คุณเคยทำบุญ แล้วโดนดูถูกไหมค่ะ....!!
#1
โพสต์เมื่อ 06 August 2008 - 09:01 PM
วันนึงมีคนมาชวนไปวัดครั้งแรกในชีวิตค่ะ....ได้เรียนรู้มากมายอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน
เช่น ต้องถวายปัจจัยทำบุญก่อนกลับบ้าน ซึ่งดิชั้นก็เต็มใจอยู่แล้ว เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แต่...!
ภรรยาของพี่กัลฯ ท่านนั้นพูดว่า : "ถวายปัจจัย 20 บาท นี่หรือ...จะหล่อหลวงปู่
น้องมีใจให้กับวัดจริงหรือป่าว....!!"
(ยังดีนะที่เธอพูดแบบสุภาพ...ค่ะ)
ดิชั้นก็ทำหน้ายิ้ม (สู้) ค่ะ แต่ก็รู้....สึกอาย
ชั้นโดนดูถูกเรื่องเงินทำบุญ...นี่ดิชั้น ไม่ติดใจ หรือโกรธพี่เขาเลย จริงๆ
แต่ฉันรู้สึก "เจ็บมากๆ" เวลาถูกถามว่า "มีใจให้วัดหรือป่าว"
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
จริงๆการแข่งกันในเรื่องดี (ทำบุญเยอะๆ) ก็คงไม่เสียหายอะไรน่ะ
เพียงแต่เมื่ออะไรก็ตามที่มีการเปรียบเทียบกัน ตัณหา
หรือความอยากดี อยากเด่นกว่า ก็จะทำให้ใจไม่สงบ
กลัวทำน้อยกว่าเขา เขาทำมากกว่าเรา ฯลฯ
เลยคิดว่าเรื่องของการทำบุญไม่น่าที่จะมาแข่งกัน
ของใครก็ทำกันไปไม่ต้องมาเทียบกัน น่าจะดีกว่า
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ยังไงดิชั้นก็ขอขอบคุณสำหรับคำดูถูกของเธอ ที่เป็นแรงผลักดันให้ฉันมุ่งมั่นมากขั้น"
#2
โพสต์เมื่อ 06 August 2008 - 09:57 PM
เพียงแต่คนที่คุณเจอเป็นอีกประเภทที่แบบพูดไม่ทันคิด
อย่าใส่ใจเลยนะครับ ทำใจให้สบาย ให้สงบ
เหตุการณ์แบบนี้ก็คงมีเจอกันบ้างแต่จะใส่ใจกันมากหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง
อนุโมทนาบุญกับทุกบุญที่คุณทำและบุญที่คุณคิดจะหล่อหลวงปู่ด้วยทองคำนะครับ.......สาธุ
แล้วก็ยินดีต้อนรับเข้าสู่หมู่คณะของพวกเราครับ
#3
โพสต์เมื่อ 06 August 2008 - 09:59 PM
หลวงพ่อ...ท่านเคยสอนไว้...คนทำบุญ 1 ล้านบาท กับ คนทำบุญ 100 บาท ได้บุญเท่ากันไหม
เฉลย.......ได้บุญไม่เท่ากัน คนทำบุญ 1 ล้านบาท เขาปลดความตระหนี่ และอาจจะเป็นแค่เงินจากส่วนของเงินที่มีมากมาย เขาปลื้มในส่วนของเขาที่ปลดความตะหนี่ได้ แต่...คนทำบุญ 100 บาท ก็ย่อมได้บุญน้อยกว่านั้น ถูกต้อง
