กองเสบียงคืออะไร ตัวเลข072คืออะไร ปั่นโพสคืออะไร
#1
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 08:59 AM
#2
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 09:14 AM
072 คือ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 เหนือสะดือ 2 นิ้วมือ
การปั่นโพสต์ ... ก็น่าจะรู้นี่คะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#3
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 10:17 AM
เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน
#4
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 10:30 AM
#5
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 10:47 AM
แต่เรื่องกองเสบียงนั้น เปรียบเสมือนกองทัพทางโลก เวลาจะไปทำศึกสงครามต่างแดน เขาก็จะต้องมีทหารอยู่ประมาณ 4 ฝ่ายใหญ่ๆ น่ะครับ ได้แก่
1. กองรบ คือ กองทหารที่พร้อมรบลุยข้าศึกศัตรู
2. กองเผยแผ่ ชักนำผู้เข้ามาร่วมทัพ และฝึกสอนให้มีฝีมือ เพื่อไปทำหน้าที่ต่างๆ (ใน 4 กอง) ตามความชอบ ความถนัด
3. กองก่อสร้าง ซ่อมแซม สร้างที่อยู่อาศัย รวมถึง รักษาพยาบาลผู้ป่วยด้วยนะครับ
4. กองเสบียง สนับสนุนด้านเสบียงอาหาร
เช่นเดียวกัน กองทัพทางธรรมที่จะไปประหารกิเลสให้คนหมู่มากๆ ก็จะต้องมี 4 ฝ่ายเช่นกัน
1. กองทำวิชชา เปรียบเสมือน กองรบ หรือ กองปราบ
2. กองเผยแผ่ คอยชักชวนคนใหม่ และสั่งสอนผู้คน เรียกอีกอย่างว่า กองโปรด
3. กองปฏิสังขาร คอยก่อสร้างที่อยู่อาศัย ที่ประกอบพิธีกรรม รักษาพยาบาลต่างๆ
4. กองเสบียง สนับสนุน ปัจจัย 4 ให้ทั้งสามกอง ข้างต้น
#6
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 10:48 AM
ส่วนกองเสบียงนี่ก็คือทัพหลังสุดของวงบุญเราไงคะ
วงบุญเรานี้มี 3 กองคือ
กองปราบ คือ ท่านที่ทำวิชชา ทำความเพียรและปราบในละเอียด
กองเผยแผ่ คือ กองที่มีหน้าที่เผยแผ่เรียกหมู่คณะกลับมา ช่วยงาน เช่นอาสาสมัคร อุบาสก อุบาสิกา พระภิกษุสงฆ์
กองเสบียง คือ สาธุชนผู้มีบุญ ผู้ที่ต้องการจะติดตามหมู่คณะ สร้างบุญเต็มที่ เป็นกองเสบียงให้แก่หมู่คณะไงคะ
แต่ทุกกองต่างก็ต้องเขาถึงดวงใสๆเป็นอย่างต่ำ ยกเว้นกองปราบนี่ต้องเก่งสุดๆเท่านั้นค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#7
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 10:49 AM
เรื่องนี้ต้องขอเรียนให้ท่านทราบว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการอ่านกระทู้แต่อย่างใดเลยนะครับ แต่สิ่งที่จัดว่าเป็นการปั่นโพสต์นั้น คือ การที่ท่านโพสต์ตอบกระทู้ด้วยจำนวนโพสต์ที่มากเกินกว่าที่ระบบได้กำหนดไว้ ซึ่งสิ่งที่มากเกินควรนี้ หากเป็นไปในทางสร้างสรรค์และก่อให้เกิดประโยชน์ ย่อมจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาให้แก่ชุมชนเว็บบอร์ดตลอดจนเพื่อนสมาชิกที่เข้ามาโพสต์ธรรมะเพื่อเป็น "ธรรมทาน" และโพสต์ให้สาระความรู้อันเป็นประโยชน์เพื่อเป็น "วิทยาทาน" ในทางตรงกันข้าม หากการโพสต์นั้น แม้เป็นการโพสต์ด้วยจำนวนกระทู้ที่มากอยู่ก็จริง แต่สิ่งที่นำมาโพสต์เป็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระ เป็นสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ไม่ได้ยกจิตใจให้ไต่เข้าสู่ทางแห่งมรรคผลนิพพาน และเป็นสิ่งที่เมื่อเพื่อนสมาชิกในชุมชนได้เข้ามาบริโภคข้อมูลด้วยการอ่าน แล้วเป็นมูลเหตุอันนำมาซึ่งความร้อนกาย ร้อนใจ ท่านก็ไม่ควรนำมาโพสต์ในชุมชนแห่งนี้ครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#8
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 11:07 AM
#9
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 11:16 AM
เอ๋...
