ผมนั่งมาประมาน 2 เดือนก่วายังมืดอยู่เลยบางที ก็ท้อนะครับ แต่ก็นั่งทุกวัน เป็นเพราะไม่มีบุญบารรมีหรือเป่าครับ แล้วต้องทำยังไงครับ จึงจะเข้าถึง ได้เร็วเร็ว ผมนั่งไม่ต่ำว่า30 นาที วัน 2-4 ครั้ง
ปกติเค้านั่งกันนานไหมครับถึงจะเข้าถึงดวงปฐมมรรค
#1 *ศิวกร*
โพสต์เมื่อ 17 October 2010 - 04:34 PM
#2
โพสต์เมื่อ 17 October 2010 - 06:02 PM
ถ้าขึ้นปฏิบัติธรรม ที่พนาวัฒน์ ภูเรือ สุขสว่าง สุขสันโดษ แล้วสวดมนต์ ถือศีลแปด ฟังธรรม นั่งสมาธิทุกวัน ซัก ๖ เดือน หรือนานหน่อยซัก ๑ ปี
แล้วยังมืดตื้อมืดมิด ไม่เข้าถึงธรรม ค่อยน่าเห็นใจหน่อย
การเห็นธรรมเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่สองปัจจัยใหญ่ คือ กรรมในอดีต กับกรรมในปัจจุบัน ถ้าในอดีตสั่งสมการปฏิบัติธรรมมามาก ชาตินี้ก็จะเข้าถึงธรรมได้ง่ายๆ ดังเห็นได้ใน case study
มีใครรับบุญ ช่วยเล่าถึงเรื่องผู้ที่สามารถทำวิชชาได้(เช่นน้าจี้) แล้วเล่าว่าในชาตินี้ท่านปฏิบัติอย่างไร นานเท่าไหร่ จึงจะเห็นธรรมได้ ดิฉันเริ่มจะลืมว่าท่านนั่งสมาธิกี่เดือนจึงเริ่มเห็นดวงปฐมมรรค
เนื่องจากไม่ทราบว่า ในอดีตชาติ นรอ.ศิวกร สั่งสมการปฏิบัติธรรมมามากแค่ไหน
ในทัศนะของดิฉัน ถ้า นรอ.ศิวกร อยากถึงธรรมเร็วๆ ก็ต้องลองปฏิบัติดังต่อไปนี้
- ๑. ปลีกวิเวก
- ๒. ถือศีล อย่างน้อยศีล ๘ หรือ ศีล ๒๒๗ ไปเลย
- ๓. สวดมนต์ , ทำวัตร ทุกวัน
- ๔. นั่งสมาธิครั้งละประมาณ ๓๐ นาที น้อยไปค่ะ ต้องอย่างน้อยครั้งละ ๑ ชั่วโมง เพราะคนส่วนใหญ่ กว่าใจจะสงบเริ่มเป็นสมาธิก็ต้องใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที เหลือเวลาสำหรับการพัฒนาของใจอีก ๑๐-๑๕ นาทีนั้น เป็นเวลาที่น้อยไป สำหรับการพัฒนาประสบการณ์สมาธิให้ก้าวหน้า โดยเฉพาะการพัฒนาแบบก้าวกระโดด
- ๕. ทำการบ้านทั้ง ๑๐ ทุกวัน --> คลิกเพื่อศึกษา
- ๖. ท่องคาถาสำเร็จทุกวัน "แม้มืดตื้อมืดมิด ก็มีสิทธิ์เข้าถึงธรรม"
- ๗. ปฏิบัติตามกุศโลแกนนี้
"อดีตที่ผิดพลาดลืมให้หมด
บาปอกุศลทุกชนิด ไม่คิดทำอีกเด็ดขาด
หมั่นสั่งสมบุญให้เข้มข้นทับทวี
ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายในตัว" - ๘. อธิษฐานจิต ทุกวัน
- ๙. ต้องปล่อยวาง เรื่องราวต่างๆ ในชีวิต
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#3
โพสต์เมื่อ 17 October 2010 - 06:38 PM
อย่าลืมว่านั่งสมาธิเพื่อการลด ละ เลิก กิเลศ ควบคุมจิตใจ รู้จักปล่อยวาง และมีสติโดยธรรมะนะครับ
คนที่ยังไม่เห็น.....
เพราะเจอมาเยอะผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมปฏิบัติ จะเอาแต่นั่งให้เห็นอย่างเดียว ธรรมะอะไรข้าไม่สนใจทั้งนั้น กลายเป็นคนเคร่งเครียส ขี้หงุดหงิด ท้อแท้สิ้นหวัง ไปๆมาๆ เลิกปฏิบัติธรรม หรือไม่ก็ไปฝึกสายอื่นเพราะเห็นว่าง่ายดี สบายใจจัง
คนที่เห็นแล้ว.....
แม้ผู้ที่เห็นดวงเห็นกายในกายเห็นพระธรรมกายแล้วก็พึงเจริญสมถะวิปัสสนาเจริญศีลสมาธิปัญญาเต็มกำลังสืบต่อไป มิใช่วันๆเอาแต่นั่งแช่อิ่มเป็นสิบๆชั่วโมง ข้าวไม่กิน น้ำไม่ดื่ม ไม่หลับนอน แล้วก็ภูมิใจกันแค่นั้น แต่ไม่ทำให้ก้าวหน้าไปกว่านี้ (แต่ทำได้ขนาดนี้ก็เยี่ยมแล้วนะครับ)
ต้องเรียนรู้ธรรมะปฏิบัติให้ดีนะครับ วิชชาธรรมกายเบื้องต้นเน้นการปล่อยวาง ให้ใจหยุด สงบ สบายใจ แล้วอย่าลืมพิจารณาธรรมะด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัณหา อุปาทาน สร้างบารมี 10 ไปเรื่อยๆ เมื่อทุกอย่างถึงพร้อม ทิพย์จักษุทำหน้าที่ได้ดี ก็สามารถเห็นและเข้าถึงธรรมได้เองครับ
ถึงตอนนั้นก็เจริญวิปัสสนาแท้ๆได้ผลดี เป็นสามัญญผล ตามธรรมดา
........................
สมถปุพพังคมวิปัสสนา
เจริญสมถะนำปัญญา แบบนี้คือเน้นการทำใจให้สงบก่อนแล้วจึงเจริญปัญญา บางคนปัญญามากฟุ้งซ่านมาก มาแนวนี้ก็หักดิบไปเลยก็ดีครับ
วิปัสสนาปุพพังคมสมถะ
เจริญปัญญานำสมถะ แบบนี้คือเน้นการพิจารณาธรรมะหัวข้อต่างๆโดยเฉพาะไตรลักษณ์ไปเรื่อยๆใจจะสงบปล่อยวางเป็นสมาธิไปเอง แบบนี้คนปัญญามากฟุ้งซ่านก็ชอบทำกัน เพราะไม่ต้องไปบังคับจิตมากค่อยๆตะล่อมด้วยการพิจารณาธรรมะให้มันปล่อยวางสงบไปเอง
ยุคนัทธสมถวิปัสสนา
เจริญสมถะวิปัสสนาควบคู่กันไปอย่างพอเหมาะพอดี
ธัมมุทธัจจวิคคหิตมานัส
การถือเอาข้อผิดพลาดในการปฏิบัติธรรมมาเป็นประสบการณ์แนวทางให้ปฏิบัติได้ถูกต้องต่อไป
(องฺ.จตุกฺก.21/170/212 ขุ.ปฏิ.31/534/432)
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#4
โพสต์เมื่อ 17 October 2010 - 06:45 PM
นำมาฝากสมาชิกวันนี้ โดนใจดี!
#5
โพสต์เมื่อ 17 October 2010 - 08:52 PM
#6
โพสต์เมื่อ 17 October 2010 - 10:55 PM
เพราะฉะนั้น อย่างเรา ๆ อย่าไปรีบร้อนเลย เพราะยิ่งร้อนก็ยิ่งรน ยิ่งรนก็ยิ่งห่างไกลจากความสงบ
เร็วที่สุดคือไม่อยาก ไม่คาดหวัง ถึงเวลานั่ง นั่งอย่างเดียว อย่าใจร้อน หากใจร้อน ไม่ว่าใครก็ช้าครับ
#7
โพสต์เมื่อ 17 October 2010 - 11:57 PM
ถ้าจะให้ตอบแบบตรงๆ เลย ก็คือ..
