ศาสนาพุทธห้ามฆ่าแต่ยังกินเนื้อ
#1
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 10:46 PM
น้าจี้
#2
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 11:09 PM
[๓๘๔] ครั้งนั้น พระเทวทัตพร้อมกับบริษัทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นผู้มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส ความไม่สั่งสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย พระพุทธเจ้าข้า วัตถุ ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย ความเป็นผู้สันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส ความไม่สั่งสม การปรารภ ความเพียร โดยอเนกปริยาย ข้าพระพุทธเจ้า ขอประทานพระวโรกาส ภิกษุทั้งหลายพึงถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ตลอดชีวิต รูปใดอาศัยบ้านอยู่ รูปนั้นพึงต้องโทษ ภิกษุทั้งหลายพึงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดยินดีกิจนิมนต์ รูปนั้นพึงต้องโทษ ภิกษุทั้งหลายพึงถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดยินดีคหบดีจีวร รูปนั้นพึงต้องโทษ ภิกษุทั้งหลายพึงถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดเข้าอาศัยที่มุงที่บัง รูปนั้นพึงต้องโทษ ภิกษุทั้งหลายไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดฉันปลาและเนื้อ รูปนั้นพึงต้องโทษ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า อย่าเลย เทวทัต ภิกษุใดปรารถนา ภิกษุนั้นจงถือการอยู่ป่าเป็นวัตร รูปใดปรารถนา จงอยู่ในบ้าน รูปใดปรารถนา จงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร รูปใดปรารถนา จงยินดีกิจนิมนต์ รูปใดปรารถนา จง ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร รูปใดปรารถนา จงยินดีคหบดีจีวร เราอนุญาตโคนไม้เป็น เสนาสนะ ๘ เดือน เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ
ครั้งนั้น พระเทวทัตคิดว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาต วัตถุ ๕ ประการนี้ จึงร่าเริงดีใจพร้อมกับบริษัทลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ แล้วกลับไป ฯ
โฆษณาวัตถุ ๕ ประการ
[๓๘๕] ต่อมา พระเทวทัตพร้อมกับบริษัทเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์แล้วประกาศให้ประชาชนเข้าใจวัตถุ ๕ ประการว่า ท่านทั้งหลาย พวกอาตมาเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมทูลขอวัตถุ ๕ ประการว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นผู้มักน้อย ... การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย พระพุทธเจ้าข้า วัตถุ ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย ... การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาสภิกษุทั้งหลายพึงถืออยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดอาศัยบ้านอยู่ รูปนั้นพึงต้องโทษ ... ภิกษุทั้งหลาย ไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดฉันปลาและเนื้อ รูปนั้นพึงต้องโทษ วัตถุ ๕ ประการนี้ พระสมณโคดมไม่ทรงอนุญาต แต่พวกอาตมาสมาทานประพฤติตาม วัตถุ ๕ ประการนี้ ฯ
[๓๘๖] บรรดาประชาชนเหล่านั้น พวกที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ไร้ปัญญา กล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เป็นผู้กำจัด มีความประพฤติขัดเกลา ส่วนพระสมณโคดมประพฤติมักมาก ย่อมคิดเพื่อความมักมาก
ส่วนพวกที่มีศรัทธา เลื่อมใส เป็นผู้ฉลาด มีปัญญา ย่อมเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระเทวทัตจึงได้พยายามเพื่อทำลายสงฆ์ เพื่อทำลายจักรเล่า ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระเทวทัตจึงได้พยายามเพื่อทำลายสงฆ์ เพื่อทำลายจักร แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาค ... ทรงสอบถามว่า ดูกรเทวทัต ข่าวว่า เธอพยายามเพื่อทำลายสงฆ์ เพื่อทำลายจักร จริงหรือ
พระเทวทัตทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อย่าเลย เทวทัต เธออย่าชอบใจการทำลายสงฆ์เพราะการทำลายสงฆ์มีโทษหนักนัก ผู้ใดทำลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันย่อมประสพโทษตั้งกัป ย่อมไหม้ในนรกตลอดกัป ส่วนผู้ใดสมานสงฆ์ผู้แตกกันแล้วให้พร้อมเพรียงกัน ย่อมประสพบุญอันประเสริฐ ย่อมบรรเทิงในสวรรค์ตลอดกัป อย่าเลย เทวทัต เธออย่าชอบใจการทำลายสงฆ์เลย เพราะการทำลายสงฆ์มีโทษหนักนัก ฯ