ปฏิสังขารนี่กองเดียวกับเสบียงไม่ใช่เหรอคะ
หนูงง
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#10
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 11:37 AM
ที่นี้ น้องอาจจะงง ว่า อ้าวแล้วถ้าทำหน้าที่เหล่านี้ โดยที่ยังไม่บวชพระล่ะ (คือ ยังเป็นโยมเหมือนพวกกองเสบียง) นั่นเขาเรียกว่า ควบ 2 ตำแหน่ง น่ะครับ
#11
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 11:49 AM
get แล้วค่ะ
วันนี้ได้ความรู้ใหม่
ขอบคุณค่ะพี่หัดฝัน
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#12
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 01:54 PM
เพราะ เท่า ที่ โพสต์ เหมือน จะ ไร้ สา ระ และ ร้อน กาย ร้อน ใจ
ไม่ ได้ ยก ใจ ให้ เข้า ใกล้ พระ นิพพาน
อยู่ เหมือน กัน แต่ บาง ที ก็ แยก ไม่ ค่อย ออก
ด้วย ความ อ่อน หัด
จึง ขอ คำ ชี้ แนะ ค่ะ และ ตรวจ สอบ ให้ ด้วย ค่ะ
แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป
แต่..
เ ป้ า ห ม า ย ไ ม่ เ ป ลี่ ย น แ ป ร
#13
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 02:15 PM
การจะรบต้องมีฝ่ายอำนวยการ(เสนาธิการ) แจ้งนโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และหนทางปฏิบัติ แก่
1.หน่วยรบหลัก ได้แก่ ทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ ต้องหมั่นศึกษาศัตรู รู้เขารู้เรา ฝึกทักษะ-วิชชา วิจัย วิเคราะห์ ให้เกิดความชำนาญแม่นยำ พัฒนายุทธวิธีให้ยิ่งยวด
2.หน่วยช่วยรบ ได้แก่ ทหารสื่อสาร ทหารฝ่ายข่าว ต้องประชาสัมพันธ์ เผยแผ่ความรู้ ทำการทูต เป็นล่าม ปฏิบัติการจิตวิทยา ช่วยจัดยาตราทัพ ระดมพล เอกสาร ตำรา ตลอดจนวงรอบการฝึกเบื้องต้น
3.หน่วยสนับสนุนการรบ ได้แก่ ทหารช่าง ทหารเสนารักษ์ ทหารสรรพาวุธ ช่วยสร้างเสริมปราการ สถานที่ให้แกร่ง มั่นคง ซ่อมแซม ปฏิสังขรณ์ อนุรักษ์กำลังรบ เสริมอาวุธยุทโธปกรณ์
4.หน่วยสนับสนุนการช่วยรบ ได้แก่ ทหารพลาธิการ ทหารขนส่ง ต้องเตรียมเสบียง ทั้งเครื่องอุปโภค บริโภค พาหนะเคลื่อนย้าย กำลังสำรอง ให้เพียงพอกับการรบ พร้อมส่งหน่วยต่างๆให้ทันเวลา
แต่ละหน่วยจะอยู่รอดด้วยตนเองนั้นยาก การจะรบชนะนั้น ทุกฝ่ายต้องรู้จักตนเอง หน้าที่ความรับผิดชอบ การเกื้อกูลและต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน
ที่สำคัญ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ทุกหน่วยจึงขาด"เสบียง"ไม่ได้
#14
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 02:58 PM
1. กองทำวิชชา เปรียบเสมือน กองรบ หรือ กองปราบ
2. กองเผยแผ่ คอยชักชวนคนใหม่ และสั่งสอนผู้คน เรียกอีกอย่างว่า กองโปรด
3. กองปฏิสังขาร คอยก่อสร้างที่อยู่อาศัย ที่ประกอบพิธีกรรม รักษาพยาบาลต่างๆ
4. กองเสบียง สนับสนุน ปัจจัย 4 ให้ทั้งสามกอง ข้างต้น
ตามที่ได้ยินมาเป็นเช่นนั้นครับ แต่อยากจะฝากข้อคิดนิดนึง เพราะสังเกตจากหลายคนๆ เวลาพูดถึง 4 กองนี้ เหมือนจะพูดทำนองว่า กองเสบียงเป็นกองที่เหมือนเป็นกองที่บุญน้อยที่สุด หรือ ไม่ค่อยสำคัญเท่าหรือด้อยกว่ากองอื่น (รู้สึกได้ประมาณนั้น)