แต่..........คนทำบุญ 100 บาท อาจจะเป็น "เงินสุดท้าย" ในกระเป๋า ที่จะปลดความตระหนี่นี่ได้ ย่อมยากมาก แล้วก็นำมาถวายเป็นปัจจัยให้แก่พระศาสนา ถวายแก่เนื้อนาบุญ คนทำบุญ 100 บาท ย่อมปลื้มไม่รู้ลืม นึกถึงที่ไร ก้อสุข แล้วจะยิ่งสุขยิ่งขึ้น ถ้าคุณตรึกระลึกถึง 100 บาทเป็นดวงบุญใส ๆ จรดที่ศูนย์กลางกาย นึกที่ไร สุขทุกที จริงไหมครับ
อย่ากังวลเลยครับ และอย่าไปคิดว่า "แข่งขัน" กันทำบุญเลยครับ บุญของใคร ก็ของใคร อยู่ที่สุขจากใจกลางกายที่สุดแล้วครับ
ขออนุโมทนาบุญด้วย สา....ธุ
#4
โพสต์เมื่อ 06 August 2008 - 10:31 PM
อย่าไปคิดอะไรมาก คิดในเชิง + ดีกว่า
คนใหม่ที่เข้าวัด ทำตามกำลังศรัทธาก็เป็นเรื่องดีครับ
เอาไว้ถ้าศรัธามาก ทำมากๆ ก็ได้ ไม่มีใครห้าม
คนที่เขาทำมากๆ เพราะมีศรัทธามาก
อยากให้ศึกษา และได้มาสัมผัสด้วยตัวของคุณเองจะดีกว่าครับ
ว่าวัดนี้ดีจริงหรือไม่
ไม่ใช่เจอคำพูดในทำนองนี้แล้ว แล้วจะไม่ขอเข้าวัดอีก
บางส่วนของคนเข้าวัดใหม่ ๆ และยังไม่มีศรัทธาก็จะเป็นกันอย่างนี้
แม้แต่คนที่เข้าวัดนานแล้วก็ยังมี
ผมเองตอนที่เข้าวัด ใหม่ ๆก็ยังไม่ค่อยทราบอะไรมาก
พอได้ลองมาเป็นคนในองกรแล้ว
ก็เข้าใจ และศรัทธา เพราะเห็นภาพรวมของทั้งองกร รู้ว่าองกรทำอะไร
อีกทั้งสิ่งที่ดีๆ จากที่วัด และคนที่นี้ยังมีอีกเยอะ
ลองเข้ามาพิสูจน์ให้รู้ให้เห็นทั้งหมดด้วยตัวของตัวเองจะดีกว่า ...............
- อย่าหวั่นไหวกับเพียง แค่ลมปากของใครบางคน
- ไม่ถือสามันก็เป็นเพียงลมปาก ก็เท่านั้นเอง
เอาใจช่วยครับ สู้ๆๆ................................
#5
โพสต์เมื่อ 06 August 2008 - 11:00 PM
รักษาบุญของตนเองให้ดีอย่าให้ตกหล่นเพราะความขุ่นมัวอันเนื่องมาจากคำพูดของคนอื่นนะคะ
คุณ usr23144 เป็นผู้มีบุญมากนะคะ เพราะไม่ใช่ใครๆ จะเกิดความคิดอยากหล่อหลวงปู่และอยากมาวัดเอง จากการดู DMC บางคนแม้อยู่ข้างวัด ยังไม่เข้าวัดเลยค่ บางคนมีทรัพย์เป็นร้อยล้าน พันล้าน ยังไม่คิดอยากหล่อหลวงปู่เลยค่ะ แม้จะมีคนไปชวนแล้วชวนอีก (ยืนยันค่ะ เพราะตัวเองได้เคยเชิญชวนคนรู้จักมากมายที่เป็นคนรวยมากๆ แต่ก็ไม่ร่วมทำบุญแม้แต่บาทเดียวมาหลายรายแล้วค่ะ) ทั้งนี้ เพราะบุญเก่าในตัวมากระตุ้นเตือน จึงทำให้ คุณ usr23144 อยากทำบุญใหญ่นี้ เพียงแต่ในอดีตอาจจะทำบุญไม่ต่อเนื่อง ทำให้บุญเก่าขาดช่วง เป็นผลให้ที่ผ่านมาอาจมีกำลังทรัพย์ไม่มากนัก แต่การทำบุญใหญ่ครั้งนี้ จะเป็นการเชื่อมสายบุญเก่าที่ขาดช่วงไป ให้ใกล้เข้ามา และส่งผลต่อเนื่องเร็วขึ้น