[๓๘๗] ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า ท่านพระอานนท์นุ่งอันตรวาสก ถือบาตร จีวร เข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ พระเทวทัตได้พบท่านพระอานนท์กำลังเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ จึงเข้าไปหาท่านพระอานนท์ แล้วได้กล่าวว่า ท่านอานนท์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจักทำอุโบสถ จักทำสังฆกรรม แยกจากพระผู้มีพระภาค แยกจากภิกษุสงฆ์ ครั้นท่านพระอานนท์เที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์แล้ว เวลาปัจฉาภัตร กลับจากบิณฑบาตเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วจึงกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า เมื่อเช้านี้ ข้าพระพุทธเจ้านุ่งอันตรวาสก ถือบาตร และจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ พระเทวทัตพบข้าพระพุทธเจ้ากำลังเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ แล้วเข้ามาหาข้าพระพุทธเจ้า ครั้นแล้วกล่าวว่า ท่านอานนท์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจักทำอุโบสถ จักทำสังฆกรรม แยกจากพระผู้มีพระภาค แยกจากภิกษุสงฆ์ วันนี้พระเทวทัตจักทำลายสงฆ์พระพุทธเจ้าข้า
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว ทรงเปล่งอุทานในเวลานั้น ว่าดังนี้:
[๓๘๘] ความดี คนดีทำง่าย ความดี คนชั่วทำยาก ความชั่ว คนชั่วทำง่าย แต่อารยชน ทำความชั่วได้ยาก ฯ
ทุติยภาณวาร จบ
------------
พระเทวทัตหาพรรคพวก
[๓๘๙] ครั้งนั้น ถึงวันอุโบสถ พระเทวทัตลุกจากอาสนะ ประกาศให้ภิกษุทั้งหลายจับสลากว่า ท่านทั้งหลาย พวกเราเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมแล้วทูลขอวัตถุ ๕ ประการว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นผู้มักน้อย ... การปรารภความเพียรโดยอเนกปริยาย วัตถุ ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย ... การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ข้าพระพุทธเจ้า ขอประทานพระวโรกาส ภิกษุทั้งหลายพึงถืออยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใด อาศัยบ้านอยู่ รูปนั้นพึงต้องโทษ ... ภิกษุทั้งหลายไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดพึงฉันปลาและเนื้อ รูปนั้นพึงต้องโทษ วัตถุ ๕ ประการนี้ พระสมณโคดม ไม่ทรงอนุญาต แต่พวกเรานั้นย่อมสมาทาน ประพฤติตามวัตถุ ๕ ประการนี้ วัตถุ ๕ ประการนี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นจงจับสลาก ฯ
[๓๙๐] สมัยนั้น พระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี ประมาณ ๕๐๐ รูป เป็นพระบวชใหม่ และรู้พระธรรมวินัยน้อย พวกเธอจับสลากด้วยเข้าใจว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ลำดับนั้น พระเทวทัตทำลายสงฆ์แล้ว พาภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป หลีกไปทางคยาสีสะประเทศ ฯ
[๓๙๑] ครั้งนั้น พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านพระสารีบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระเทวทัตทำลายสงฆ์แล้ว พาภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป หลีกไปทางคยาสีสะประเทศ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร โมคคัลลานะ พวกเธอจักมีความการุญในภิกษุใหม่เหล่านั้นมิใช่หรือ พวกเธอจงรีบไป ภิกษุเหล่านั้นกำลังจะถึงความย่อยยับ
พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว ลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วเดินทางไปคยาสีสะประเทศ ฯ
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง
[๓๙๒] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งยืนร้องไห้อยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค จึงพระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูกรภิกษุ เธอร้องไห้ทำไม
ภิกษุนั้นกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกของพระผู้มีพระภาค ไปในสำนักพระเทวทัต คงจะชอบใจธรรมของพระเทวทัต
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ข้อที่สารีบุตรโมคคัลลานะ จะพึงชอบใจธรรมของเทวทัต นั่นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส แต่เธอทั้งสองไปเพื่อซ้อมความเข้าใจกะภิกษุ ฯ