อยากจะบอกว่า กองที่ 4 ฝ่ายนั้น สำคัญเท่าเทียมกันนะครับ ภาพรวม เช่น
1) มีอาคาร ฐานทัพ มีอาหารอุดมสมบูรณ์ แต่ไม่มีทหารหาญชาญศึก ก็รอแต่วันที่ข้าศึกมาตีแตก พ่ายแพ้ นี่คือ ความสำคัญของ กองทำวิชชา
2) มีทหารหาญออกรบ มีอาหารอุดมสมบูรณ์ แต่การรบย่อมมีการสูญเสียทหารบ้างเป็นธรรมดา ก็ต้องมีคนคอยนำทหารชุดใหม่มาเสริมกองทัพ เพราะถ้าไม่มีทหารใหม่มาเสริมทัพตลอดเวลา รบยังไงๆ จำนวนทหารหาญก็มีแต่จะลดน้อยถอยลง ลางแพ้ก็ค่อยๆ คืบคลานมา นี่คือ ความสำคัญของ กองเผยแผ่
3) มีทหารเก่งกล้ามากมาย ข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ แต่ไม่มีฐานทัพ ที่บัญชาการ ที่พักผ่อนนอนหลับอย่างอุ่นใจ รบยังไงก็แพ้ นี่คือ ความสำคัญของ กองปฏิสังขรณ์
4) มีทหารหาญมากมายออกไปรบ มีฐานทัพใหญ่โต แต่ไม่มีข้าว ไม่มีน้ำกิน รบยังไงก็รบแพ้ เพราะหมดแรง ไม่สามารถสู้ศึกที่ยาวนานเช่นการเดินทางไปสู่ที่สุดแห่งธรรมได้ นี่คือ ความสำคัญของ กองเสบียง
จะว่าไปทั้ง 4 กองก็คือ ไม้ 4 อันที่ขัดค้ำยันกันอยู่ ขาดอันไหนไป ไม้ทั้ง 4 แท่งก็ล้มแน่นอนครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#15
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 04:51 PM
แต่ก็เข้าใจนะว่า หลายคนมองว่าฝ่ายเสบียงเนี่ยอาจจะดูเหมือนเป็นง่ายกว่าฝ่ายอื่น เพราะมีจำนวนสมาชิกเยอะ แต่ถ้าเป็นเสบียงก็อย่ามัวแต่น้อยอกน้อยใจเลย ให้เราเป็นเสบียงชั้นดี (วัดที่ความทุ่มเทตั้งใจ ไม่ใช่ยอดปัจจัยนะคะ) และปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย รับรองค่ะว่าไม่ว่าฝ่ายไหน ตามติด-ติดตามแน่ๆ
ที่น้อง Omena บอกว่ากองปราบเนี่ย ต้องเก่งสุดๆเท่านั้น ยังไม่ครบความหมายนะจ๊ะ ใช่จ้ะ ต้องปฏิบัติธรรมได้ผลดีสุดๆ จนสามารถศึกษาวิชชาธรรมกายได้ (หรือที่เรียกกันว่าทำวิชชา ไม่เหมือนกับเข้าถึงพระธรรมกายนะคะ) ซึ่งฝ่ายเนี้ย มีน้อย เลยพิเศษกว่าตรงนี้ แต่ว่าอาจจะพูดไม่เก่ง เผยแผ่ สอนคนอื่นไม่ได้ หรือว่าอาจจะ "หาปัจจัย" ไม่เก่งก็ได้จ้า หนูอาจจะเข้าใจอยู่แล้วล่ะ แต่โพสต์ไว้ไม่ครบ เดี๋ยวคนอื่นอ่านแล้วเข้าใจผิดน๊า
#16
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 06:01 PM
ในขณะเดียวกัน ถ้าท่านใดเขามีใจแน่วแน่ที่จะประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อบวชเป็นพระเป็นอุบาสิกา นี่ก็ต้องเชียร์เขาเต็มที่นะครับ เพื่อให้เขามีกำลังใจฟันฝ่าไป เพราะเราต้องยอมรับนะครับว่า การเป็นพระเป็นอุบาสิกาในวัด ยิ่งเป็นพระหรืออุบาสิกาที่ต้องทำวิชชาด้วยแล้ว ยิ่งยากกว่า การเป็น สาธุชนทั่วๆไปแน่นอน เมื่อเป็นได้ยากกว่า เราก็ควรให้การยกย่องมากกว่าน่ะครับ ผู้เป็นทำหน้าที่นี้ท่านจะได้มีกำลังใจ เหมือนที่หลวงพ่อท่านใช้คำว่า ผู้ได้โอกาส ผู้ปล่อยโอกาส ผู้ด้อยโอกาส นั่นแหละครับ
ใช่ครับแม้ว่า ทั้ง 4 ฝ่ายล้วนสำคัญ แต่หากใครไปยกย่อง ผู้ครองเรีอน ยิ่งกว่า หรือแม้แต่เสมอกับ ผู้บวชพระ (ไม่ต้องพูดถึงผู้ที่ได้ทำวิชชา) แล้วล่ะก็ แล้วกองทัพธรรม จะมีใครไปทำหน้าที่เป็นทหารล่ะครับ
