การสูบบุหรี่ไม่ได้ทำให้ขาดสติจริงหรือ?
#1
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 06:31 PM
ผมก็เลยอยากถามทุกๆท่านว่า มีความคิดเห็นอย่างไร แล้วเพราะเหตุใด การสูบบุหรี่จึงผิดศีลข้อ ๕ และการดื่มชากาแฟผิดศีลด้วยหรือไม่
Someday I'm gonna be free.
#2
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 07:13 PM
และอีกอย่าง คนที่สูบ ใครว่าขาดสติ ลองสูบดูแล้วจะรู้ว่า มันทั้งเหม็นทั้งเหนื่อย ทั้งเจ็บคอ เมื่อสูบแล้วก็หมดแรงปอด หรือบางท่านไม่มีกะใจจะทำงานก็มี แบบนี้ คนสติดีๆเค้าไม่สูบกันหรอกครับ ถึงจะเถียงว่า เห็นมีคนที่มีสติปัญญาสูบกันเยอะแยะ ก็จริงอยู่ สติปัญญาด้านอื่นเค้าดี แต่เค้าเสียสติตรงที่ต้องมาตกเป็นทาษเสพสิ่งบั่นทอนเหล่านี้อยู่ การสูบบุหรี่ จึงผิดศีลข้อ5 เต็มๆ
ส่วนชากาแฟทั้งหลาย ไม่ได้ทำให้ร่างกายเสื่อมเสียทรุดโทรม ถ้าจะติด ก็จัดเป็นการเสพคุ้นมากกว่า เช่นตื่นเช้าๆต้องซัดกาแฟก่อนทำอย่างอื่น ไม่งั้น ไม่มีแรง แบบนี้ก็จัดเป็นการเสพคุ้นจนเคยตัว แต่ไม่มีผลกระทบกับร่างกายมากมาย จัดว่าไม่ผิดศีลข้อ5ครับ
#3
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 08:36 PM
#4
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 09:27 PM
มันทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด หรือทำให้ปอดเสียหาย
ทำให้กายมนุษย์เสียหายทำงานไม่เต็มที่ เป็นการทำร้ายตัวเอง
#5
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 11:03 PM
เห็นด้วยกับท่านสิริปโภค่ะ
ที่สำคัญคือคนที่สูบบุรี่นั้นดูเหมือนจะมีสมาธิ ดูเป็นผู้ใหญ่เคร่งขรีม
แต่ลึกๆแล้ว ความจริงแล้วไม่ใช่ค่ะ เป็นความพยายามที่จะใช้สมอง
โดยเอาไอระเหยของสารเสพติดเข้าไปในร่างกายเพื่อกระตุ้นสมอง
และสภาพลมหายใจที่กำลังมัวซัว ในความทุกข์ที่ประสบอยู่
แต่ว่าไม่ใช่สมาธิแท้ค่ะ เพราะว่าเมื่อขาดบุหรี่ก็ขาดประสิทธิภาพ
ความคิดที่เค้นออกมาจากสมอง ตอนที่สูบบุหรี่ยังไม่ลึกซึ้งพอ
ที่จะแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา แต่อาจจะกดอารมณ์ไว้ได้ในขั้นนึงค่ะ
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#6
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 11:22 PM
สุรา แปลว่า สิ่งที่ทำให้เกิดความกล้า แบ่งออกเป็น ๕ ประเภทด้วยกัน ได้แก่
๑) สุราที่ทำด้วยแป้งข้าวเจ้า (ปิฏฺฐสุรา (มาจากคำว่า ปิฏฐํ แปลว่า แป้ง))
๒) สุราที่ทำด้วยขนม (ปูปสุรา (ปูป แปลว่า ขนม)) อาทิ ข้าวหมาก
๓) สุราที่ทำด้วยข้าวสุก (โอทนสุรา (โอทนะ แปลว่า ข้าว))
๔) สุราที่ทำด้วยแป้งเชื้อ (กิณฺณปกฺขิตฺตสุรา (กิณฺณ แปลว่า เชื้อ ปกฺขิตฺต แปลว่า ใส่))
๕) สุราที่ทำด้วยผลไม้ (สมฺภารสํยุตฺตสุรา) เช่น ไวน์องุ่น เป็นต้น
เมรัย แปลว่า สิ่งอันทำให้มึนเมา เมรัยนั้นมี ๕ ประเภทด้วยเช่นกัน ได้แก่