พระอัครสาวกพาภิกษุ ๕๐๐ กลับ
[๓๙๓] สมัยนั้น พระเทวทัตอันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อม แล้วนั่งแสดงธรรมอยู่ เธอได้เห็นพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ มาแต่ไกล จึงเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เห็นไหม ธรรมเรากล่าวดีแล้ว พระสารีบุตร โมคคัลลานะอัครสาวกของพระสมณโคดม พากันมาสู่สำนักเรา ต้องชอบใจธรรมของเรา เมื่อพระเทวทัตกล่าวอย่างนี้แล้ว พระโกกาลิกะ ได้กล่าวกะพระเทวทัตว่า ท่านเทวทัต ท่านอย่าไว้วางใจพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ เพราะเธอทั้งสองมีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแก่ความปรารถนาลามก พระเทวทัตกล่าวว่า อย่าเลย คุณ ท่านทั้งสองมาดี เพราะชอบใจธรรมของเรา
ลำดับนั้น ท่านพระเทวทัตนิมนต์ท่านพระสารีบุตรด้วยอาสนะกึ่งหนึ่งว่า มาเถิด ท่านสารีบุตร นิมนต์นั่งบนอาสนะนี้ ท่านพระสารีบุตรห้ามว่า อย่าเลยท่าน แล้วถืออาสนะแห่งหนึ่งนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ก็ถืออาสนะแห่งหนึ่งนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ลำดับนั้น พระเทวทัตแสดงธรรมกถาให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง หลายราตรี แล้วเชื้อเชิญท่านพระสารีบุตรว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุสงฆ์ปราศจากถีนมิทธะแล้ว ธรรมีกถาของภิกษุทั้งหลายจงแจ่มแจ้งกะท่าน เราเมื่อยหลังจักเอน ท่านพระสารีบุตรรับคำ พระเทวทัตแล้ว ลำดับนั้น พระเทวทัตปูผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้น แล้วจำวัตรโดยข้างเบื้องขวา เธอเหน็ดเหนื่อยหมดสติสัมปชัญญะ ครู่เดียวเท่านั้น ก็หลับไป ฯ
[๓๙๔] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรกล่าวสอน พร่ำสอนภิกษุทั้งหลายด้วยธรรมีกถาอันเป็นอนุศาสนีเจือด้วยอาเทสนาปาฏิหาริย์ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ กล่าวสอน พร่ำสอน ภิกษุทั้งหลายด้วยธรรมีกถาอันเป็นอนุศาสนีเจือด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ขณะเมื่อภิกษุเหล่านั้นอันท่านพระสารีบุตรกล่าวสอนอยู่ พร่ำสอนอยู่ด้วยอนุศาสนีเจือด้วยอาเทศนาปาฏิหาริย์ และอันท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวสอนอยู่ พร่ำสอนอยู่ ด้วยอนุศาสนีเจือด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ดวงตาเห็นธรรมที่ปราศจากธุลีปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ที่นั้น ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ท่านทั้งหลาย เราจักไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ผู้ใดชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้นผู้นั้นจงมา
ครั้งนั้น พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ พาภิกษุ ๕๐๐ รูปนั้นเข้าไปทางพระเวฬุวัน
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 12:03 AM
ได้แก่ 1. เนื้อมนุษย์ 2. เนื้อช้าง 3. เนื้อม้า 4. เนื้อสุนัข 5. เนื้องู 6. เนื้อราชสีห์ 7. เนื้อเสือโคร่ง 8. เนื้อเสือเหลือง 9. เนื้อหมี 10. เนื้อเสือดาว และเนื้อที่ฉันต้องไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า ไม่เห็นเขาฆ่าและเขาไม่ได้ฆ่าเพื่อเรา ด้วยครับ
ด้ายเส้นเดียว .........ไม่เป็นผืนผ้า
อิฐก้อนเดียว .... ไม่เป็นบ้านเรือน
ทำบุญคนเดียว ...ไม่เป็นกัลยาณมิตร
#4
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 12:10 AM
แล้วอย่าลืมบอกกับเขาด้วยนะครับว่า สำหรับชาวพุทธนั้น "เจปากไม่สำคัญ" แต่ที่สำคัญ คือ "เจใจ" (งดเว้นจากบาปอกุศลทางกาย วาจา ใจ) ครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#5
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 12:51 AM
ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง และจะอธิบายทำไม
เอาคำพูดของพี่ขุนศึกไปใช้ดีกว่า
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#6
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 01:19 AM
น้าจี้
#7
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 03:14 AM
Someday I'm gonna be free.