#17
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 08:52 PM
เห็นด้วยกับคุณหัดฝันครับ การครองเรือนเป็นสิ่งที่มนุษย์คุ้นเคยมากกว่าการออกบวช ดังนั้น ถ้าไม่ยกย่องผู้สละเรือนแล้ว ก็คงจะหาผู้เสียสละอุทิศชีวิตให้พระศาสนาได้ยากครับ ดังนั้นเราก็ควรที่จะต้องยกย่องครับ เพราะการออกบวชสละเรือนนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
แต่ถ้าพูดในเรื่องความสำคัญ ทั้ง 4 ฝ่ายมีความสำคัญเท่ากันหมดครับ เพียงแต่ แบ่งงานกันคนละหน้าที่เท่านั้นเอง
การไปพูดว่า กองนั้นดีกว่ากองนี้ กองนี้ด้อยกว่ากองนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะทำให้กองทัพเกิดการแตกแยก ดูแคลนกันเองแล้ว ยังเป็นการทำให้การทำงานของกองทัพธรรมขาดความสามัคคี ขาดความพร้อมเพรียงกัน และ ขยายงานพระศาสนาได้ช้าครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#18
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 11:25 PM
#19
โพสต์เมื่อ 20 August 2006 - 06:22 AM
หลวงพ่อเพิ่งกล่าวไม่นานมานี้ว่า กองเสบียงจะเรียกสมาชิกในวงบุญ ที่ยังคงทำมาหากินอยู่ภายนอก
ความจริงแล้วใน 1 ท่าน ก็อาจจะควบ 2-3 หน้าที่ได้ แต่ก็จะมีหน้าที่หลักที่ตนเองทำอยู่เป็นประจำ
ส่วนหน้าที่เสริมก็อาจจะทำเป็นประจำ แต่ไม่เต็มเวลา เช่น
ฝ่ายเสบียงบางท่านที่มีอาชีพของตน อยู่ภายนอกวัด ก็อาจจะรับหน้าที่ช่วยงานบุญแปลภาษาทุกอาทิตย์
ช่วยต้อนรับชาวต่างชาติ และนำชมวัด ในโอกาสต่างๆที่ทางวัดส่งข่าวให้มาช่วยงาน
นี่ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ฝ่ายเผยแผ่ เป็นอันดับรองที่ไม่เต็มเวลาค่ะ
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#20
โพสต์เมื่อ 20 August 2006 - 07:00 AM
ใช่แล้วค่ะว่าไม่จำเป็น
แต่ถ้าหากมีครอบครัว ก็เป็นได้แค่กองเสบียง (จนกว่าจะตัดใจได้)
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#21
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 12:15 AM
ไม่น่าจะใช่นะครับ เผยแผ่บางคนมีครอบครัวก็มี เคยมีครอบครัวก็มี เช่น ป้าถวิล น้าใส เป็นต้น ปฎิสังขรณ์ด้านก่อสร้างก็อาจจะมีครอบครัวได้ ตามความเข้าใจของผม
แต่ที่แน่ๆ ถ้าฝ่ายทำวิชชา อันนี้ชัดเจนฟันธงได้ว่าไม่มีครอบครัวแน่นอนครับ เพราะ ความบริสุทธิ์จะไม่เพียงพอ แต่สำหรับ 3 ฝ่ายที่เหลือไม่แน่ครับ อย่างพุทธันดรที่แล้วก็ได้ยินมาว่า มีฝ่ายเผยแผ่ที่เป็นอุบาสกที่คงแก่เรียนก็มีนิครับ อย่างนักรบปัจจันตชนบทที่ทำหน้าที่ผู้นำบุญพาคนมาวัด ก็อาจจะเรียกว่าเป็นฝ่ายเผยแผ่แบบหนึ่งเหมือนกัน จริงไหมครับ
ผมไม่อยากให้ยึดติดว่า ทุกกองยกเว้นฝ่ายเสบียงต้องอยู่ในวัดหมด เผยแผ่กับปฎิสังขรณ์อาจจะอยู่นอกวัดแบบเสบียงก็เป็นไปได้ อย่างเจ้าหน้าที่วิศวกรบางคนที่ช่วยดูแลการก่อสร้างโครงการต่างๆ ไงครับ เค้าก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่วัด บางคนก็ไปกลับวัด ก็ถือได้ว้า เป็นฝ่ายปฎิสังขรณ์เหมือนกัน