๑) เมรัยที่ได้จากการนำเอาดอกไม้ต่างๆ มาหมักไว้ (ปุปฺผาสว)
๒) เมรัยที่ได้จากการนำเอาผลไม้ต่างๆ มาหมักไว้ (ผลาสว)
๓) เมรัยที่ได้จากการนำเอาผลองุ่นมาหมักไว้ (มธวาสว)
๔) เมรัยที่ได้จากการนำเอา น้ำอ้อย น้ำตาล (ซึ่งที่เรารู้จักกันในปัจจุบันว่า "น้ำตาลเมา") มาหมักไว้ (คุฬาสว)
๕) เมรัยที่ได้จากการนำเอา มะขามป้อม สมอ มาหมักไว้ (สมฺภารสํยุตฺตาสว)
***สุราและเมรัยทั้งสองประการนี้ จะเรียกว่า "มัชชะ" ก็ได้ เพราะเป็นเหตุให้ผู้เสพมึนเมา นอกจากนี้ สิ่งเสพย์ติดทุกชนิด อาทิ ฝิ่น กัญชา เฮโรอีน กระทั่งหมาก พลู และบุหรี่ เป็นต้น ย่อมถือว่า เป็นมัชชะได้ทั้งสิ้น
ในสุตตนิบาตอรรถกถา ได้แสดงโทษของการดื่มสุราเมรัยไว้ มีนัยดังนี้
ธมฺมํ น ชานาติ
มาตาปิตุ อนฺตรายํ กโรติ
ปิตุปิ พุทฺธปจฺเจกพุทฺธตถาคตสาวกานมฺปิ อนุตรายํ กโรติ
ทิฏธมฺเม จ ครหํ สมฺปราเย จ ทุคฺคตึ อปราปริยาเย อุมฺมาทํ ปาปุณาติ"
แปลความว่า "ผู้ดื่มสุราอยู่เป็นนิจ ย่อมมิรู้จักผล มิรู้จักเหตุ ย่อมทำอันตรายแก่ทรัพย์หรือชีวิตร่างกายของมารดา บิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลาย ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ย่อมได้รับคำครหานินทาจากบัณฑิตและสัปปบุรุษ แลเมื่อละจากอัตภาพนี้ไปแล้วย่อมไปสู่ทุคติภพ สำหรับในภพที่ ๓ นับแต่อัตภาพนี้ (หมายถึงนับแต่ชาติที่เป็นมนุษย์และชาติที่ได้ไปเสวยวิบากผลในอบายภูมิต่างๆ ตามสมควรแก่กรรมแล้ว) ย่อมเป็นผู้มีสติฟั่นเฟือนและวิกลจริต"
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#7
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 11:44 PM
#8
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 06:46 AM
แต่ที่แน่ๆ ผมเลิกแล้ว
ที่แน่ๆ ผมเชื่อว่า สูบแล้ว "ลง ขุม5"
#9
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 06:54 AM
#10
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 07:35 AM
#11
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 07:37 AM
#12
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 07:55 AM
ขออนุโมทนาบุญ กับ ท่านขุนศึกฯ สำหรับ คำอธิบายแจกแจงได้ละเอียด ชัดเจน ตรงประเด็น และ น่าเชื่อถือได้ อยู่เป็นประจำเสมอมา ครับ และ ทุกๆท่าน ทั้งหลาย สำหรับ ความคิดเห็นที่ น่าคิด น่าศึกษา และน่าสนใจ ยิ่งด้วยเช่นกันครับ ตัวข้าพเจ้าเองนั้นก็ได้เรียนรู้เพิ่มเติม กับทุกๆท่านเป็นอย่างมากจริงๆ นะครับ
สาธุ...สาธุ...สาธุ...ครับ
ปล. ท่านที่สนใจสามารถ Download เป็นเล่มมาศึกษาเองได้ครับ คลิ๊กที่นี้
ไฟล์แนบ
ขอเชิญร่วม อนุโมทนาบุญ งานบุญกฐินพระราชทาน ที่ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก คลิ๊กที่นี้
Who am I?__>>> CLick Here <<< to see my answer Post # 7
.
รวมภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า: คลิ๊กที่นี้คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 58 files, 120.99 MB, for easy listening dharmas.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 121 really-good-to-read e-books, 295.67 MB.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Free Download Manager ช่วย Download ไฟล์ใหญ่ๆ ต่างๆ ฟรีครับฟรี
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Acrobat Reader V.5
.
The basic knowledge of Buddhism to become a better buddhist Edition 2 คลิ๊กที่นี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
-= Hillary Clinton =-.... >>>>>>> CLicK HeRe <<<<<< To Be wisher, To Be smarter, and To Know Better !!!
#13
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 08:08 AM
เอาเงินมาเผาเล่น
#14
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 08:30 AM
ท้ายนี้ท่านใดเห็นว่าข้อความการเลิกสูบบุหรี่นี้สามารถช่วยคนอื่นได้ ก็ขอให้ไปบอกกับพวกเขาด้วยเพื่อเป็นบุญเป็นกุศล ขออนุโมทนาสาธุครับ
#15
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 09:11 AM
#16
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 09:40 AM
#17
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 10:32 AM
#18
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 11:09 AM
ดื่มมาก ๆ จะเป็นไรหรือเปล่า เท่าที่สังเกตุก็ไม่เป็นไรนา
มีเพียงน้ำหนักมันขึ้นเอา ๆ บาปหรือเปล่าเนี่ย
คำตอบของท่านขุนศึกที่นำมาให้ดู ก็สงสัยตรงหมากพลูจะถือ
เป็นสิ่งเสพติดด้วยหรือ
#19
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 11:15 AM
คนสูบบุหรี่ แต่ไม่ทำให้ขาดสติ ผมว่าคนที่จะสูบบุหรี่ ขาดสติ ตั้งแต่คิด จะ สูบแล้วล่ะครับ
ลูกพระธรรม
#20
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 12:42 PM
จะสูบ จะดื่ม จะกิน ก็จะไม่เอาสิ่งไม่ดี-สิ่งที่ทำลายตนเองเข้าไปในร่างกาย
.........................................
ร่ายกายมนุษย์มีคุณค่ามาก เกิดมาเป็นมนุษย์ก็แสนยาก ร่างกายมนุษย์มีเอาไว้สำหรับใช้สร้างบุญบารมี เป็นอุปกรณ์การสร้างบารมีชั้นเยี่ยม หากเอาไปทำลาย หรือเจตนา จงใจทำให้เสื่อมโทรม ก็เป็นการทำลายโอกาสการสร้างบารมีของตนเอง และเป็นการเบียดเบียนตนเองด้วย
#21
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 01:33 PM
ที่มหาวิทยาลัยมีสูบกันเยอะมาก
เห็นแล้วต้องคอยอุดจมูกไว้ตลอด
ขนาดตอนนั่งสอบสอบผมยังไม่มีสมาธิจะทำข้อสอบเลยเพราะว่าคนข้างๆมีแต่กลิ่นบุหรี่
#22
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 01:54 PM
ปล่อยวางได้
เจตนา ดื่มเพื่อแก้อาการกระหาย
ไม่ได้เสพ ไม่ถึงกัปบาป
เลือกเอา ใจใสๆ
#23
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 02:25 PM
การเสพหลาย ๆ กรณีน่าจะอยู่ที่เจตนาด้วยน่ะครับ
#24
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 03:48 PM
#25