#8
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 06:06 AM
สมมุติว่าเสือฆ่ากวางเพื่อกินเนื้อพอกินอิ่มก็ทิ้งไว้อย่างนั้น พอนกแร้งเห็นเข้าก็มากินซากศพนั้น
ถามว่า นกแร้งมีความผิดหรือที่มากินซากศพนั้น
ถามว่า ใครเป็นผู้ฆ่ากวาง
ถามว่า บาปจะตกอยู่ที่ นกแร้ง หรือเสือ
ถามว่า แม้นนกแร้งจะไม่มากินซากศพนั้น กวางจะถูกฆ่าหรือไม่
ถามว่า คนที่กินเนื้อสัตว์แต่ไม่ได้ฆ่าสัตว์ผิดศีลข้อไหน
#9
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 07:41 AM
#10
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 08:45 AM
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า ตัวเราประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ ( mind ) นะครับ สังเกตได้ว่าปัญหาต่าง ๆเกิดมาจาก จิตใจของคน เป็นส่วนใหญ่ เช่น โลภ โกรธ หลง ดังนั้น เพื่อเป็นการปรับตนให้มีสุขภาพที่ดดี ควรปรับสุขภาพใจของเราให้ดีด้วย โดยการนั่งสมาธิ เมื่อท่านได้ปฏิบัติเข้าถึงความสุขภายใน แล้ว ท่านจะเข้าใจที่กล่าวมาข้างต้นมากยิ่งขึ้นครับ
#11
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 09:47 AM
เพราะเราถือศีล 5 เป็นปกติอยู่แล้ว ไม่สนับสนุนการฆ่า และการกินเนื้อสัตว์ก็กินที่ตายแล้ว (ด้วยวิบากกรรมของสัตว์นั้น)
ถ้ามนุษย์ถือศีล 5 ได้ทุกคน การกินก็คงเหลือแต่กินซากสัตว์ที่ตายเอง หรือกินเจโดยปริยาย
#12
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 10:03 AM
ประดุจดั่งสามี ภรรยาอุ้มลูกข้ามทะเลทราย
ผ่านไปนานเข้า เด็กก็ตาย
เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว บิดามารดาพึงกินลูกตัวเอง
ถ้าไม่กิน เด็กก้เน่า ตัวก็ตาย
เขาไม่ได้กินให้ผิวสวย เพื่อความเพลิดเพลิน
แต่เป็นไปเพื่อประทังชีวิต
จะผิดได้อย่างไร
ปล. เจแปลว่าอุโบสถศีล เอาไปเพี้ยนกันเอง
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#13
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 10:47 AM
ผม: hey u รู้ป่าวว่ากินเจ คืออะไร?
ฝรั่ง: มันคือการกินแต่ผักไม่กินเนื้ออ่ะสิ
ผม: แล้ว u คิดหรอว่าถ้ากินเจกันหมดทั้งโลกแล้วการฆ่าจะหมดอ่ะ?
ฝรั่ง: หมดสิเพราะไม่มีคนฆ่าสัตว์มาขาย ...
ผม: แล้ว u รู้ป่าวว่าการทำแปลงผักมันก็ฆ่าสัตว์ไปด้วยนะ?