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#22
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 02:42 AM
ป้าถวิลท่านบวชเป็นแม่ชี อุบาสิกาแล้ว น้าใสท่านก็ประพฤติพรหมจรรย์
ท่านทั้ง 2 ไม่ถือว่ามีครอบครัว เพราะท่านตัดทิ้งหมดแล้วนะคะ
อุบาสกที่คงแก่เรียนไม่จำเป็นจะต้องแต่งงานนี่คะ
ฝ่ายเผยแผ่กับกองเสบียงจะมีเพียงเส้นบางๆกั้นนะคะ
ผ่ายเผยแผ่นี่เป็นคนในวัดเท่านั้นนะคะ
คุณบุญชัยท่านก็ทำหน้าที่เผยแผ่ชวนคนมาวัดเหมือนกันนะคะ แต่ว่าคุณบุญชัยเป็นกองเสบียง
คนทุกคนล่ะค่ะที่ชวนคนมาวัด ถ้านับแบบนั้นวงบุญเราก็ไม่มีกองเสบียงเลยนะคะ มีแต่เผยแผ่
อยากหรือไม่อยากมันก็มีแบบของมันที่มาอยู่แล้วนะคะ
ถ้าเอาหนูเป็นตัวอย่างดู เมื่อก่อนหนูคิดว่า หนูไม่อยากให้ต้องหยุดใจถึงจะเข้าถึงธรรม หนูจึงไม่ทำตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอน แต่มันก็ไม่ไปไหน เพราะถ้าใจไม่หยุดมันก็ไม่ดับ ไม่ดับมันก็ไม่เกิด มันก็ต้องติดอยู่กับทางโลกไปตลอด
คุณครูไม่ใหญ่ท่านว่าไว้ชัดเจนเลยค่ะว่า"แต่งงานเมื่อใด ต้องตกไปอยู่กองเสบียงทันที" เพราะการที่เราจะปีนเขาไปสู่ที่สูงนั้น เราจะขนบ้านเราไปมันก็ไม่ได้ ต้องไปตัวเปล่า มีของที่จำเป็นติดตัวไปแค่นั้นค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#23
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 08:31 AM
ฝ่ายเผยแผ่กับกองเสบียงจะมีเพียงเส้นบางๆกั้นนะคะ
พี่ถามน้องวิวนิดนึงละกัน พี่อยากทราบความเห็นของน้องว่า อย่างปัจจุบันก็มีสาธุชนที่มาวัดมากมายที่สามารถตอบปัญหาธรรมะได้อย่างแคล่วคล่อง ฉะฉานได้ไม่แพ้พระหรืออุบาสก อุบาสิกาที่อยู่วัดเลย หรืออาจจะตอบปัญหาธรรมะที่อิงหลักพระไตรปิฏกได้ดีกว่า ละเอียดกว่า ชัดเจนกว่าด้วยซ้ำ ถ้าเช่นนั้น
1) บุคคลกลุ่มนี้ น้องวิวคิดว่า ควรจัดบุคคลกลุ่มนี้เข้าไปอยู่ในฝ่ายเผยแผ่หรือกองเสบียงล่ะครับ หรือว่า เป็นพวกลูกครึ่ง
2) ถ้าบุคคลกลุ่มนี้ได้แต่งงานไปก่อนที่จะเข้าวัดเสียแล้ว แต่หลังจากเข้าวัดก็มีความสามารถในการเผยแผ่แบบที่ว่ามาข้างบน น้องวิวจะฟันธงให้เขาไปอยู่ในกลุ่มเผยแผ่หรือเสบียงละครับ อย่าลืมจุดที่ว่า สาธุชนดังกล่าวสามารถตอบปัญหาธรรมะได้เยี่ยมยอดกว่าบุคคลากรในวัดนะครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#24
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 08:59 AM
ถ้าเขายังเลืกที่จะอยู่ทางโลก ธรรมะที่เขาตอบได้นี่ ถือว่าเข้าไปอยู่ในใจหรือยังคะ
ถ้าหากธรรมมีไว้แค่ประดับความรู้ ไม่ใช่เพื่อนำมาปฏิบัติแล้ว เขาผู้นั้นก็ยังเคารพในธรรมไม่เต็มที่
ใจก็ยังละเอียดไม่พอที่จะอยู่เกินกองเสบียงขึ้นมา
หากอยู่ทางโลกแต่ไม่แต่งงาน อันนั้นก็เป็นเผยแผ่ได้ แต่ถ้าไม่แต่งงานแล้ว เดี๋ยวอยู่ไปก็อยากเข้าทำงานในวัดเองล่ะค่ะ
ก็ย่อมทำได้ แต่ก็จะเป็นกองเสบียงค่ะ
หนูไม่ใช่ผู้กำหนด แต่หลวงพ่อท่านว่ามา
แต่หากหลวงพ่อท่านเมตตา หนูจะลองถามให้ก็ได้ค่ะ ว่าจำเป็นไหม