บางคน นั่งปุ๊ปเห็นปั๊ป
บางคน นังสักพัก ก็เห็น
บางคน เป็นเดือน ถึงเห็น
บางคน หลายเดือน ก็ไม่เห็น
บางคน เป็นปี ได้เห็น
บางคน หลายปี ก็ไม่เห็น
บางคน ใกล้ตาย ถึงได้เห็น
บางคน จนตาย ก็ไม่เห็นเอาซะเลย
หากจะถามว่า ความแตกต่างทางด้านเวลานี้ อยู่ตรงไหน..
ก็อาจจะพอตอบได้ว่า หลักๆก็น่าจะมี ดังนี้
๑.การฝีกฝนและบุญบารมีแต่ก่อนเก่า
๒.ความเพียรในชาตินี้
๓.ฉากหลัง
้
ถ้าจะลงรายละเอียดของทั้งสามข้อนี้ ก็คือ
คนที่่ฝึกฝนตัวเองมาแต่ก่อนเก่าและสั่งสมบุญบารมีทางด้านนี้มามากๆ ก็จะมีคุณสมบัติที่จะเข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ
แต่คราวนี้ พวกเราก็มิอาจจะรู้ได้ว่า ในอดีตเราทำอะไรและสั่งสมกันมาแค่ไหนอย่างไรบ้าง
แต่ถ้าเพิ่งนั่งมาแค่ ๒ เดือน แล้วจะิมาคิดท้อใจว่าตัวเองคงไม่มีบุญบารมี ผมขอติงว่า คุณคิดท้อใจเร็วเกินไปครับ
เพราะจากการบอกเล่าของคุณ ขอบอกตามตรงว่า
คุณยังทำไม่ถูกต้อง ครับ..
ที่ว่าไม่ถูกต้องก็คือ ตอนนี้ คุณยังมี ความเพียร ที่ไม่เหมาะสมครับ
อาจจะเหมาะสมต่อสังคมและหน้าที่การงานของคุณ แต่คงยังไม่เหมาะสมพอที่จะเข้าถึงธรรมะ ในตัวคุณ
และจุดแห่งความเหมาะสมทางด้านความเีพียรนี่ ก็คงเป็นปัญหาของทุกๆคน ที่จะต้องเจอ
เพียรมากไป ก็ไม่ดี
เพียรน้อยไป ก็ไม่ดี
มันต้องอยู่ในจุดของคำว่า"พอดี"
และคำว่าพอดีนี้ มันก็ไม่มีนิยามและคำจำกัดความว่า จะต้องทำแค่ไหนอย่่างไร
เพราะว่ามันก็เป็นเรื่องเฉพาะตน ที่คุณจะต้องค่อยๆปรับ ค่อยๆเปลี่ยน เพื่อให้มันเหมาะสมกับจริตอัธยาศัยของตัวคุณเอง
ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ "ความอยาก"
จะอยากได้ อยากเห็น หรืออยากอะไรก็ตาม ล้วนเป็นตัวขัดขวางในการเข้าถึงธรรมทั้งนั้น
และตอนนี้ ก็ดูเหมือนว่าในตัวคุณ จะมีความ อยาก อยู่เต็มในหัวใจ
คือ อยากเห็นดวงปฐมมรรค อยากเข้าถึงธรรมเร็วๆ และอื่นๆ
และหากว่ายังมีความอยากอยู่ในใจเช่นนี้ ก็ไม่มีทางที่จะเข้าถึงธรรมได้ครับ..