ฝรั่ง: ฆ่าตรงไหน? ก็ปลูกผักธรรมดาเอง
ผม: การทำแปลงผักมันจะมีพวกศัตรูพืชอยู่ด้วย มะลงแมลง อะไรแบบนี้ แค่การขุดดินเตรียมแปลงผักก็ฆ่าแมลงไปเป็นแสนแล้ว
แล้วไหนจะยาปราบศัตรูพืชอีก กว่าจะปลูกผักมาให้กินได้ก็มีแมลงตายเป็นล้านแล้ว แล้วไอ้พวก ไบกอน อัศวิน สเปย์ฆ่ายุง ยาเบื่อหนู u คิดว่าเป็นการฆ่า้เหมือนกันมั้ย ?
ฝรั่ง: ฆ่า...
ผม: แล้ว u ก็ต้องไปห้ามไอ้พวกนี้ผลิตด้วยสิ นี่ขนาดเราไม่ได้เอาหนู เอายุง มากินนะยังต้องฆ่ามันเลย ไหนจะอาวุธสงครามอีก u คิดว่าอาวุธสงครามนี่จะเอาไว้ทำอะไรละสร้างมาเท่ๆหรอ เอาไว้ฆ่าคนด้วยกันนี่แหละ u ก็ต้องไปห้ามพวกนี่ด้วยสินะ การฆ่าถึงจะหมดไป เห็นมั้ยแค่การกินเจอย่างเดียวการฆ่ามันไม่หมดไปหรอก มันต้องให้ทุกคนในโลกนั่งสมาธิเข้าถึงองค์พระภายใน และไปสู้ที่สุดแห่งธรรมการฆ่ามันถึงจะไม่มี แล้ว u นั่งสมาธิมั้งยัง
ฝรั่ง: นั่งมั้งแหละ
ผม: นั่งวันหนึ่งถึงชั่วโมงมั้ย วางใจได้ถูกที่ป่าว มานี่ตามมาเด๋วสอนให้..
นอกเรื่องไปซะงั้น ...
ปล.การสนทนานี่ สมมุติ นะ
#14
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 12:53 PM
"การทำบุญมิได้ขึ้นอยู่กับการกิน
ถ้าอย่างนั้น วัว ควาย ก็ไปนิพพานกันหมดแล้วสิ"
และเคยได้ฟังพระรูปอื่น ไม่รู้ว่าที่วัดอะไร ก็มีญาติโยมถามเรื่องทำไมพระไม่ฉันเจเป็นนิจ
พระรูปนั้นก็บอกกับโยมท่านนั้นไปว่า
"พระผู้ใดเห็นเรื่องการฉันเจเป็นนิจ ผู้นั้นถือว่าเป็นพวกพระเทวทัต"
ญาติโยมท่านนั้นก็เงียบ ไม่กล่าวอะไรอีกเลย
#15
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 12:57 PM
แล้วจะเอาพลังงานอันแข็งแร็งที่ไหนหนอ
ไปสร้างความดี ไปสร้างบารมี
แต่คนที่เอาพลังงานเหล่านี้ไปใช้ในทางที่เลวร้าย
นี่ซิ ........จะให้กินอะไรดีน๊า
#16
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 12:59 PM
ผ่านไปนานเข้า เด็กก็ตาย
เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว บิดามารดาพึงกินลูกตัวเอง
อื้อหือเห็นภาพเลย แม่กินศพเด็ก รสชาติคงพิลึกน่าดู..........