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 05:07 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#26
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 05:08 PM
๑. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากับสิ่งเป็นอกัปปิยะ ขัดต่อสิ่งเป็นกัปปิยะ สิ่งนั้นไม่ควร
๒. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งเป็นกัปปิยะ ขัดต่อสิ่งเป็นอกัปปิยะ สิ่งนั้นควร
๓. สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งเป็นอกัปปิยะ ขัดต่อสิ่งเป็นกัปปิยะ สิ่งนั้นไม่ควร
๔. สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งเป็นกัปปิยะ ขัดต่อสิ่งเป็นอกัปปิยะ สิ่งนั้นควร
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#27
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 05:28 PM
เห็นความคิดเห็นของแต่ละท่าน ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นแล้ว น่าชื่นใจจริงๆ สมกับเป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาโดยแท้
ในส่วนตัวแล้ว ได้เคยสนทนากับกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง ในหัวข้อที่ได้ตั้งกระทู้ไว้ เพราะว่าบุหรี่นั้น ต่างจากสิ่งเสพติดชนิดอื่น เนื่องจากไม่เห็นผลของการมึนเมาขาดสติที่ชัดเจน เหมือนสิ่งเสพติดชนิดอื่นๆ ซึ่งจากการสนทนา กัลยาณมิตรท่านนั้น ได้แสดงความคิดเห็นไว้ อย่างน่าสนใจทีเดียวครับ ผมก็เลยอยากทราบความคิดเห็น ของทุกท่านในเวบบอร์ดดูบ้าง ก็เลยตั้งกระทู้นี้ขึ้นครับ
ส่วนความเห็นที่กัลยาณมิตรท่านนั้นได้แสดงไว้ มีประมาณนี้ครับ คือ
การสูบบุหรี่ ถึงแม้ว่าฤทธิ์ของมัน จะไม่ได้มีผลไปกดประสาท ทำให้เกิดความมึนเมาและขาดสติ แต่การสูบบุหรี่นั้นจัดว่าผิดศีลข้อ ๕ แน่นอน เนื่องจากผู้สูบบุหรี่นั้น แค่คิดสูบสติก็ขาดหายไปเสียแล้ว เพราะสติเป็นเครื่องกำหนดให้เรารู้ว่า สิ่งไหนดีควรทำหรือไม่ดีไม่ควรทำ เมื่อรู้ว่าไม่ดีแล้วยังคิดทำ นั่นแหละขาดสติแล้ว และเพราะสติขาดนั่นแหละ จึงได้มัวเมาไปสูบบุหรี่ซึ่งไม่ดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า อันมีแต่โทษไม่มีประโยชน์แก่ร่างกายใดๆเลย ทำร้ายร่างกายมนุษย์ ซึ่งถือว่าเป็นกายที่มีค่ายิ่ง เพราะเป็นกายเดียวที่สร้างบารมีได้เต็มที่ การสูบบุหรี่จึงมัวเมาขาดสติแน่นอน และจึงผิดศีลข้อ ๕ แน่นอนด้วย(เพราะขาดสติ) ดังเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น
ส่วนชาหรือกาแฟนั้น ไม่ได้ทำให้ขาดสติ และถ้าไม่บริโภคเกินพอดี ก็ไม่มีผลร้ายต่อร่างกาย และบางผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ยังพบว่า การดื่มชาหรือกาแฟในบริมาณที่เหมาะสม ในแต่ละวัน ยังมีผลดีต่อสุขภาพด้วย ซึ่งแตกต่างไปจากไวน์ ถึงแม้ว่าไวน์ จะมีบางผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์เช่นกันว่ามีประโยชน์ แต่ไวน์เป็นเครื่องดื่มมึนเมาที่ทำให้ขาดสติแน่นอน ดังนั้น เนื่องด้วยเหตุผลข้างต้น จึงสรุปได้ว่า การดื่มกาเฟ ไม่ทำให้ขาดสติและไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกาย(ถ้าไม่บริโภคเกินพอดี) การดื่มกาเฟจึงไม่ผิดศีลข้อ ๕
Someday I'm gonna be free.