ดังนั้นต้องรักษาใจให้ปีติในบุญไว้อยู่เสมอนะคะ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนอยู่เสมอว่า ทำบุญร้อย ให้ปีติเหมือนทำบุญล้าน เพราะจำนวนเงินไม่สำคัญเท่าความปีติในบุญ เหมือนที่คุณ puifly ยกตัวอย่างน่ะค่ะ การตัดใจทำบุญด้วยเงิน 100 อันหมายถึงค่าอาหารตลอดทั้งวันของครอบครัวหนึ่ง ย่อมนำความปีติใจมาให้ผู้ทำมากกว่าเศษเงิน 1 ล้านของเศรษฐีที่มีเงินนับหมื่นล้าน หากเศรษฐีผู้นั้น ทำเพียงเพราะขัดไม่ได้ มิใช่ด้วยความศรัทธาในบุญ ดังนั้นผลบุญของผู้ทำ 100 ในกรณีย่อมมากกว่าผู้ทำ 1 ล้าน (แต่หากผู้ทำบุญ 1 ล้าน ก็มีความปิติสุดๆ เหมือนกัน ด้วยความศรัทธาและปลื้มในบุญที่ทำ ผู้ทำบุญก็ย่อมได้บุญมากกว่าผู้ทำบุญ 100 เพราะเปรียบเสมือนชาวนาที่ปลูกข้าวหอมมะลิ เหมือนๆ กัน ด้วยความตั้งใจเหมือนๆกัน ผู้ที่ปลูกเป็นพื้นที่มากกว่า ก็ย่อมได้ผลข้าวมากกว่าผู้ที่ปลูกเป็นปริมาณพื้นที่น้อยกว่า จริงไหมคะ)
ดังนั้น สำหรับพี่ผู้หญิงที่พูดเช่นนั้น อาจมองได้ 2 อย่างคือ
1. เป็นห่วงและเสียดายแทน คุณ usr23144 ว่าได้มีโอกาสทำบุญกับเนื้อนาบุญอันเลิศที่หาได้ยากยิ่งแล้ว ทำไมจึงไม่รีบตักตวงบุญมหาศาลนี้ไว้ แต่อาจเป็นด้วยมิทันได้คำนึงถึงความเหมาะสมของคำพูด (เพราะคนเข้าวัดทุกคนคือผู้ที่กำลังฝึกตัว ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไขอยู่) จึงทำให้เกิดการกระทบจิตใจขึ้น (ตัวเองก็เคยพบบุคคลเช่นนี้ ตอนช่วงเข้าวัดใหม่ๆ แต่ตอนนี้ก็เข้าใจแล้วค่ะ)
หรือ
2. อาจเป็นเพราะที่ผ่านมามีผู้ไม่เข้าใจวัดมากมาย และช่วงนี้ก็กลับมีกระแสแรงขึ้นมาอีก พี่ท่านนั้นจึงอาจเข้าใจผิดว่า คุณ usr23144 ก็เป็นผู้หนึ่งที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับวัด จึงได้ทำบุญเท่านั้น เหมือนว่าเสียไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพี่ท่านนั้นเข้าใจว่า คุณ usr23144 มีกำลังทรัพย์ที่จะสามารถทำได้มากกว่านั้น (ตัวเองก็เคยเจอว่า ไปบอกบุญญาติผู้มีพระคุณด้วยความปรารถนาดีอย่างยิ่งที่จะรักษาสมบัติให้เขาข้ามภพข้ามชาติ อยากให้เขาได้บุญมากๆ ซึ่งญาติผู้นั้นมีทรัพย์ร่วมร้อยล้าน แต่ร่วมบุญมาเพียง 100-200 บาท แบบปัดให้พ้นๆไปเพราะขัดไม่ได้ ซึ่งคิดว่า คุณ usr23144 คงเข้าใจความรู้สึกของผู้ที่ตั้งใจไปทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้นะคะ)