น่าจะเอาบทนี้ไปใช้ตอนพิจารณาอาหารได้นะครับ เวลากินจะได้ไม่เพลินในรสชาติ คือสักว่าแต่จะกินประทังชีวิตเท่านั้น
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#17
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 02:57 PM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#18
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 05:48 PM
#19
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 08:30 PM
น้าจี้
#20
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 08:42 PM
เราไม่ได้สั่งให้ฆ่าสัตว์นั้น
เรากินเนื้อนั้น
เนื้อนั้น ก็คือซากสัตว์ ซากนั้นคือ ธาตุ ไม่ใช่ชีวิต ไม่มีวิญญาณครอง เนื้อนั้นเรากัดกินไป มันไม่เจ็บ ไม่ตายเพราะเรากิน
ซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยทับถม บนดิน ในดิน นานๆไป สลาย ก็กลายเป็นปุ๋ย ต้นไม้ดูดซืมปุ๋ยขึ้นไปหล่อเลี้ยงต้น เป็นต้นไม้ผล ใบ
เราเอาใบ เอาผลไม้ มากิน ก็คือธาตุ
(คนกินเจ ก็กินใบไม้แบบเดียวนี้
จะลองไปถามคนกินเจว่า เอ...พืชที่คุณกินไปนี่ปลูกโดยใช้ดินที่มีซากสัตว์ตายมา หรือเปล่านะ)
#21
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 08:59 PM
แต่ยังไงก้อ อย่าให้ หลงประเด็น เรื่องการกินเจ กับ การรักษาศีล มันคนละประเด็นกันนะ
อยากให้ แยกให้ดีดี อย่าให้เขาลากไปโดยไม่รู้ความกัน
กินเจ กับ การกินมังสวิรัติ ก้อต่างกัน
ให้ศึกษาเรื่องเหล่านี้ให้ดีด้วย หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหานะ ได้อธิบายไว้ชัดเจนดีนะคับ
ฝากให้ อ่านแล้วศึกษาดู คงไม่ถึงกับ ล้าสมัย
และคงต้องดูเพื่อนๆ ที่ถามคำถามเหล่านี้ด้วยว่า เขามีพื้นฐานอย่างไร และ ลักษณะการถามของเขา
ถามเพื่ออะไร
เพื่ออยากรู้
เพื่อกวน
เพื่อยียวน
จงตั้งสติให้ดี แล้วใช้ปัญญาพิจารณา ตอบไปตามสถานการณ์ แต่ ต้องไม่ทิ้งหลักการที่ พุทธองค์ทรงให้ไว้นะ
เอวัง
#22
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 09:00 PM
สาธุ.....
#23
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 09:21 PM
ได้แก่ 1. เนื้อมนุษย์ 2. เนื้อช้าง 3. เนื้อม้า 4. เนื้อสุนัข 5. เนื้องู 6. เนื้อราชสีห์ 7. เนื้อเสือโคร่ง 8. เนื้อเสือเหลือง 9. เนื้อหมี 10. เนื้อเสือดาว และเนื้อที่ฉันต้องไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า ไม่เห็นเขาฆ่าและเขาไม่ได้ฆ่าเพื่อเรา ด้วยครับ
เขาไม่ได้ฆ่าเพื่อเรา ...
ขอถามเพิ่มได้ไหมคะว่า
ถ้าชาวบ้านบางคนที่ฆ่าไก่ ทำแกงไปถวายเพล ถ้าพระฉันท่านก็ผิดศีลน่ะซิคะ
แต่ที่จริง ท่านฉันได้เพราะไม่มีส่วนรับรู้หรือยินดีในการฆ่านั้น
เปลี่ยนเป็นว่า " เนื้อที่ฉันต้องไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า ไม่เห็นเขาฆ่าและไม่รู้ว่าเขาไม่ได้ฆ่าเพื่อเรา "
ได้ไหมคะ ถูกผิด ช่วยแก้ไขด้วยค่ะ
ถูกถามบ่อยเหมือนกันค่ะ บางทีก็ไม่เชิงถาม แต่เป็นการตำหนิมากกว่า
เพราะเขาคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นขัดแย้งในตัวเองค่ะ
แต่ถึงจะอธิบายยังไง ฝรั่ง(ที่ดื้อ)เขาก็ยังเป็นฝรั่งอยู่ดี
อธิบายแบบไทยๆ ไม่ได้ผลค่ะ
เลยต้องบอกว่า กินเนื้อ ก็กินน้อยลง กินเพื่ออยู่เท่านั้น
ไม่ยินดีสนับสนุนในการฆ่าหรอกนะ ถ้ามีอย่างอื่นให้กินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ชดเชยโปรตีนจากเนื้อได้ก็จะกินนะ แต่ต้องไม่เรื่องมากจนทำให้ลำบากใคร
พออย่างนี้ ... เขาเข้าใจ และ OK
เฮ้อ..เป็นไปได้
#24
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 10:52 PM
แต่ที่จริง ท่านฉันได้เพราะไม่มีส่วนรับรู้หรือยินดีในการฆ่านั้น
เปลี่ยนเป็นว่า " เนื้อที่ฉันต้องไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า ไม่เห็นเขาฆ่าและไม่รู้ว่าเขาไม่ได้ฆ่าเพื่อเรา"
ได้ไหมคะ?