#28
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 08:38 PM
1. ตัวเหม็น ปากเหม็น
2. ฟันดำ เหงือกดำ
3. ทำร้ายร่างกายตนเอง สร้างความเสี่ยงกับการเป็นมะเร็ง
4. ทำร้ายร่างกายผู้อื่น ผู้ที่อยู่ใกล้มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้เช่นกัน
5. แพง เสียเงินโดยใช่เหตุ
6. ติดแล้วเลิกยาก ทรมานมาก
7. เหม็น สร้างความรำคาญให้ผู้ที่อยู่รอบข้าง
8. เป็นที่รังเกียจของสังคม
9. แสดงถึงความไม่มีปัญญา
10. เวลาทิ้ง ถ้าไม่ระวังอาจเกิดไฟไหม้ ได้ เกิดมาแล้วหลายเคสในอดีต
11. สูบแล้วมึน เมา ขาดสติ ทำให้ขี้เกียจ และ ใจหมอง ต้องไปตกนรก ครับ
และยังมีอีกมากมาย
ข้อดีของการสูบบุหรี่
-จะบอกว่าไม่มีข้อดีเลย
ใครมีข้อดี หรือ ข้อเสียเพิ่มเต็ม ก็ช่วยกัน ครับ
ประเทศไทย จงปลอดบุหรี่เถอะครับ
#29
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 11:15 PM
คนที่สูบบุหรี่ คือคนที่ทำลายสมบัติพระศาสนาโดยไม่รู้ตัว
ทำให้เกิดความมึนเมาและขาดสติ
แต่การสูบบุหรี่นั้นจัดว่าผิดศีลข้อ ๕ แน่นอน
เนื่องจากผู้สูบบุหรี่นั้น แค่คิดสูบสติก็ขาดหายไปเสียแล้ว
เพราะสติเป็นเครื่องกำหนดให้เรารู้ว่า สิ่งไหนดีควรทำหรือไม่ดีไม่ควรทำ
เมื่อรู้ว่าไม่ดีแล้วยังคิดทำ นั่นแหละขาดสติแล้ว และเพราะสติขาดนั่นแหละ
จึงได้มัวเมาไปสูบบุหรี่ซึ่งไม่ดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อันมีแต่โทษไม่มีประโยชน์แก่ร่างกายใดๆเลย ทำร้ายร่างกายมนุษย์
ซึ่งถือว่าเป็นกายที่มีค่ายิ่ง เพราะเป็นกายเดียวที่สร้างบารมีได้เต็มที่
การสูบบุหรี่จึงมัวเมาขาดสติแน่นอน
และจึงผิดศีลข้อ ๕ แน่นอนด้วย(เพราะขาดสติ) ดังเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น
ส่วนเรื่องความหมายและขอบเขตของคำว่า
"สุราเมรัยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี"
ท่านขุนศึกฯ อธิบายแจกแจงได้ละเอียด ชัดเจนดีครับ
ช้างขุนศึกมาแล้ว ก็ต้องหลีกทางให้หล่ะครับ
ไม่งั้นเดี๋ยวตัวแบน แต๊ด แต๋ 555 +
แต่คำแนะนำเรื่องหลักของมหาปเทส ๔
ค่อนข้างกว้างมาก
ใครหนอจะตัดสิน กำหนดรายละเอียดที่ชัดเจน
เป็นบรรทัดฐาน ให้เหมาะสมกับยุคสมัยนี้ได้
ข้อเสียของการสูบบุหรี่ : ยิ่งสูบ ยิ่งตายเร็ว
ข้อดีของการสูบบุหรี่ : ยิ่งสูบ ยิ่งมีอายุยืนยาว ( ในมหานรก ขุม 5 5 5 )
และการดื่มชากาแฟผิดศีลด้วยหรือไม่
ก็ไม่มีผลร้ายต่อร่างกาย และบางผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ยังพบว่า
การดื่มชาหรือกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม ในแต่ละวัน ยังมีผลดีต่อสุขภาพด้วย
ซึ่งแตกต่างไปจากไวน์ ถึงแม้ว่าไวน์ จะมีบางผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์เช่นกันว่ามีประโยชน์
แต่ไวน์เป็นเครื่องดื่มมึนเมาที่ทำให้ขาดสติแน่นอน ดังนั้น
เนื่องด้วยเหตุผลข้างต้น จึงสรุปได้ว่า การดื่มกาเฟ
ไม่ทำให้ขาดสติและไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกาย(ถ้าไม่บริโภคเกินพอดี)
การดื่มกาเฟจึงไม่ผิดศีลข้อ ๕
แหม อยากตอบแบบนี้ เหมือนกัน อิ อิ
แต่ปัญญาไม่ถึง แหะๆ
คุณ ถูกส่วน ช่างตอบแจ่มจริงเจียว
จึงขอลอกคำตอบแล้วกันครับ
เห็นคุณ ถูกส่วนเอ่ยถึงเรื่อง กาแฟ จึงตัดมาแปะเป็นข้อมูลเพิ่มเติมครับ
…. ส่วนเรื่อง ยา-กาแฟ นั้น หลายท่านอาจประหลาดใจว่า
“ กาแฟ ” จะเป็น “ ยา ” ได้อย่างไร
ทั้งนี้เพราะคนส่วนมาก
ได้รับข้อมูลว่า “ ถ้าอยากสุขภาพดี ต้องงดเว้นการดื่มชากาแฟเด็ดขาด ”
… แต่นั้นมันเมื่อก่อน … ก่อนที่จะรู้ผลการวิจัย จากแพทย์และนักวิจัยชั้นนำทั่วโลก …
ที่ช่วยกันศึกษาวิจัย
จากผลการวิจัยทำให้เราทราบว่า …แท้จริงแล้ว .. .
