ขอปรับความเข้าใจต่อทุกท่าน
#1
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 01:04 PM
:- ไม่เห็นประโยชน์ในการตอบ เนื่องจากเราต้องยอมรับความจริงอยู่ประการหนึ่งว่า สมาชิกที่เข้ามาสร้างบารมีโดยการให้ธรรมทานบนเว็บบอร์ดอยู่ทุกวันนี้ ล้วนเป็นผู้ที่กำลังฝึกฝนอบรมตนเองอยู่แทบทั้งสิ้น การนำเอาสิ่งที่ตนเองยังปฏิบัติไปไม่ถึงมาเป็นประเด็นวิจารณ์อันนำไปสู่การถกเถียงกันอย่างไม่รู้จักจบนั้น ผมมองเห็นว่าเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ เพราะถ้าหากข้อมูลดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงแล้ว ย่อมจะก่อให้เกิดบาปถึง ๒ สถาน สถานแรก คือ บาปของผู้ให้ เพราะได้ปลูกความเห็น รู้เห็นที่ผิดๆ ไว้แก่ผู้อื่น สถานที่ ๒ คือ บาปของผู้รับ ในกรณีนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับนักสร้างบารมีทั้งเก่าและใหม่ กล่าวคือ หากผู้รับข้อมูลข่าวสารเชื่อตามโดยขาดการวินิจฉัยไตร่ตรองให้ดี ย่อมจะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ และกลายเป็นบุคคลที่มีความเชื่ออย่างงมงาย เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงตรัสสอนพุทธสาวกของพระองค์ให้มีศรัทธาอันตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลที่เรียกว่า ศรัทธาญาณสัมปยุต หากแต่การศรัทธาโดยมิได้พิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองด้วยเหตุและผลนั้น พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า ศรัทธาญาณวิปยุต อันเป็นความเชื่อของศาสนาในตระกูลเทวนิยมทั้งหลาย เมื่อเราได้ทราบดังนี้แล้ว ถึงตรงจุดนี้ เราควรจะให้คำตอบและย้อนกลับมาดูตัวของเราเองว่า
"ศรัทธาของเราเป็นศรัทธาที่ประกอบไปด้วยปัญญาแล้วหรือยัง? ทิฏฐิของเราได้มีการปรับเทียบให้ตรงกับสัมมาทิฏฐิ อันเป็นความเห็นมาตรฐานที่ตรงและถูกต้องตามครรลองคลองธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพุทธดำรัสตรัสสอนไว้แก่พุทธสาวกของพระองค์แล้วหรือยัง? การศึกษาธรรมประเภทต่างๆ ของเรา ไม่ว่าจะเป็นปริยัติสัทธรรมก็ดี และ/หรือปฏิบัติสัทธรรมก็ดี เรารู้จักเลือกเฟ้นในการจำแนกแจกแจงว่า ข้อธรรมใดที่เป็นแก่นแห่งธรรมอันตรงต่อหนทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา (ซึ่งพุทธศาสนิกทั้งหลายควรมีความกระตือรือร้นพากเพียรศึกษาให้ได้บรรลุถึงซึ่งหนทางอันประเสริฐนั้น) และข้อธรรมอันใดที่เป็นความรู้ที่ผู้ศึกษาเล่าเรียนพึงทราบไว้เพียงแต่ รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม (ไม่ใช่แก่น) บ้าง?