ถ้าอยากยังไงก็ไม่เห็น แต่ถ้าไม่อยาก ไม่สนใจ เดี๋ยวมันก็มาให้เห็นเองแหละครับ
แต่ถ้าอยากนั่งธรรมะบ่อยๆ แบบนี้ไม่มีความผิดครับ
แต่ก็ไม่ใช่เรื่่องผิดหรอกนะครับ ที่มีความอยาก
เพราะเริ่มต้นใหม่ๆ ทุกคนก็ต้องเกิดความอยากกันทั้งนั้นแหละครับ
เป็นเรื่องธรรมดา
ตราบที่คุณฝึกฝนตัวคุณเอง ให้ปราศจากความอยากได้เมื่่อไหร่ และตีความหมาย ของคำว่า ง่ายๆ สบายๆ ใจเย็นๆ
และนั่งเฉยๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรได้ นิ่งๆ แน่นๆ นานๆ ได้แล้วเมื่อไหร่
เมื่อนั้น..ก็จะเป็นการเริ่มต้นที่จะให้ ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ของคุณ รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว
พอรวมกันได้พอดีแล้วใจก็จะหยุด พอหยุดแล้วก็จะตกศูนย์ พอตกศูนย์แล้วก็ดับ พอดับแล้วจึงเกิด
เกิดสิ่งที่ทำให้เราภาคภูมิใจในความเพียรพยายามขึ้นมา
แต่ตอนนี้ คุณต้องหัดประกอบเหตุสังเกตผล ในสิ่งที่คุณกำลังปฏิบัติอยู่ ว่ายังมีอะไรที่ตัองปรับ ต้องเปลี่ยน ต้องแปลง หรือไม่
แรกๆนั่งได้ตั้ง ๓๐ นาที และได้หลายรอบด้วย ก็ถือว่ามีความตั้งใจที่ดีมากครับ
ต่อไปถ้าหนึ่งเมื่อยของคุณ พัฒนาไปจาก ๓๐ นาทีแล้ว ก็คงจะดีขึ้นเรื่อยๆครับ
เรื่องท้อแท้ เบื่อหน่าย ลังเล สงสัย ไม่แน่ใจ ก็มีกันทุกคนนั่นแหละครับ
อยู่ที่ว่าใคร จะสามารถกำจัดมันออกจากใจได้ก่อนกัน
ไม่ต้องไปวิตกกังวลว่าจะมีบุญบารมีไม่เพียงพอนะครับ
เพราะแค่คุณรู้จักวิชชาธรรมกาย ได้รู้จักครูบาอาจารย์
ได้นั่งขัดสมาธิคู้บัลลังค์ และเป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่มามัวมีปัญหาด้านความเข้าใจ ซึ่งทำให้เสียเวลา
แค่นี้ก็ถือว่าผ่าน และได้เปรียบคนอื่นๆอีกมากมายเชียวครับ
ส่วนมันจะเข้าถึงเมื่อไหร่นั้น..บางที มันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเราเพียงอย่างเดียวด้วยครับ
ไม่รู้ว่าจะบอกเรื่องแบบนี้ ให้คนที่เพิ่งเริ่มฝึกสมาธิฟังดีหรือเปล่า
ไม่รู้ว่าจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจ หรือจะทำให้ฮึกเหิม
ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลัีงก็ดีไป แต่ถ้าเป็นอย่างแรก ผมก็คงไม่สบายใจ
นั่นก็คือ ฉากหลัง ที่ผมจั่วหัวไว้เป็นข้อที่ ๓
แต่ผมก็คิดเอาเองว่า ในตอนนี้ คุณยังไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้..ก็ได้
เอาเป็นว่า คุณค่อยๆศึกษาหาความรู้ ว่าอะไรมันเป็นอะไรและดูสิว่าอะไรมันเหมาะสมกับตัวคุณเองไปก่อนนะครับ
ท้อได้..แต่ก็ไม่จำเป็นต้องถอย ไม่ใช่หรือครับ
โชคดีครับ..
ไฟล์แนบ
#8
โพสต์เมื่อ 18 October 2010 - 07:42 AM
Sadhu.gif 22.04K 35 ดาวน์โหลด
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
http://www.dmc.tv/index.php?module=med&lang=th
http://www.dmc.tv/index.php?module=medtopic&type=4
http://www.dmc.tv/index.php?module=medtopic&type=8
http://www.kalyanamitra.org/sermon/index_d...ing.asp?catid=2
http://www.kalyanamitra.org/sermon/index_d...ing.asp?catid=6
http://www.dmc.tv/fo...hp?showforum=48
http://www.dmc.tv/fo...hp?showforum=49
#9
โพสต์เมื่อ 18 October 2010 - 08:50 AM
หลวงพ่อบอกว่า ขอให้ เชื่อ ใช่ ชัด ชัวร์ การนึก ก็คือการเห็นในเบื้องต้น...