กาแฟ …ไม่ได้เลวร้ายต่อสุขภาพ … จนถึงต้องห้ามดื่มเด็ดขาดหรอก …
และ แท้จริง แล้ว …กาแฟ ..มีคุณประโยชน์ สามารถใช้เป็นยาบำบัดรักษาโรคได้เช่นกัน …
เมื่อเป็นดังนี้ … คงไม่ประหลาดใจถ้า
ผมจะเรียก …กาแฟ … ว่าเป็น .. ยา …ชนิดหนึ่งเหมือนกัน …
ใช่ … กาแฟ …ก็เหมือนทุกสรรพสิ่งบนโลก …
ที่มีลักษณะ “ ทวิลักษณ์ ”
คือมี คุณและโทษ อยู่ในสิ่งๆเดียวกัน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่ตัวคุณ …
จะสามารถแสวงหาคุณประโยชน์จากสิ่งๆนั้นได้อย่างไร …
กาแฟ มาจากภาษาละตินว่า Coffea
ในกาแฟมีสาร คาเฟอีน ( Caffeine ) ที่คนทั่วไปว่ามีแต่โทษ จึงหลีกเลี่ยงดื่มกาแฟ
แท้ที่จริงแล้วไม่เฉพาะแต่กาแฟเท่านั้นที่มี คาเฟอีน
แม้ ใน ช็อคโคแลต หรือ Diet Coke ก็มีคาเฟอีน เช่นกัน
มีข้อแนะนำว่า ปริมาณของ คาเฟอีนที่ร่างกายรับได้โดยไม่มีอันตราย
ไม่ควรเกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน
ซึ่งในกาแฟสำเร็จรูป 1 ถ้วย (180 ซี.ซี. ) มีปริมาณ คาเฟอีน ~ 50 มิลลิกรัม
เท่ากับดื่มได้ ไม่เกิน 5 ถ้วยต่อวัน
ในกาแฟบดเช่น Expresso 1 ถ้วย ( 60 ซี.ซี. )
มีปริมาณ คาเฟอีน ~ 120 มิลลิกรัม หรือ 2 ถ้วยต่อวัน
Capuccino 1 ถ้วย ( 200 ซี.ซี. )
มีปริมาณ คาเฟอีน ~ 120 มิลลิกรัม หรือ 2 ถ้วยต่อวัน
และจากการศึกษาวิจัย พบว่า
๑. กาแฟ ใช้แก้-บรรเทา อาการปวดศรีษะได้
๒. กาแฟ ใช้บรรเทา-รักษา อาการหืด หอบ ได้
๓. กาแฟ ช่วยเพิ่มความอดทนในการออกกำลังกาย
๔. กาแฟ ใช้ป้องกันหลอดเลือดไม่ใหเปราะง่าย ซึ่งเท่ากับลดอัตราเสี่ยงของโรคหัวใจ
๕. กาแฟ ช่วยให้ ผู้สูงอายุรู้สึก กระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉง นอกจากนี้ยังมีอื่นๆอีก เช่น
คณะแพทย์วิจัย จาก ประเทศอิตาลี พบว่า
คาเฟอีน ในกาแฟ มีคุณสมบัติทางเคมี
ที่มีฤทธิใช้เป็นยา ขยายหลอดลมช่วยบรรเทาอาการหืดหอบได้
จึงทดลองใช้กับผู้ป่วยโรคหืดหอบ จำนวนกว่า 70,000 ราย ผลปรากฏ คือ
- ผู้ป่วยที่ดื่มกาแฟ วันละ 1 ถ้วย จะลดอาการหอบได้ 5 %
- ผู้ป่วยที่ดื่มกาแฟ วันละ 3 ถ้วย จะลดอาการหอบได้ 20 % ( ห้ามดื่มเกินวันละ 4 ถ้วย )
และเจ้า คาเฟอีน นี้แหละที่ศาสตราจารย์ด้าน จิตวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์
ในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า
“ คาเฟอีน ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ทำกิจวัตรประจำวันดีขึ้น และช่วยให้เล่นกีฬาได้นานขึ้น
เพราะ คาเฟอีน ช่วยกระตุ้นร่างกายจ่ายกรดไขมัน(ชนิดหนึ่ง) ทำให้ร่างกายอึดอดทน มากขึ้น ”
ส่วนคณะแพทย์วิจัย ที่มหาวิทยาลัย ซินซินเนติ , สหรัฐอเมริกา วิจัยพบว่า ….