ดังนั้นอย่าเอาคำพูดนั้นมาเป็นอารมณ์เลยนะคะ รักษาใจให้ใสแล้วอธิษฐานเอาบุญต่อบุญ สมบัติต่อสมบัติ ดีกว่าค่ะ คือ อธิษฐานให้บุญ 20 บาทที่ทำไปด้วยความปีตินั้น เชื่อมสายสมบัติให้สมบัติหยาบบังเกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อนำมาร่วมบุญให้มากขึ้นไปอีก จะได้ตักตวงบุญไปให้เต็มที่ เต็มกำลังไงคะ
ขอกราบอนุโมทนาบุญอีกครั้งนะคะ
#6
โพสต์เมื่อ 06 August 2008 - 11:27 PM
อย่าเอาใจไปผูกกับคำพูดของผู้พูดที่ไม่ได้ไตร่ตรองก่อนเลยครับ เวลาเราทำบุญให้เราปลื้มใจในบุญที่เรากำลังทำดีกว่าครับ ปริมาณของเงินทำบุญ ในบางกรณีมันยังวัดความปราณีตของใจที่กำลังทำขณะนั้นไม่ได้ครับ
ให้คิดทุกครั้งว่า ทำบุญทุกครั้งตัดความตระหนี่ที่อยู่ในใจไปได้ทุกครั้ง ทำตามหลักวิชชา ไปเรื่อย ๆ อย่าไปแข่งกับใครให้แข่งกับตัวเอง ไม่แน่บางครั้งเวลาเราหันกลับมาดู อาจเห็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ตนเองได้ทำไปแล้วก็ได้ครับ
อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
#7
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 12:44 AM
เหมือนกัน ผมก็เป็นห่วงคนวัดที่เผลอทำอะไรผิดพลาดเหมือนกัน เพราะทำให้คนอื่นมองวัดไม่ดีด้วย เพราะคนส่วนมากจะ
ชอบเหมารวมกัน จะทำให้เขามีวิบากกรรมทางอ้อมด้วย พี่เค้าไม่ได้ตั้งใจพูดให้เคืองหรอกครับ แต่เขาอยากให้ทำบุญพอที่เราจะปลื้มในบุญมาก ๆ จึงเผลอพูดไปแบบนั้น แต่ใช้คำพูดผิดคำ เท่านั้นเอง
แต่สำหรับผม ผมจะไม่บังคับคนทำบุญเด็ดขาด ให้เขาทำเองตามกำลังศรัทธา ผลบุญจะได้ไม่หกตกหล่น เช่น อาจจะเอาหนังสือดี ๆ ของวัดให้เขาอ่านเขาก็จะเกิดศรัทธาเอง บางทีก็ต้องมีกุศโลบายนิดหน่อย
ยืนยันตัวจริงเสียงจริงเจ้าของกรณีศึกษากฎแห่งกรรม
http://video.dmc.tv/programs/life_in_samsara/page5.html
หนังสือเรียนธรรมะ DOU http://book.dou.us/d...ya-book-gl.html
GL 101 จักรวาลวิทยา http://book.dou.us/gl101.html
GL 102 ปรโลกวิทยา http://book.dou.us/gl102.html
GL 203 กฎแห่งกรรม http://book.dou.us/gl203.html
GL 305 ปฏิปทามหาปูชนียาจารย์ http://book.dou.us/gl305.html
#8
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 08:37 AM
#9
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 08:53 AM
กัลฯบางท่านก็มุ่งมั่นกับ เป้าหมายมากไป จนถึงขั้นพูดแบบไม่คิด...