ขอให้เราท่านทั้งหลายได้ย้อนกลับไปทบทวนตัวเองกันสักนิด สะกิดใจกันสักหน่อย ก็คงจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ ที่ผมต้องกล่าวเช่นนี้ก็เพราะ มีความประสงค์ที่จะให้ทุกท่านสร้างบารมีตามติดพระปู่ พระยาย และพระพ่อ อย่างมีสติและมีปัญญา อนึ่ง ผมมีความเห็นว่า หากเราไม่พูดไม่บอกแก่เขา ใครเล่าจักพูด หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือช่วยเขา ใครเล่าจักช่วย ผมจำคำพูดของนักปราชญ์ชาวตะวันตกท่านหนึ่งได้อย่างขึ้นใจว่า ความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุด คือ การไม่ลงมือทำอะไรเลย ด้วยเหตุผลนี้ จึงเป็นที่มาของการตั้งกระทู้เพื่อปรับความเข้าใจซึ่งกันและกันครับ
#2
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 02:07 PM
แต่ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะคุณน้อง....คือว่าตัวหนังสือแบบ Bold ของคุณน้องอ่านยากมากค่ะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#3
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 02:20 PM
ผมขอเสนอเพิ่มเติมว่าในกรณีของประเด็นที่สอง เราน่าจะแยกเป็นกระทู้หรือเป็นประกาศของบอร์ดแล้วปักหมุดไว้เลย เพราะถ้ามีสมาชิกใหม่จะได้เข้าไปอ่านได้ง่ายๆ และอีกหน่อยกระทู้นี้ก็จะตกลงไป ทำให้ผู้มาที่หลังอาจไม่ได้อ่านน่ะครับ
#4
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 02:21 PM
ผมรู้ข่าวมาจากสมาชิกท่านหนึ่ง หลายวันแล้วครับ เรื่องการโจมตีเวบ DMC การใช้ถ้อยคำที่ ไม่นุ่มนวล ความเข้าใจผิดกัน ลืมๆมันๆไปนะครับ ฝรั่งเขาบอกว่า
[/size]
GOOD TO FORGIVE But BEST TO FORGOT
ประมาณว่า การให้อภัยเป็นสิ่งที่ดี แต่ดีกว่านั้นคือ ลืมอดีตที่ผิดพลาดให้หมด
แล้วมาเริ่มสร้างบารมีกันให้ทับทวีครับ[size="3"]........ ผมมีอะไรมาให้อ่าน เล่นๆครับ สบายๆ ครับ
..........................................................................................................
ผู้ที่มีลักษณะที่จะประสบความสำเร็จ และพบความสุข คือผู้ที่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผู้ที่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คือผู้ที่กล้าหาญที่จะรับฟังคำติมากกว่าคำชม คือ กล้า... ผู้ที่มีลักษณะที่จะล้มเหลว และมีแต่ความทุกข์ใจ คือผู้ที่ยึดตัวเองเป็นหลัก ไม่ยอมรับฟังผู้อื่น ผู้ที่ยึดตัวเองเป็นหลัก คือผู้ที่หมดโอกาสเรียนรู้โดยแท้จริง แม้ใจอยากได้แต่สิ่งดีๆ แต่สิ่งดีๆก็เข้าไม่ถึงใจ เพราะความกลัว ใจจึง ปิด ความคิด จึงไม่ก้าว
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#5
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 03:14 PM
เวลาที่เชือกพันกัน คนส่วนมาก มักจะใช้มีดตัดออก
จะมีใครสักกี่คนมานั่งแก้ด้วยมือ
ปัญหาของคนเรา จริงๆแล้วคือการหนีปัญหานั่นแหละ เพราะถ้าเราตั้งใจแก้มัน มีหรือจะไม่มีทางออก แพ้บ้าง ชนะบ้าง เป็นเรื่องปกติ
บางทีความเงียบสงบก็สยบความเคลื่อนไหวไม่ได้เสมอไปหรอก แม้ว่าเราจะนั่งในที่ตัวเองเราก็มีสิทธิ์ถูกชน ถ้าเราไม่ส่งเสียงให้เขารู้ว่าเรานั่งอยู่.
คนที่พยายามทำทุกอย่างให้ถูกใจคนอื่น คนนั้นจะเป็นคนที่เหนื่อยที่สุดตลอดชีวิต การตอบคำถามเพื่อเอาใจคนถาม ก็เท่ากับว่าเรายอมให้เขาครอบงำ .. เมื่อสูญเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว เธอจะเรียกมันกลับคืนมาได้ยาก อย่าลืมว่า คนแต่ละคน พูด ฟัง คิด ไม่เหมือนกัน ไม่มีใครทำอะไรถูกใจใครได้ทั้งหมด
องค์กรไม่ได้ต้องการคนที่ทำตามใจเขาทั้งหมด ถ้าเธอไม่แสดงให้เขาเห็นว่า มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในคุณค่าของตัวเอง แล้วจะให้เขาเชื่อได้อย่างไรว่าเธอจะสามารถพาองค์กรของเขาก้าวไปข้างหน้าได้...