“ ผู้สูงอายุกว่า 50 ปี ที่ยังดื่มกาแฟ ล้วนสดชื่น กระฉับกระเฉง
มากกว่าผู้สูงอายุวัยเดียวกันที่ไม่ดื่มกาแฟ ”
นอกจากนี้ … ท่านชายที่ต้องการ … ลดน้ำหนัก …
คณะแพทย์วิจัย จาก แคนนาดา แนะนำว่า
“ หากท่านดื่มกาแฟก่อนทานอาหาร ทำให้ท่านทานอาหารลดลงถึง 20 % ”
มาดูที่มหาวิทยาลัย ฮาวาร์ด อันเลื่องชื่อระบือนาม พบว่า
“ กาแฟ 1 ถ้วย ช่วยเร่งร่างกายเผาผลาญอาหาร ในช่วง 3 ชั่วโมงแรกหลังทานอาหาร ได้มากขึ้น ”
ทั้งหมดนี้อยากบอกว่า …
“ ทุกสรรพสิ่งที่แวดล้อมเรา ทุกเหตุการณ์สถานการณ์ ที่เข้ามาสู่ชีวิต
เราสามารถมีประโยชน์แก่เราได้ …
ถ้า
เรามีปัญญามากพอ…มีโยนิโสนมสิการมากพอ …
วางใจอยู่ในบุญ ในศกก.ฐานที่ ๗ … เราสามารถ ชนะได้ทุกเมื่อ ”
สำคัญที่เราต้องฉลาดมากพอที่จะ ปรับ ข้อด้อย ให้เป็น ข้อดี พัฒนาสิ่งดีๆให้ดียิ่งขึ้น
… เหมือนบุรุษผู้แยบคาย เห็นมหาสมบัติในซากหนูตาย …
… เหมือนบุรุษผู้มีโยนิโสนมสิการดี ปรับเรื่อง รกใจ เป็น ยกใจ ข้าม-ชนะอุปสรรค ฉะนั้น …
ใกล้ขึ้นต้นปีใหม่แล้ว … เราควรตระหนักถึงความจริงที่ว่า …
๑. สิ่งที่ดี สะอาด บริสุทธิ์ มีอยู่ในกายและใจของเรา แต่เราดูเบา ลืมให้ความสำคัญ …
๒. สิ่งที่ไม่ดี ก็มีอยู่เช่นกัน แต่อยู่ในวิสัยที่เราแก้ไขได้
- ในส่วนสุขภาพกาย เราสามารถบำบัดสารพัดโรคได้ … ด้วยอะไรเอ่ย ?
ใช่ เก่งมาก … ด้วย วารีบำบัด
อย่าลืม “ วิชาน้ำ ” กันนะ ดื่มวันละ ~ 3 – 4 ลิตร ใน 4 ช่วงเวลาทอง
- ในด้านสุขภาพใจ เราสามารถ ชำระใจให้ใส สะอาดได้ ด้วยการ …
หมั่นนึกถึงบุญ นึกถึงพระรัตนตรัยขาวใสภายใน
ระลึกถึงครูธรรมกายในกลางใจเรา …
และหมั่นนั่งธรรมะ ฝึก หยุด นิ่ง เฉย อย่างเบา สบ๊ายสบาย …
นึกถึงว่าเรา ต้องเห็นแจ้งแทงตลอดในวิชชาธรรมกายให้ได้ …
ขอกราบอนุโมทนาบุญ ในการสร้างบารมีของทุกๆท่าน ด้วยนะครับ สาธุ ...
ที่มา http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=1774
ไฟล์แนบ
#30
โพสต์เมื่อ 06 October 2006 - 11:50 PM