แต่หนูมั่นใจร้อยเปอร์เซนต์ว่าท่านเคยบอกว่า "ถ้าแต่งงานเมื่อไหร่ ก็ต้องตกไปอยู่กองเสบียงเลยนะจ๊ะ"
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#25
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 10:12 AM
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง
#26
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 11:47 AM
มีพี่คนนึง (ขอสงวนนาม) เข้าวัดมาเกินกว่า 25 ปี ปัจจุบันมีครอบครัวที่ดี มีลูก 3 คน
แต่ตลอดเวลาที่เข้าวัดมานี้ ไม่มีแม้สักวันที่ไม่ได้สั่งสมบุญ สามารถทำงานถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้ง 2 ได้เป็นอย่างดี
ผลงานที่ทำไม่น้อยกว่าบุคลากรคนใดในวัดเลย
และเป็นกำลังสำคัญ "ระดับสูง" ที่นำธรรมะและวิชชาธรรมกาย "เผยแผ่" ไปทั่วโลก (กำลังสำคัญในเชิงปฏิบัติการนะคะ ไม่ใช่ว่าสนับสนุนปัจจัยมาให้อย่างเดียว)
เรียกว่าถ้าไม่มีพี่คนนี้ งานของหมู่คณะก็จะต้องช้ากว่านี้แน่นอน
พี่คนนี้เป็นเจ้าภาพใหญ่รายหนึ่งของวัด ทำเป็น M ทุกงาน
ทุกวันนี้ใช้ชีวิตทำงานทางโลกควบคู่ไปกับการสร้างบารมี
ไม่มีบกพร่องสักเรื่อง ทั้งทางโลก และทางธรรม ทั้งฐานะทางสังคม หน้าที่การงาน ฯลฯ
และที่สำคัญ คือ "เข้าถึงพระธรรมกาย" ฉะนั้น ทางธรรมก็ไม่ด้อยกว่าใครแน่นอน
... เห็นด้วยว่าพี่เค้าเป็นเสบียง และเป็นเสบียงชั้นดีด้วย
... แต่พี่คนนี้ จะต้องถูกจำกัดให้เป็นเสบียงเพียงอย่างเดียวเท่านั้นหรือ
... และถ้ามีคนเห็นว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ถามว่าพี่เค้าจะสนใจหรือ ว่าใครจะจัดให้เค้าไปอยู่ฝ่ายไหน
... ในเมื่อตัวพี่เค้าเองรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่
โดยส่วนตัว นับถือพี่คนนี้มากค่ะ อยากทำให้ได้เหมือนเค้า อยู่ข้างนอก ได้สร้างบุญ ช่วยงานเต็มที่ แล้วยังได้สร้างมหาทานบารมีด้วย
เพราะปัจจุบัน ตัวเองยังไม่มีความคิดที่จะเป็นอุบาสิกาค่ะ (แอบรักสบาย ทุกวันนี้ก็มาทำงานที่วัด แต่ไปเช้า เย็นกลับ ทั้งๆที่บ้านก็ไกล๊ไกล)
และคิดว่าเราต่างคนก็มีหน้าที่ ควรทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ไม่มัวแต่คิดว่าหน้าที่ตัวดีกว่าคนอื่น หรือคิดรังเกียจหน้าที่ตัวเอง ไม่อยากทำ
งานบางอย่างก็ไม่เหมาะที่จะให้พี่ๆอุบาสิกาทำ และคนธรรมดาถือศีล 5 อย่างเราสามารถทำได้ดีกว่าสะดวกกว่าด้วย
Dreamlover ยังมีอารมณ์อยากอยู่ข้างนอก ไม่ได้คิดว่าจะต้องมี หรือไม่มีครอบครัวนะ
แต่จะต้องช่วยงานหลวงพ่ออย่างเต็มความสามารถ ให้ถึงที่สุด ไม่ให้แตกต่างกันไม่จะอยู่ในสถานะไหน
ที่ยังไม่อยากเข้ามาเพราะรู้ว่าการอยู่ในวัดเนี่ย ไม่ง่ายเลย ฉะนั้น นับถือพี่ๆอุบาสิกาสุดๆเช่นกัน
ที่เป็นต้นแบบที่เจ๋งสุดๆสำหรับ Dreamlover คือ คุณปุ๊ เพียงนิล สิริเกษม, คุณพัชรี เบ็ญจวิลาส, ป้าใส เกษมสุข ภมรสถิตย์, ป้าวัน วันทนา บุญสูง และอีกหลายๆท่านเลยค่ะ
และเชื่อว่า "การประพฤติพรหมจรรย์" ไม่ใช่แค่เพียงการไม่มีครอบครัวหรือไม่มีความสัมพันธ์เชิงสามีภรรยา แต่เป็นอะไรที่มากกว่านั้นมากนัก
#27