พอไปเห็นแล้ว ระดับของความเห็นของคนเรามันไม่เท่ากันครับ
เห็นในระดับแรก คือการนึกเอาหยาบๆ บางคนเค้นภาพเอา
ระดับต่อมาคืออาการคล้ายๆเหม่อแล้วภาพมันก็แว่บเข้ามาเอง
ระดับต่อมาก็เป็นระดับที่ใจเริ่มนิ่งๆแล้วภาพก็มาเอง ในระดับนี้นิวรณ์ในใจจะเริ่มเบาบางแล้วภาพที่แว่บมาก็จะชัดมาก บางคนชัดเหมือนลืมตาเห็น บางคนก็ตกใจ หรือดีใจ พอไปทำอย่างนั้น นิวรณ์มันก็ทำให้ใจกระเพื่อม ภาพก็หายไป ในระดับนี้คนที่ปฏิบัติธรรมมานานจะเป็นกันมาก เพราะใจได้รับการฝึกมาดีแล้ว
ระดับต่อมา เป็นระดับของคนปฏิบัติธรรมมานานเข้าไปอีกแต่ตังเองบอกว่า ยังไม่เห็นยังเข้าไม่ถึง แต่ใจนิ่งมาก นิวรณ์น้อยมาก พอนึกปุ๊ปก็เห็นชัด แต่วิจิกิจฉาก็ยังมีอยู่ ก็เลยพูดว่า ยังเข้าไม่ถึง เพราะคิดว่าสิ่งที่เห็นเป็นสิ่งที่ตัวเองนึกเอา แต่มันชัดมาก
ระดับต่อมา ข้ามจากขั้นเมื่อกี้ไปแล้วหมดวิจิกิจฉาแล้ว นึกเมื่อไหร่เห็นเมื่อนั้น รู้ซึ้งถึงคำที่หลวงพ่อ บอกว่า เชื่อ ใช่ ชัด ชัวร์ พอพูดว่าฝันในฝัน ก็เข้าใจความหมายทันที โอ้..ใช่แล้ว ฝันในฝัน เป็นอย่างนี้นี่เอง ดวงใสๆ ลอยเด่นอยู่ในใจตั้งนานแล้ว ไม่ยอมเชื่อเอง
ระดับต่อมาใจนิ่งบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นไปอีก นั่งนอนยืนเดิน ก็เห็นดวง เห็นพระ ตลอดเวลา ถึงขั้นนี้แล้วก็เตรียมเข้ากลางเข้าไปเรียนวิชชาต่อไปได้เลย
ที่กล่าวมาทั้งหมด แต่ละขั้นแต่ละตอน ต้องดำเนินไปด้วยระยะเวลาในระดับหนึ่ง ที่ต้องประกอบได้ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ตามมรรค8ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ผู้ปฏิบัติต้องเอาวิธีการในมรรค8นั้นมาชำระการวาจาใจของตนเองอยู่เนืองๆ ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบุญบารมีของแต่ละท่าน ช้าเร็ว เร่งลัดตัดตอน กี่เดือนกี่ปี ก็แล้วแต่บุญวาสนา มาเกื้อให้เกิดโอกาศเกิดความเพียร เกิดสติปัญญามากน้อยต่างกันไปครับ
ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่านครับ สาธุ....
#10
โพสต์เมื่อ 19 October 2010 - 04:35 AM
ไฟล์ที่แนบมาด้วย ข้อยเปิดไม่ได้ครับผม
จึงเรียนมาเพื่อโปดทราบ
#11
โพสต์เมื่อ 19 October 2010 - 01:17 PM
ขออนุโมทนาบุญครับ นั่งธรรมะทุกครั้งก็ได้บุญทุกครั้งครับ อย่าคิดมาก
#12
โพสต์เมื่อ 19 October 2010 - 07:13 PM
ไฟล์ที่แนบมาด้วย ตัวข้อยเองก็เปิดของข้อยไม่ได้เช่นกัน..ครับผม
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ..ด้วยครับ..