ขออนุโมทนาบุญครับ
#10
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 09:13 AM
#11
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 10:09 AM
แต่ส่วนใหญ่ที่ผมเป็นในช่วงแรกคือความน้อยใจครับ เห็นคนทำกันเยอะๆทำทีเป็นแสนเป็นล้านแล้วมาดูตัวเองทำได้ครั้งละนิดหน่อยทั้งที่ใจอยากจะทำเยอะๆอย่างเขาบ้าง ก็น้อยใจตัวเองที่ชาติที่แล้วเราทำบุญมาน้อย หรืออาจจะทำบ้างไม่ทำบ้าง แล้วก็ใช้ความน้อยใจนั้นเป็นแรงพลักดัน เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่า แม้เราจะทำได้น้อยกว่าเขา แต่เราจะทำให้เต็มที่เต็มกำลัง เท่าที่เราทำได้ และจะพยายามทำให้ตลอด ทำให้เรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมเกิดข้อสงสัยอีกเช่นกัน หากเปรียบเทียบกันระหว่าง ผู้ที่ทำก้อนโตแต่นานๆทีจะทำสักครั้งเพราะต้องใช้เวลาหาปัจจัยให้ได้มากๆแล้วทุ่มทีเดียวหมด กับคนที่ทำน้อยๆแต่ทำทุกวันและทำเต็มที่เต็มกำลัง อย่างไหนจะดีกว่าและได้บุญมากกว่ากัน
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#12
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 10:25 AM
#13
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 10:40 AM
#14
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 10:46 AM
ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม.. ต้องรักษาใจตนเองเอาไว้ให้ได้ตลอดเวลา..
อย่าให้ใจเราตก.. อย่าให้ใจหมอง.. อย่าให้กำลังใจถดถอย..
คนอื่นๆที่แวดล้อมเรา.. จะไม่มีใครทำอะไรเราได้..
ก็เหมือนสายลมพัดผ่านก้อนหิน.. ย่อมไม่ไหวติงไปตามแรงลม..
นอกเสียจากคุณจะเลือกเป็นปุยนุ่น.. (แต่เราเชื่อว่าคุณไม่เป็นเช่นนั้น)
คนมีหลายประเภทเสมอ.. ในสังคม สังคมหนึ่ง.. แม้สังคมคนมาวัดก็ตาม.. ย่อมเป็นเช่นนั้น..
มีดี ดีน้อย ดีมาก ชั่ว ชั่วมาก เลว เลวมาก มิตรแท้ มิตรเทียม ปะปนกันไป..
หากจะหาสังคมในอุดมคติ.. ก็คงไม่มีแน่นอน..
จึงอยู่ที่คุณเท่านั้น.. ที่จะเลือกคบใครที่ทำให้ใจใส.. หรือใจหมอง..
ที่สำคัญ.. การให้อภัยในความผิดพลาดของคนอื่น.. การให้โอกาสผู้อื่นปรับปรุงตัว..
เป็นสิ่งที่ดีมากๆที่ควรหยิบยื่นให้กันและกันเมื่อมีโอกาส..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#15
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 10:58 AM
เขาอาจจะหวังดีมากเกินพอดีไป อะไรบางอย่างน้อยไปก็ไม่ดี/มากไปก็ไม่ดี พระพุทธองค์จึงให้ยึดทางสายกลางเสมอ
ขอให้ยึดที่เป้าหมายเป็นสำคัญครับคือ การทำความดีและสั่งสมบุญ เมื่อบุญส่งผล จะทำให้บังเกิดทรัพสมบัติ รูปสมบัติ และคุณสมบัติ ก็จะมีปัจจัยในการทำบุญมากขึ้นเองครับ
ขอให้ศึกษาในพระธรรม คำสอนให้มากๆ และที่สำคัญต้องปฏิบัติด้วยครับ
#16
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 12:01 PM
คิดแต่ว่า ขอให้เราหมั่นทำ ความดีไว้ให้มากๆ เถิดค่ะ สักวันหนึ่ง เราก็สามารถ ทำแบบเขาได้ เพื่อนๆที่เขาว่า
เราก็ขอ ให้คุณอภัยทานไป ให้เขามากๆเลยค่ะ ได้ผลจริงๆค่ะ ส่วนตัวแล้ว จะเข้าไปพูดไปคุย ขอบารมี กับมหา
ปูชนียาจารย์ ที่อยู่ในบ้าน ที่ได้รับมาจาก บุญต่างๆ รวมทั้งบุญนั่งสมาธิ ที่ได้ทำมาค่ะ ขอให้ท่านช่วยคลี่คลาย
ในเรื่องต่างๆ ท่านก็ช่วยมา หลายอย่าง ที่เห็นทันตามาแล้วค่ะ ขอให้คุณ.ยิ้มอย่างเดียว แบบดิฉันเถิด ค่ะ สำเร็จ
ทุกๆอย่างค่ะ ป.ล. เอาคำของ คุณครูไม่ใญ่ มาคิดดีกว่าค่ะ ไม่เก็บมาคิด คิดแต่เรื่องที่ดีๆดีกว่าค่ะ ขอเอาใจช่วยอีก
ครั้งค่ะ ป.ล.ลืมบอกอีก อย่างที่ดิฉันทำ อยู่ทุกๆครั้งที่จะไป ทำบุญคือจะคิดว่า ไปวัดแต่ละครั้ง ให้นึกว่ามาเอาบุญ
ไม่เอาเรื่องใคร มาใส่ใจ รักษาใจให้ ผ่องใสตลอดเวลา เถิดค่ะ
#17
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 12:22 PM
#18
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 12:47 PM
....