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 01:09 PM
เห็นด้วยค่ะ
แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการประพฤติพรหมจรรย์นะคะ
http://www.dmc.tv/fo...wtopic=1387&hl=
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#28
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 03:42 PM
อพรัหมะจริยาเวระมณี (ไม่แน่ใจเรื่องวิธีสะกด)
โอ้โห สาธุด้วยนะจ๊ะที่หนูจะประพฤติพรหมจรรย์ หนับหนุนหนับหนุน
ส่วนตัวพี่ขอช่วยเป็นกำลังในส่วนที่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ไม่อาจทำได้ก็แล้วกันนะคะ งานหมู่คณะจะได้ IMC ค่ะ
ไม่ได้หมายความว่าพี่จะหนีไปมีครอบครัวนะ แต่งานบางอย่างของหมู่คณะทำให้พี่ยังคงต้องแต่งหน้าแต่งตัวรักสวยรักงามให้ดูดีค่ะ
และถ้าวันข้างหน้าพี่ต้องมีครอบครัวขึ้นมา พี่จะเป็นครอบครัวแก้ว ครอบครัวธรรมกาย ครอบครัวตัวอย่างของโลก และช่วยงานหลวงพ่อและหมู่คณะไม่ให้บกพร่องจ้ะ บางอย่างคนมีครอบครัวอาจจะทำไม่ได้ดีเท่า แต่ก็มีอย่างอื่นให้ทำชดเชยค่ะ
ถึงภายนอกพี่จะซิ่ง แต่ภายในพี่ก็นิ่งนะค๊า....
#29
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 03:51 PM
ผมอยากให้มองในแง่จิตวิทยานิดนึง จะได้เข้าใจทั้งสองฝ่ายมากขึ้น สองฝ่ายในที่นี้ผมขอแบ่งเป็นคนที่อยู่ในวัดกับนอกวัด (ทำวิชชา เผยแผ่ // เสบียง) ปฎิสังขรณ์ผมไม่รู้ว่าจะจัดว่าอยู่ในหรือนอกวัด หรือทั้งสองอย่าง
เท่าที่อ่านคคหของทุกท่านรวมถึงการได้พูดคุยกับกัลยาณมิตรทั้งในและนอกวัด รวมถึงสังเกตความคิดของตัวเอง ทำให้พอจะเข้าใจได้ว่า
ทั้งหมดส่วนใหญ่เกิดจาก "กลไกการป้องกันทางจิตใจ" คือคนเราหากยังไม่เข้าถึงธรรม ต้องมีองุ่นเปรี้ยว มะนาวหวาน องุ่นหวาน มะนาวเปรี้ยว ด้วยกันทั้งนั้นไม่มากก็น้อยจนถึงน้อยมากๆจนใช้จินตมยปัญญามองไม่เห็น
สิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นชูรสของใจหรือกิ่งไม้ให้ใจเกาะ คือ เวลาเราสร้างบารมีเนี่ย เราต้องมีเป้าหมายว่าเราสร้างไปทำไมจะได้อะไร(รวมถึงคนที่บอกว่าไม่หวังบุญขอแค่เห็นคนมีความสุขเราก็มีความสุขแล้ว อันนี้ก็ถือว่าคุณหวังสิ่งตอบแทนเหมือนกันในการสร้างบารมี คือคุณหวังจะเห็นคนมีความสุขไงครับ)
คนที่อยู่ในวัดการสร้างบารมีโดยส่วนใหญ่จะเข้มข้นกว่าข้างนอกมากดังนั้นบางครั้งจึงต้องนึกดูแคลนหรือรู้สึกว่าการอยู่นอกวัดต่ำต้อยกว่าบ้าง เพื่อให้ภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองอดทนอยู่ ดังนั้นเราจะเห็นว่ามีบางคนพูดหรือกระทำในลักษณะที่รังเกียจหรือดูถูกเสบียงนิดๆ เพื่อความภาคภูมิใจไงครับ อันนี้จะมีในผู้ที่ยังไม่เข้าถึงธรรมเท่านั้นเพราะผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้วจะไม่ต้องการกิ่งไม้หรือชูรสอันนี้ เนื่องจากใจเขามีธรรมะเป็นกิ่งไม้หรือชูรสให้ใจอยู่แล้วจึงสร้างบารมีอย่างมีความสุขได้อย่างสบาย
ส่วนคนที่มีครอบครัวแล้วหรือจำเป็นต้องอยู่เขตนอก ก็จะมีกลไกการป้องกันทางจิตใจหรือชูรสทางใจคือ "ทั้ง4ฝ่ายมีความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น จะขาดฝ่ายใดฝ่ายนึงไม่ได้"