ไฟล์แนบ
#13
โพสต์เมื่อ 21 October 2010 - 02:20 AM
#14
โพสต์เมื่อ 07 January 2011 - 05:10 PM
#15
โพสต์เมื่อ 11 January 2011 - 06:12 PM
สู้ต่อไป อย่าท้อแท้หวั่นไหวนะครับ
ความต่อเนื่องและความอดทน จะทำให้เราประสบความสำเร็จเร็วยิ่งขึ้นครับ
#16
โพสต์เมื่อ 14 March 2011 - 12:23 PM
#17
โพสต์เมื่อ 30 August 2011 - 02:10 PM
ควรใช้ อานาปานุสติ เป็นตัวช่่วย ด้วยการ กำหนดรู้ ลมหายใจ เข้าออก คือ จนกว่า คำภาวนาว่า พุท โธ หรือลมหายใจจะหายไป นั่นเอง
เป็นวิธีที่ ง่ายที่สุดสำหรับ คนฟุ้งซ่าน เมื่อจิตสงบ ลงได้แล้วให้ ถอนกลันมาที่ อุปจารสมาธิ เพื่อพิจารณา อารมณ์ และจิตของตัวเอง
พึงให้เห็น อริยสัจ 4 แล้วจะพบทางสว่างแห่งปัญญา ได้ครับ
#18
โพสต์เมื่อ 10 August 2013 - 03:00 PM
สาาาาธุกับทุกๆ บุญค่ะ
#19
โพสต์เมื่อ 10 August 2013 - 10:17 PM
ต้องไปคอสปฎิบัติธรรมบ่อยๆครับ จะช่วยได้เยอะ
#20
โพสต์เมื่อ 23 October 2013 - 12:37 AM
ต้องทำความเข้าใจกับการนั่งสมาธิให้ดีๆ นะครับ เหมือนเดินป่า มีข้างทางมากมาย หลอกล่อมากมาย จริงปลอมบางทีแยกไม่ออก แค่คิดว่าอยาก ก็แวบไปแล้ว หลอกไปแล้ว จริงๆ แล้วการนั่งสมาธิ ที่พระพุทธองค์ ทำไม่ได้จะให้เข้าถึงสิ่งใด แต่ทรงค้นหา วิธีหลุดพ้นต่างหากไม่ได้ ค้นหาวิธียึดติด ................ สำรวจจิตตัวเองให้สะอาดหมดอย่าให้กิเลสเข้าครอบได้ต่างหาก อย่าหวังนั่งสมาธิแล้วมีอภิญา ก็ผิดหลักของพระพุทธองค์แล้วล่ะ ........
เด่วนี้ รัศมีของธรรม อยู่ที่ท้องแล้วหรือ ไม่ได้อยู่บริเวณเศียร แล้วหรือครับ งงซะ .......... มนุษย์นี่ยังไง
#21
โพสต์เมื่อ 24 October 2013 - 05:46 PM
เด่วนี้ รัศมีของธรรม อยู่ที่ท้องแล้วหรือ ไม่ได้อยู่บริเวณเศียร แล้วหรือครับ งงซะ .......... มนุษย์นี่ยังไง
รัศมีของธรรม ก็ต้องออกมาจากธรรม ธรรมอยู่ที่ใด รัศมีก็ออกมาจากที่นั่น ถูกต้องแล้วค่ะ
#22
โพสต์เมื่อ 24 October 2013 - 06:13 PM
ต้องทำความเข้าใจกับการนั่งสมาธิให้ดีๆ นะครับ เหมือนเดินป่า มีข้างทางมากมาย หลอกล่อมากมาย
ถูกแล้ว เดินตามทางสายกลาง(เอกานยมรรค) ไม่แฉลบออกข้างทาง เกิด จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ย่อมพบทางหลุดพ้น(วิมุตติมรรค) สู่ความบริสุทธิ์(วิสุทธิมรรค) อันเป็นทางไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า(อริยมรรค)
#23
โพสต์เมื่อ 25 October 2013 - 07:50 AM
ผมมีข้อความประทับใจ ที่เข้ากับกับเรื่องในโพสท์นี้
ผมได้ยินจากเทปเสียงนำนั่งสมาธิ เสียงของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ คุณครูไม่ใหญ่ ที่พระอาจารย์ท่านนำมาเปิดนำนั่งภาวนาบ่อยๆ
(ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสุขกายสบายใจ อ.บางปะกง ฉะเชิงเทรา)
ข้อความนั้นโดยใจความ คือ
การได้นั่งสมาธิ ปฏิบัติต่อเนื่องไป แม้ผลการปฏิบัติจะยังไม่ก้าวหน้า แต่ในความเป็นจริง ผู้ปฏิบัตินั้นก้าวหน้าไปแล้ว เปรียบเมือนเราก้าวเดินไป ทีละก้าวๆ ...เท่ากับเรามีความก้าวหน้า คือเข้าใกล้จุดหมายเข้าไปเรื่อยๆ
กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ และพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ
และ ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่าน ในสังคมแห่งกัลยาณมิตรนี้ครับ
#24
โพสต์เมื่อ 25 October 2013 - 11:59 AM
นั่งสมาธิ ต้องหวังให้เกิด อภิญญา ครับ ท่านใดที่บอกว่า อย่าหวังให้เกิดอภิญญา นั่น เราต้องฟังหูไว้หู นะครับ
ทั้งนี้เพราะ อภิญญา มี 6 ประการ ข้อที่ 6 ก็คือ หมดกิเลส
#25
โพสต์เมื่อ 25 October 2013 - 06:07 PM
...ตามมาสนับสนุนคอมเม้นท์ท่านหัดฝันน่ะครับ.. <http://th.wikipedia....org/wiki/อภิญญา> อภิญญา 6 คืออะไร </a>
....ถ้าไม่เอาอภิญญา ก็นิพพานไม่ได้ เพราะไม่มีญาณที่สิ้นจากกิเลสอาสวะ...หลุดพ้นไม่ได้ บรรลุธรรมอันสูงสุดไม่ได้
...หลายคนสับสนตามคนอื่นไปว่า "อย่าหลงในฤทธิ์" แต่อภิญญา ก็มีความหมายเหมือนเป็นฤทธิ์อย่างหนึ่ง แต่เป็นฤทธิ์ที่เกิดขึ้นเองจากสมาธิที่บริสุทธิ์ ซึ่งถ้าบริสุทธิ์มากก็จะสูงขึ้นไปตั้งแต่ อภิญญา 1 ไปถึง 6 ตามลำดับ .. การฝึกให้บรรลุอภิญญา 5 นั้นก็ไม่ถือว่ายาก อย่างฤาษี นักพรต ฯลฯ แต่ถ้าจะให้ได้อภิญญา 6 ต้องทิ้งสิ่งที่ติดมาทั้งหมดออกไป.. ทิ้งจนสะอาดใสแจ่ม ^ _ ^
#26
โพสต์เมื่อ 26 October 2013 - 10:17 PM
ผมนั่งมาประมาน 2 เดือนก่วายังมืดอยู่เลยบางที ก็ท้อนะครับ แต่ก็นั่งทุกวัน เป็นเพราะไม่มีบุญบารรมีหรือเป่าครับ แล้วต้องทำยังไงครับ จึงจะเข้าถึง ได้เร็วเร็ว ผมนั่งไม่ต่ำว่า30 นาที วัน 2-4 ครั้ง
ท้อได้แต่อย่าถอยน้ะครับอดทนใว้เดียวก็สว่างเองให้ทำความดีเยอะๆพยามล่ะและปล่อยวางการที่จะบรรลุมรรคผลผมได้ยินมาว่าแล้วแต่อินทรีบารมีแต่ล่ะบุคลคลแต่ต้องปฏิบัติไปเรื่อยๆคนที่เขาสำเร็จเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองสำเร็จแต่เขาจะพยามล่ะพบและชาติล่ะสันโยน5ให้ได้และทำความดีและช่วยผู้เหลือผู้คนให้ไปถึงธรรมน้ะครับ
#27
โพสต์เมื่อ 27 October 2013 - 08:28 AM
นั่งไปเรื่อยๆค่ะ อย่าอยากเห็น นั่งเฉยๆอ่ะค่ะ
ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ บุญของผู้ให้ย่อมเจริญ
#28
โพสต์เมื่อ 24 September 2014 - 07:44 PM
เคยได้ยินมาว่าครูบาอาจารย์คนสำคัญท่านหนึ่ง ใช้เวลาปฏิบัติธรรม 12 ปี กว่าจะได้เรื่องได้ราว
เพราะฉะนั้น อย่างเรา ๆ อย่าไปรีบร้อนเลย เพราะยิ่งร้อนก็ยิ่งรน ยิ่งรนก็ยิ่งห่างไกลจากความสงบ
เร็วที่สุดคือไม่อยาก ไม่คาดหวัง ถึงเวลานั่ง นั่งอย่างเดียว อย่าใจร้อน หากใจร้อน ไม่ว่าใครก็ช้าครับ
ใครก็ได้ครับ ช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่พูดถึงให้ทีครับ ว่าท่านคือใคร ปฏิบัติธรรมอย่างไร และเป็นอย่างไรประมาณนี้ครับ เพื่อเป็นกำลังใจแด่การปฏิบัติธรรมของผมเองครับ ^^
#29
โพสต์เมื่อ 24 September 2014 - 08:25 PM
#30
โพสต์เมื่อ 24 September 2014 - 08:28 PM
ขอบคุณอย่างมากครับผม