ก็ลองคิดแบบนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยานะครับ ว่า
"เราคงเคยทำแบบนี้เมื่อชาติก่อนๆมา จึงต้องมาเจอแบบนี้บ้าง"
ก็ถือว่าใช้คืนไป และจะได้เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นเมื่อต้องเจอแบบนี้ครับ
เป็นกรรมเก่าของเรา เป็นกรรมใหม่ของผู้พูดครับ
เป็นเรื่องปกติของชีวิตในวัฏฏสงสาร ให้เฉยๆ
ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม แล้วก็ ยิ้ม
สาธุครับ
ไฟล์แนบ
#19
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 12:52 PM
#20
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 01:00 PM
จำนวนเงินเท่าไหร่ ไม่สำคัญ สำคัญที่ความตั้งใจ และอย่าให้สิ่งรอบข้างทำใจเราหมองนะคะ
อย่าให้คนที่ไม่เข้าใจเรื่องบุญ ทำเราหลุดจากหมู่คณะนะคะ
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
#21
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 01:09 PM
สู้ สู้ นะครับ
หลายๆท่านได้ให้คำตอบและแนวทางเอาไว้แล้ว ผมคงไม่พูดซ้ำ อันไหนถูกกับนิสัยส่วนตัวก็ลองเอาไปปรับปรุงใช้ดูนะครับ
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
#22
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 02:56 PM
#23
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 04:04 PM
คิดอย่างเดียวว่า จะทำบุญ ให้ผังชีวิต หนาแน่น
เกิดมาภพเบื้องหน้า รวยตั้งแต่เด็ก กลางคน แล้วก็ตลอดอายุขัย
จะไม่ยอมตกบุญ ร้ว่าทุกครั้งที่ทำบุญใหญ่ ใจมันต้องตัดความตระหนี่
และถ้ายิ่งต้องทำถี่ ๆ อย่างครูไม่ใหญ่ ท่านชวน เพราะเมื่อเรากลับ
ไปดุสิตบุรี และอยู่บนนั้นอีกนาน บุญที่เราทำอย่างมากมาย
ด้วยใจที่ปีติด ตามคำสอนที่ท่านพร่ำสอน ชักชวนพวกเรา
เราจะไม่ลำบาก จะสร้างบารมีได้ง่ายกว่าที่เป็นอยู่มากมายนัก
.......จะสร้างบารมีไปกับท่าน ใจเราต้องเป็นหนึ่งเดียว....