ผิดครั้งแรกถือเป็นประสบการณ์นั้นจริง แต่ผิดครั้งที่สองไม่ได้หมายความว่าโง่เสมอไป เพราะเคยมีใครหลายคนในอดีตที่ผิดนับพันครั้ง จนสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับโลกได้สำเร็จ.
ถ้าคนทุกคนยอมรับความผิดพลาด ของตัวเอง และของคนอื่น โลกนี้จะไม่มีใครทะเลาะกันเลย
ถ้ากล้ายอมรับว่าเราผิด เราจะเข้าใจ และ ให้อภัยคนอื่นที่เขาทำผิดบ้าง
ชีวิตคนเราต้องเหงื่อออก ทำอะไรแค่ไหน ผลมันก็ย้อนกลับมาแค่นั้น ไม่มีความสำเร็จใดได้มาอย่างง่ายดาย
สำหรับคนช่างเลือก ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องทำให้ดีทึ่สุด แม้จะเหนื่อย หนัก ต่อสู้มากสักหน่อย แต่ผลกลับมาก็คุ้มค่าเหนื่อย อย่างน้อยเราก็ได้เลือกสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดให้ตัวเอง
เช่นในการเลือกคนดีๆมาเป็นคู่ครอง สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ หรือโชคชะตา ไม่ใช่ว่าเขาดวงดี แต่เพราะเขาเลือกเขาพิถีพิถันกับชีวิต
หลายคน มักมีบุคคลต้นแบบของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อเลียนแบบหรือทำตาม แต่เขาจะช่วยให้เราเดินอย่างมีทิศทางมากขึ้น
เวลาเราอยู่กับใคร กับอะไรก็ตาม สิ่งนั้นมักมีผลกับจิตใจโดยไม่รู้ตัว
ในช่วงชีวิตที่ยังมีโอกาสได้พบปะผู้คนมากมาย เป็นโอกาสดีที่เราจะได้เลือกเพื่อน อย่าลืมกลั่นกรองคนที่จะเป็นมิตรสักนิด เพราะคนเหล่านี้จะมีอิทธิพลกับชีวิตเราในอนาคตอีกนาน
ในสังคมมีทั้งคนดี และคนไม่ดี ความจำเป็นในชีวิต อาจทำให้เราไม่สามารถเลือกคบคนได้ สำคัญที่ตัวเรา ว่าจะหนักแน่นและดูแลตัวเองได้แค่ไหน.
ถ้าเราคบคนทุกประเภท เราจะมีข้อมูลหลากหลาย และรู้วิธีจัดการกับคนแต่ละแบบ รู้วิธีที่จะทำให้เขาเป็นคนดีของเราได้ หรืออย่างน้อยก็รู้จักวิธีดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากคนแย่ๆ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#6
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 03:24 PM
ประเด็นที่ ๒ การโพสต์กระทู้ที่มีเนื้อหาสาระไม่เกี่ยวข้องกับธรรมะ หากทางทีมงานได้มีมติเห็นชอบให้มีการถอดถอน
ซึ่งการถอดถอนจะทำในรูปแบบที่มีการแจ้งเตือนทาง PM และไม่มีการแจ้งเตือนให้ทราบล่วงหน้า
สมาชิกทุกท่านต้องใช้ดุลยพินิจพิจารณาถึงความเหมาะสมของกระทู้ และบทความด้วยตนเองว่า ควรไม่ควรอย่างไร?
ตามที่ผู้ดูแลระบบ แจ้งเรื่อง มีมติถอนกระทู้ที่มีเนื้อหาสาระไม่เกี่ยวข้องกับธรรมะ
ผมเองก็เคยตั้งกระทู้ที่เน้นภาพขำๆ หรือเนื้อหาความรู้ทั่วไปทางโลก
ผมเห็นด้วยและยอมรับมติดังกล่าว
จึงขอเสนอให้ผู้ดูแลระบบลบกระทู้ที่ผมตั้งไว้ ด้วยความเคารพในมติดังกล่าวและด้วยความยินดี
ป.ล. 1 รายชื่อกระทู้ที่ผมตั้งและขอให้ผู้ดูแลระบบลบออก 12 กระทู้
FORUM : บทความดี๊ดี จากสมาชิก
เคยรู้กันบ้างไหมว่า ....
Would you know my name ?
เชื่อมั้ยว่า ...
I'll b there
LifeEasy
เรื่องประหลาดบนโลกที่คุณอาจไม่รู้
คุณเคยสงสัยเรื่องเสียงหัวเราะ หรือเปล่า
FORUM : วิทยาศาสตร์ทางใจ
คุณเห็น อะไรไหม ในดวงตา คู่นั้น?
วิทยาศาสตร์ หรือ ไสยศาสตร์
FORUM : Webbord DMC
ให้เลือกว่า ใครเก่ง กว่าใคร?
ชีวิตของน้องเหมียว ที่น่าต๋งต๋าน
ทำไม โครงการเทเหล้า เผายาสูบ เงียบไปเลย
ป.ล. 2 หากมีกระทู้อื่นที่ควรลบนอกเหนือจากที่ผมระบุไว้ ก็สามารถลบได้เลยครับ
ขออนุโมทนาบุญกับผู้ดูแลระบบ ผู้ทำหน้าที่ในการดูแลบอร์ดและจัดระเบียบบอร์ด ด้วยครับ สาธุ
#7
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 03:39 PM
คนที่มีความสามารถรอบตัว นอกจากไม่เป็นภาระของคนอื่นแล้ว
เราจะรู้สึกดีทุกครั้ง ที่ความสามารถของเราช่วยคนอื่นได้ด้วย
ถ้าคนหนึ่งตีกลอง แล้วอีกคนยิ่งเต้น คนตีเขาก็ยิ่งตี แต่ถ้าตีแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น เขาก็จะหยุดไปเอง เพราะตีไปก็เหนื่อยเปล่า
บ่อยครั้งที่เรามักเจอคำพูดแย่ๆ ในเวปบอร์ดอื่นๆ ที่โจมตีวัดพระธรรมกาย
จากคนรอบข้างในเวปบอร์ดนี้บ้าง
ถ้าเราไม่รู้จักดูแลจิตใจ ความรู้สึกของตัวเอง เราจะถูกบั่นทอนลงทีละนิด
ดูแลหัวใจของเราให้ดี เรียนรู้ที่จะคิดปฏิเสธคำพูดแย่ๆ จากคนอื่น รู้แหล่งที่มาอย่างมีเหตุผล แล้วจะไม่มีอะไรมาบั่นทอนหัวใจเราได้เลย..ครับ
คำวิจารณ์ในแง่ลบของคนอื่นมักบั่นทอนกำลังใจ แต่นั่นมันความคิดเขา ไม่ได้มาจากสมองเราสักหน่อย ฟังเสียงหัวใจตัวเองอย่าไขว้เขวไปกับเสียงหัวใจคนอื่น
ไม่มีใครบอกตรงๆ หรอกว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน รู้ธรรม ปฎิบัติธรรมได้ดีขนาดไหน
ดีร้ายยังไง คบได้แค่ไหน แต่บางสถานการณ์ในเกม ในเวปบอร์ดนี้ ในการสนทนา จิปาถะ
จะเปิดเผยทาสแท้และตัวตนของคนเราอย่างง่ายดาย เราจะตัดสินได้ทันทีว่าคนคนนี้ควรเป็นเพื่อนเรามั๊ย
เราจะได้เรียนรู้จากเกม ซึ่งบ่งบอกอะไรได้มากกว่าที่คิด เกมจะมีคุณค่าในตัวเอง ถ้าเราไม่มุ่งแค่ชัยชนะ เพราะเราจะไม่ได้อะไรเลย ลองวัดใจกันด้วยเกม แล้วเธอจะได้เพื่อนคุณภาพเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง..ครับผ๊ม..
ความประทับใจแรกเริ่ม เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ดี เช่นบางทีมีสมาชิก ในเวปบอร์ดทำรูป น่ารักๆ มาแจก เอารูปที่ตลกมาให้ดู
เวลาที่เริ่มรู้สึกเกลียดกันเราจะคิดถึงความประทับใจนั้น แล้วจะเกลียดกันไม่ได้เลย
บางครั้งการเสียสละเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยสร้างความรู้สึกที่ประทับใจให้ผู้อื่นตลอดไป
คนที่ใจแคบ มักกลัวการเสียเปรียบ แม้แต่สิ่งเล็กๆน้อยๆ ให้ได้รู้สึกว่าได้เปรียบเสียหน่อยก็มีความสุขแล้ว อีกเช่นเคย ครับผ๊ม..
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#8
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 04:05 PM
แต่ก็ไม่ได้สนใจมากในช่วงแรก
พอมาหลังๆแล้วกระทู้พวกนี้เริ่มมีมากขึ้นนะคะ
เห็นด้วยค่ะ ว่าเว็บธรรมะควรเป็นเว็บธรรมะ
และควรลบกระทู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออก เพื่อที่ผู้มาเยือนเว็บนี้ จะได้ไม่เข้าใจผิดเอานะคะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#9
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 05:00 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#10
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 05:33 PM
อย่างไรก็ตามนิ่งๆนุ่มๆมีข้อเสนอนิดหน่อยค่ะ คือว่าบางท่านที่ตั้งกระทู้แล้วโดนลบนั้น (ไม่ได้ตั้งใจพาดพิงถึงใครคนใดคนหนึ่งนะค่ะ พูดรวมๆค่ะ) นิ่งๆนุ่มๆว่าควรจะมี feedback กลับไปให้เขาหน่อยจะดีไหมค่ะ เพราะสมาชิกหลายๆท่านก็ใหม่ ใหม่ทั้งใน webboard ใหม่ทั้งในวัด บางทีเขาได้ยินได้ฟังอะไรมาแล้วตามไม่ทันจึงอยากมาถามในนี้ โดยไม่ทราบว่าเป็นเรื่องที่บางทีไม่ควรพูดหรือ ถามแล้วไม่ได้ประโยชน์ แล้วเขาเข้ามาถามในนี้พร้อมมีความหวังว่าจะได้คำตอบ แต่แล้วอยู้ดีๆกระทู้ถูกลบ ความที่เขาไม่เข้าใจอาจทำให้เขาแปลความหวังดีเป็นอย่างอื่นได้ค่ะ ทาง moderator อาจมี ข้อความอัตโนมัต ถึงเจ้าของกระทู้ที่ถูกลบสักนิดนึง เขาเองก็จะได้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร และทางทีมงานก็ไม่ต้องเสียเวลานั้งพิมพ์ ถึงเจ้าของกระทู้ทุกครั้งด้วยดีไหมค่ะ
นี่เป็นความคิดเห็นเล็กๆน้อยๆนะค่ะ ดี ไม่ดีอย่างไรแล้วแต่ทาง Moderator จะเห็นสมควรค่ะ
ขอกราบอนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ แรงสติปัญญา เพื่อที่จะขยายธรรมะไปสู่ใจชาวโลกค่ะ และต้องขอบพระคุณคุณก้อง ที่ออกมาอธิบายให้อะไรๆชัดเจนยิ่งขึ้นค่ะ ถ้าเราจะไปกันเป็นทีมเราก็ต้อง อาศัย teamwork แบบนี้ละค่ะ
น้าจี้
#11
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 05:36 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#12
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 06:15 PM
นิ่งๆ นุ่มๆ
.....................................................
เห็นด้วยกับท่าน นิ่งๆ นุ่มๆ ครับ
.......................................................
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#13
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 06:48 PM
....................................