ซึ่งความคิดในใจ กลไกการป้องกันทางจิตใจของทั้งสองฝ่าย ให้เรามีไว้ในใจของเราอย่างเดียวพอ คือไม่ต้องไปทิ้งมันหรอกครับ ใครอยู่ตรงไหนก็ให้มีความภาคภูมิใจในจุดนั้นไว้ ไม่ใช่ว่ามีลูกสามคนแล้วแต่มานั่งblameตัวเองว่าเราอยู่ในหน้าที่ที่ไม่สำคัญเท่าไหร่ ทุกวันอยากจะเข้าวัดจนเกิดความทุกข์ใจ ให้คิดไปก่อนว่าทุกหน้าที่สำคัญทั้งนั้น แต่ก็แอบอธิษฐานไว้ด้วยว่าให้สร้างบารมีรุดหน้ายิ่งๆขึ้นไป ให้มีโอกาสเข้าเขตในในชาติต่อไป
ผมขอร้องอยู่อย่างนึงนะครับ ให้เรามีความคิดเข้าข้างตัวเราเองได้ แต่ให้เก็บไว้ในใจ อย่านำความคิดนี้ ออกไปบลัฟคนอื่นเพียงเพื่อให้ตัวเองภูมิใจหรือสบายใจมากขึ้น มันอาจจะทำให้เราชื่นใจขึ้นเล็กน้อยแต่มันจะไปทำลายกลไกการป้องกันทางจิตใจของคนอื่นเขา ที่นี้ก็จะทำให้เกิดการกระทบกระทั่งในหมู่คณะขึ้นมาสิครับ
ฝากไว้ "ใครที่มีเป้าหมายอยากอยู่เขตในก็อย่าไปบลัฟเขตนอก ตรงข้ามให้สนับสนุนเขาให้เขาไปรวยและให้กำลังใจเขาว่าหน้าที่ไหนก็สำคัญทั้งนั้น แม้ในใจเราจะคิดตรงข้ามสิ้นเชิงก็ตาม ส่วนใครที่ชอบอยู่เขตนอกหรือจำเป็นต้องอยู่เขตนอกด้วยเหตุผลต่างๆ ก็ให้ยกย่องผู้ที่อยู่เขตในหรือมีเป้าหมายอยากอยู่เขตในว่า เธอช่างมีบุญจังเลยนะ ได้ทำหน้าที่อันสำคัญ แม้เราจะคิดในใจตรงข้ามเลยว่า หน้าที่ไหนก็จำเป็นทั้งสิ้น"
สุดท้าย "กลไกการป้องกันทางจิตใจ" ที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชาวโลกในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนั้น จะไร้ความหมายในทันทีที่เราเข้าถึงธรรมะและความสุขภายใน จะได้เลิกบลัฟกันซะทีเพื่อให้ตัวเองสบายใจ
#30
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 04:26 PM
อันนี้ผมไม่เห็นด้วยนะครับ เพราะ ประโยคที่ว่า "ทั้ง4ฝ่ายมีความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น จะขาดฝ่ายใดฝ่ายนึงไม่ได้" มันไม่ใช่กลไกป้องกันทางจิตใจของคนที่อยู่เขตนอกนะครับ แต่มันคือ ความจริง
คิดง่ายๆ สมมุติง่ายๆ เลยนะครับ ถ้าวันดี คืนดี คนเขตในไปทำตัวเหยียดๆ คนเขตนอก จนคนเขตนอกหรือก็คือเสบียงรับไม่ได้ ซึ่งก็คือการทำลายศรัทธาสาธุชนนั่นแหละ แล้วเสบียงก็พากันไม่ทำบุญให้วัด ผลที่ตามมาคือ วัดก็อยู่ไม่ได้ คนที่ภูมิใจว่า อยู่เขตใน จะเอาอะไรกินครับ ใครจะเลี้ยงครับ ในเมื่อทุกวันนี้เงินทุกบาททุกสตางค์ ข้าวทุกเม็ดที่คนเขตในได้กิน ได้ใช้มาจากการบริจาคทรัพย์ หยาดเหงื่อแรงงานของคนจากเขตนอกทั้งสิ้น
ถ้าถึงขั้นเลวร้ายขนาดที่ว่า ไม่มีคนทำบุญเลย คนเขตในที่ว่าแน่ๆ ก็คงต้องออกมาทำงานเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเหมือนคนเขตนอกแหละครับ ไม่งั้นอดตาย
ดังนั้น ความจริง ก็คือ ทั้งเขตนอก เขตใน นั้นต้องพึ่งพาอาศัยกัน เหมือนต้นไม้ที่ต้องมีทั้งเปลือกและแก่น มีแต่แก่น ไม่มีเปลือกต้นไม้ก็ตาย มีแต่เปลือก ไม่มีแก่น ก็อยู่ไม่ได้ จริงไหมครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย