคร จะควบคุมได้นะครับ
เพราะผลร้ายจะตกมาที่ส่วนรวม ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ในการเข้าไปวิวาทะกรรมด้วย
เรื่องการแนะนำตัว ว่าใครเป็นใครในที่นี่ และที่โน่น รวมถึงแชมป์ WP ไม่พูดได้ก็ดี
เพราะความเป็นส่วนตัว เป็นเรื่องสำคัญสำหรับหลาย ๆ คน
ถ้าอยากรู้จักใคร ก็ติดต่อทางกล่องข้อความ / หลังไมค์ สิครับ
ผมเข้าใจว่า ความคิดเห็น ของ นรอ.กลุ่มตะวันแก้ว
มาจากกุศลจิต และ เจตนาดี เป็นคนหนุ่มไฟแรง ในการเป็นกัลยาณมิตรให้มหาชน
แต่ที่มองต่างมุม ความคิดเห็น ของคุณ มานี้
ก็เพื่ออยากให้คุณรอบคอบ ในการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ในที่สาธารณะ
เพราะภาพลักษณ์ส่วนบุคคล มีผลต่อภาพลักษณ์ส่วนรวมเสมอ
ทั้งในทางดีและทางร้าย
ขึ้นอยู่กับว่า คุณสนทนากับใคร
ถ้า สนทนากับคนที่ไม่ยอมเข้าใจถูก และเลือกเข้าใจอย่างบิดเบี้ยว
แม้คุณ จะเจตนา ปรารถนาดี จริงใจ มากแค่ไหน ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง อย่างไร
ก็ไม่ง่าย ที่จะเปลี่ยนความเข้าใจผิด มาเป็นความเข้าใจถูก อย่างที่คณคาดหวัง
อย่างไรก็ขอ อนุโมทนา ในกุศลกรรมและบุญกิริยา ที่นรอ.กลุ่มตะวันแก้ว ทำอยู่เนือง ๆ
รวมถึงกุศลเจตนา ในการเป็นกัลยาณมิตร เผยแผ่ธรรมะในที่สาธารณะ ด้วยครับ สาธุ