ได้ครับ ถูกต้องแล้วล่ะครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#25
โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 01:07 PM
การที่ประชาชนบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการเนื้อสัตว์ demand เพิ่มขึ้น
เมื่อมีกระแสความต้องการเนื้อ ก็มีการผลิตเนื้อ แล้วก็มีการเลี้ยงสัตว์เพื่อนำไปฆ่า เพื่อทำอาหารมากมาย
เขามองในแง่เศรษฐศาสตร์
แต่ตามศีล กับแนวทางพระพุทธศาสนา เรามองที่เจตนาเป็นหลัก
เนื้อมีขายอยู่แล้วในตลาด เราจึงไปซื้อมาทำอาหาร
ถึงวันนี้เราไม่ไปที่เขียงหมู พ่อค้าขายหมูก็ขายให้คนอื่นอยู่ดี เขาก็ขายไปตามปกติ อะไรๆ ก็ไปตามครรลองของมัน
#26
โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 03:01 PM
พระอุทิศกายใจทำไมหนอ
เพียงลำพังพระเองก็สุขพอ
ใยต้องรอผองเราเข้าถึงธรรม
สุนทรพ่อ
I Love You หลายเด้อ
#27
โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 03:43 PM
อิ อิ เคยเจอเหมือนกันเหรอค่ะ บางคนเถียงข้างๆคูๆ แต่ไม่เป็นไรคิดเสียว่าเราให้ธรรมะ เป็นทาน
เพิ่งรู้ว่า งานนี้มันค่อนข้างยากจริงๆ เพราะเขาไม่มีพื้นฐาน ความรู้เกียวกับศาสนาพุทธเลย ตอบอย่างนี้ เดี๋ยวมีคำถามเรื่องที่ตอบมาอีกแล้ว แต่ก็สนุกดี แล้วพอมีคนที่พอจะเข้าใจบ้าง ก็ทำให้เราหายเหนื่อยเป็นปริทิ้งเลย เกินคุ้มจริงๆ
น้าจี้
#28
โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 06:40 PM
แต่นอกเหนือกว่านั้นคืออิ่มแล้วอย่าลืมทำดีด้วนนะจ๊ะ
#29
โพสต์เมื่อ 21 July 2006 - 01:17 PM
โดยพระองค์ทรงรู้เรื่องราวของชีวิตอยู่แล้ว นั้นคือเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องของบาป-บุญ พระธรรมวินัยจะอ้างอิงมาจากกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น
เมื่อไม่มีเจตนาที่จะฆ่า===> มันก็ไม่บาปครับ
#30
โพสต์เมื่อ 22 July 2006 - 05:30 AM
สัตว์ ประกอบด้วยธาตุ ต่างๆ เช่น คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ฯลฯ..(อินทรีย์วัตถุ และ อนินทรีย์วัตถุ)
จุลินทรีย์ ประกอบด้วยธาตุ ต่างๆ เช่น คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ฯลฯ..(อินทรีย์วัตถุ และ อนินทรีย์วัตถุ)
โดยพื้นฐานข้างบนคือสิ่งที่จะนำมากืนมาย่อยดูดซึม และเผาผลาญ เป็นพลังงานเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ (ไม่ใช่กินเพราะชอบ เพราะความสนุก ฯลฯ.)
ตอนนี้ความรู้เรื่องโภชนะศาสตร์พ้ตนามากขึ้น คนเรารู้ว่าธาตุไหน สารอาหารไหน ขาดไม่พอ ร่างกายเกิดความผิดปกติหรือเจ็บป่วย ก็หาวิธี สร้าง สังคราะห์
สกัด ตัดแต่ง ดัดแปลงจากสิ่งที่มีอยู่แล้วในโลก หรือที่มีอยู่แล้ว ในสภาพสังคมศาสนา ของแต่ละยุคสมัยนั้นๆ เพื่อนำมาเป็นอาหารหรืออาหารเสริม ต่างๆเป็นต้น
โดยเฉพาะปัจจุบัน บางครั้งไม่อาจจะรู้ได้ชัดเจนว่าสิ่งที่เรากินอยู่ บริโภคอยู่มีแหล่ง มาจากอะไรแน่(พืช สัตว์ หรือจุลินทรีย์) เพราะต้องใช้วิธีซื้อหามาไม่ใช่ผลิต ทำ หรือจัดหาได้เอง โดยสะดวกสบายอยู่ตลอดไปได้อย่างไร
ตัวอย่างเช่น ยารักษาโรคต่างๆ ไวตามิน กรดอมิโน แร่ธาตุต่างๆ อาหาร อาหารเสริมต่างๆ ในปัจจุบันและต่อไปสำหรับในอนาคต ซึ่งมี และ จะมี แหล่งผลิตมา
จากสัตว์ พืช จุลินทรีย์ ก็ได้ไม่แน่นอน และจะไม่แน่ชัด ในขณะที่เจ็บป่วยด้วยโรคชนิดใหม่ๆต้องใช้ยารักษา ขาดแคลนอาหารหรือสารอาหารบางชนิดซึ่งจำเป็นต้องกิน ต้องใช้ เราจะมาตั้งแง่เกี่ยวกับการกิน การบริโภค ว่าพีช ว่าสัตว์ ว่าจุลินทรีย์ อยู่อย่างนี้ได้ตลอดไปอย่างไร
ส่วนเรื่องของ ศีล(เช่น ไม่ฆ่า) ธรรม การฝึกสมาธิ การพิจารณาธรรมให้เกิดปัญญา เป็นวิธีการเป็นกฏระเบียบ ที่ถูกกำหนดและแนะนำให้ ต้องฝึกฝนเรียนรู้ตาม เพื่อให้ง่ายในการศึกษาและปฏิบัตื และเรียนรู้เข้าใจในเรื่องของ จิต ใจ นามธรรม การร่วมกันอยู่ในสังคมมนุษย์และโลกอย่างสันติ นั้นเองคือจุดสำคัญ
( การไม่ฆ่า จะทำให้จิตใจอ่อนโยนไม่หยาบช้าและแข็งกระด้าง มีความร่มเย็นสบาย มีความเมตตากรุณา เข้าใจธรรมะ ได้ง่ายและเร็ว เป็นต้น)
( ส่วนการฆ่าและการยินดีบริโภคเนื้อสัตว์อย่างสนุก ชอบ และติดในรสชาดมากจนขาดไม่ได้ จะพลอยทำให้จิตใจโหดร้าย หยาบกระด้าง ร้อนเร่า ไม่มีความเมตตากรุณา จนกลายเป็นนิสัยและความเคยชิน ซึ่งจะโกรธง่าย ทำร้ายผู้อื่นได้ง่าย และเรียนรู้เข้าใจในเรื่องของ จิต ใจ นามธรรม การร่วมกันอยู่ในสังคมมนุษย์และโลกอย่างสันติ ได้ยาก)
สรุป จะกินหรือไม่กิน เนื้อสัตว์ ก็ได้ แต่กินอาหารที่มีสารอาหารครบ พอเพียงและพอดี ต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายดำรงอยู่ได้โดยปกติ และจะไม่
ฆ่าและการยินดีบริโภคเนื้อสัตว์อย่างสนุก ชอบ และติดในรสชาดมากจนขาดไม่ได้ เพื่อให้จิต ใจ มีความเหมาะและง่าย ต่อการศึกษาฝึกฝนปฏิบัตืธรรม(ศีล สมาธิ ปัญญา ) ตามลำดับ ให้จิต ใจ สามารถละกิเลส ได้