อย่าไปกลัวใครจะว่า อย่าไปคิดมาก ทำต่อไป สร้างบารมีให้มาก
แล้วทุกอย่างจะค่อย ๆ ดี ขึ้น ในที่สุดคุณก็จะชนะ....Al Last you win""""""
#24
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 04:12 PM
ค่ะ..... อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ เดี๋ยวจิตตกเปล่า ๆ ให้คิดเป็นเพียงลมปากที่พัดผ่านไป ก็แล้วกันนะคะ
เหลือเวลาที่จะหล่อหลวงปู่ อีกไม่กี่วันแล้วมารักษาใจ ให้ใสๆดีกว่าค่ะ สาธุ
#25
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 04:58 PM
การที่เราทำบุญ มาก หรือ น้อย ไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ที่สำคัญคือ วัตถุประสงค์ และเป้าหมายที่เราทำ
หากการทำบุญ เป็นการกระทำที่มีจิตตั้งมั่นในบุญ คุณก็จะได้รับผลบุญเต็มเปี่ยม
แต่หากการทำบุญนั้น มีจิตคิดเสียดาย มีจิตคิดเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ก็จะได้รับบุญเช่นกัน แต่ ผลแห่งบุญนั้นต่างกัน
ทั้งนี้การทำบุญ เมื่อทำไปแล้ว หากได้รับสิ่งกระทบเข้ามาจากการทำบุญ อย่าผูกจิต ผูกใจเจ็บ ซึ่งจะก่อให้เกิดนิวรณ์ได้
ดังนั้นเพื่อให้ได้บุญจากการทำบุญอย่างเต็มที่ ทำใจใส ๆ ไม่ตำหนิ ไม่ต่อว่า ปล่อยวาง แล้วบุญที่คุณทำจะไม่หกไม่หล่น
สาธุ
#26
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 06:13 PM
ขอให้ปลื้มในบุญที่ทำเถอะครับ
#27
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 09:35 PM
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ สาธุ
#28
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 11:05 PM
น้องมีใจให้กับวัดจริงหรือป่าว....!!"
- พี่กัลฯท่านคงอาจรู้สึกเขินอายแทนภรรยา...จนพูดอะไรไม่ออกกระมัง...
- ทุกท่านในนี้ล้วนเชื่อใจ...ทุกบาททุกสตางค์ของคุณ...ล้วนเป็นบุญมหาศาล...ควรค่าต่อสาธุการ...อามิสทานจรรโลงใจ
#29
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 11:34 PM
#30
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 11:42 PM
ทำใจใสๆ และนึกปิติในผลบุญเหมือนที่ทุกท่านแนะนำถูกต้องแล้วค่ะ ประสบการณ์ดิฉันตอนเข้าวัดใหม่ๆ ดิฉันก็ทำบุญตามกำลังแบบนี้แหละค่ะ คือทำทุกบุญที่มีคนมาบอก ทำครั้งละ 20 บาท นานๆครั้งจะทำสัก 100 บาท หลังจากมาวัดหลายครั้งเข้า (หลายปี )ก็จะมีบุญเยอะขึ้นๆๆๆ บุญแปลกๆหลายๆแบบเข้ามาให้ร่วมบุญมากมาย ทำให้ทราบไปเองถึงอานิสงส์ และผลแห่งบุญแต่ละบุญ และก็เข้าใจดีว่าผู้บอกบุญก็อยากจะให้เราได้ในผลแห่งบุญนั้น และผลพลอยได้คือเราตั้งจิตอธิษฐานได้เก่งและคล่องมากเลย ปัจจุบันก็ไม่อยากจะคิดว่าเป็นเพราะอานิสงส์หรือบุญส่งผล คือบุญใดที่อยากทำเยอะๆก็จะมีเงินก้อนใหญ่เข้ามาให้ทำได้ตลอด พยายามนั่งสมาธิทุกวันตามที่คุณครูไม่ใหญ่บอก นึกถึงคุณยาย หลวงปู่ที่ศูนย์กลางกายบ่อยๆเท่าที่จะทำได้ อยู่ในบุญและนึกถึงบุญให้ตลอดแล้วอะไรๆก็จะดีเองนะคะ
คำพูดหรือการกระทำใดที่ทำให้ไม่สบายใจ หรือใจหมองก็ทิ้งๆไปนะคะ อย่าเอามาใส่ใจให้มันหนัก เครียดเปล่าๆ ต้องทำให้ใจโล่ง โปร่ง ใส เบา สบาย แล้วเวลานั่งธรรมะจะได้เข้าถึงธรรมง่ายนะคะ