................................................... จากท่าน ขุนศึกผู้พิชิตหงสา
ผมต้องขอชื่นชมกับระบบความคิดของ ขุนศึกผู้พิชิตหงสา จริงๆครับ ผมอยากมีน้องผมคิดอย่างนี้จัง ปัจจุบันน้องผมเป็นปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล จบถึงปริญญาโท ทางด้านรัฐศาสตร์ อายุประมาณเท่ากับท่าน ขุนศึกผู้พิชิตหงสา นี่แหละครับ แต่ความคิดทางด้านธรรมไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของท่าน ขุนศึกผู้พิชิตหงสา เลยครับ ผมอยากให้น้องผมคิดแบบท่าน แกร่ง แต่ไม่กระด้าง เหมือนท่าน จังเลยครับ...
...................................
เรื่องการคบคนนั้น ผมเจอมาหลายแบบครับ (ตามอายุ 555+)
เรื่องคบคนนั้น
ผมคิดว่าคนเราทุกคนมีค่า การถ่อมตนอย่างถูกกาละเทศะ จะสร้างความรู้สึกดีให้กับคนอื่น ทั้ง คนวัด และไม่ใช่คนวัดครับ หรือ ความมองว่าเขามาป่วนเวป
คนเรายิ่งอยู่สูง ยิ่งต้องมองต่ำ ส่วนที่อยู่ต่ำกว่า ต้องมองสูง และทั้งคู่จะมองเห็นความสวยงาม คุณค่า ของกันและกันอย่างไม่ยากเลย
ถ้ามัวแต่ดูถูกคนอื่น เพื่อให้ตัวเองดูดี แล้วเมื่อไหร่จะเห็นความสวยงามของผู้อื่น ผมมองอย่างนั้นครับ
.......................................
ในบางอารมณ์ความเงียบจะสร้างความเหงา ความไม่พอใจจะมาแทนความเงียบ
แต่บางสถานการณ์ความเงียบจะทำให้เกิดสมาธิและความคิดที่ดีได้ ครับ
การคิดมากเกินไป ว่าเขาจะเป็นอย่างโง้น อย่างงี้ ไม่ได้ก่อให้เกิดความคิดดีๆ เพราะมันจะยิ่งวกวนและหาทางออกไม่เจอ ครับ ภาษาแสลงเขาบอกว่า คิดแบบเสือติดจั่น น่ะครับ
ความสงบในใจทำให้เกิดสติ สติที่ดีจะแก้ไขสถานการณ์ที่เลวร้ายทุกอย่างได้ . บางทีเรื่องที่เราคิดว่าใหญ่ จะเริ่มเห็นทางออกรำไร อยู่ตรงหน้านี่เอง ครับ
.................................................
ถ้าเมื่อไหร่ที่เรานั่งรถ แล้วเราไว้ใจคนขับ
เราจะมองโลกได้กว้าง และดูความสวยงามข้างทางได้อย่างสุขใจ
ทีมงานที่แข็งแรงและการเชื่อมั่นกันและกัน ในเวป DMC ท่าน Moderator จะลบก็ทู้ที่ท่านเห็นไม่สมควร พวกเราต้องยอมรับ ครับ จะทำให้ทุกอย่าง ในการสร้างบารมีประสบความสำเร็จ ครับ ถ้าไม่ให้โอกาสคนอื่น ไม่ปล่อยวาง ..มัวแต่นำทางให้คนอื่นเดินตาม เราก็จะไม่มีเพื่อนร่วมเดินทาง ยามที่เราเจออุปสรรคก็ต้องแก้คนเดียว หรือกลุ่มพวกเราซ้ำซากอยู่ทุกวัน...
ถ้าผมไว้ใจเขา ในสภาวะที่ควรไว้ใจเราก็จะมีแต่เพื่อนครับ
...........
ท้ายนี้....
ความลึกลับทำให้น่าค้นหา แปลกๆๆ ก็ยิ่งน่าค้น ตื่นเต้นท้าทายก็จริง แต่ถ้าต้องค้นหาอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็กลายเป็นความเหนื่อยและเบื่อหน่าย
การเข้าใจคนอื่น รู้จักคนอื่นเพียงฝ่ายเดียวจะทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยว ลองเติมเต็มความรู้สึกให้สมบูรณ์ ด้วยการเข้าใจคนอื่น ให้ใจคนอื่นและก็หาคนอื่นที่เข้าใจเรา ให้ใจเราด้วย
เปิดใจต่อกันให้เห็นตัวตน เขาจะได้รู้จักนิสัยเรา และตัวเราก็ต้องรู้จักนิสัยเขาด้วย
ครับผ๊ม...
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#14
โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 11:35 PM
นิ่ง สงบ สยบ เคลื่อนไหว
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#15
โพสต์เมื่อ 30 May 2006 - 02:18 AM
แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่คุณเกียรติฯนะครับ ผมแค่แนะนำตามความคิดเห็นของผมเองน่ะครับ ขออภัยด้วยหากข้อความใดทำให้ใจขุ่นนะครับ
#16
โพสต์เมื่อ 30 May 2006 - 08:51 AM
อ่านแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีค่ะ ด้วยความที่ยังใหม่ เคยมีถูกตำหนินิดนึงเหมือนกัน รู้สึกจะเป็นกระทู้เรื่อง "ใจดิ่ง"
ด้วยความที่พอมีคนตั้งกระทู้...ซึ่งเราเคยได้ข้อมูล หรือเคยเห็นข้อมูลจากที่ไหมมา
ก็ไปดึงมาใส่...แต่ปรากฏว่าเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด...ซึ่งใจจริงไปมอง ไปคิดเองว่า หากข้อมูลนั้นไม่ตรง
ทางผู้รู้คงแก้ต่างมาและทำให้เราเข้าใจมากยิ่งขึ้น ว่าข้อมูลที่เราได้มามันไม่จริง ไม่ตรงตรงไหนบ้าง...(จริง ๆ แล้วไม่สมควรใช่มั๊ยค่ะ)
ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นจริง ๆ นะคะ...ขอโทษด้วยค่ะ...จะระวังให้มากยิ่งขึ้น
#17
โพสต์เมื่อ 31 May 2006 - 02:51 AM
แต่ขอให้ฟังพี่เถลิงเกียติเถิดค่ะ (ไม่ใช่คนที่แก่กว่าบารมีน้อยกว่าคุณนะคะ)
การที่เราจะสร้างบารมีนั้น ความคิดสูงส่งก็จริงก็ต้องใช้ความหนักแน่นนุ่มนวลควรแก่งานด้วยนะ
บางครั้งพูดดีๆให้เข้าใจ ดีกว่าทุบแรงๆนะ เด็กบางคนดื้อมากยิ่งตียิ่งทึบ ยิ่งดื้อเป็นเวรกรรมซะอีก
การเข้าถึงธรรม เข้าถึงตัวตนของตนเอง
(โดยหลักการของ Maslow Hierachy ความต้องการมนุษย์
เราต้องทิ้ง Esteem Needs <ความต้องการที่เรายังตั้งตนไว้ ให้คนเคารพนับถือ>
เพื่อไปสู่ความเป็นจริงของตนเอง Self Actualization)
บารมี 10 ทัศ รู้ไหมว่าข้อไหนที่ยากที่สุด เมื่อต้องทำด้วยชีวิต
3ข้อหลังค่ะ คือ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา เพราะว่านี่คือการอยู่ร่วมกับสรรพสัตว์
แม้นเราจะแม่นมาแล้วใน 7 ข้อแรก จนเรียกว่าเนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะแข็งเต็มที่แล้ว
แต่ว่าจะให้สมบูรณ์เป็นบุคคลที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่น่าเคารพนับถือด้วยใจจริงของสัตว์ทั้งหลาย
ต้องบำเพ็ญบารมี 3 ข้อหลังให้ยิ่งยวดด้วยชีวิต แล้วเราจะทั้งล้างกรรมตน ล้างกรรมสัตว์โลกได้
เอาพระไตรปิฏกกี่เล่มมาวางกองให้ดูว่าเราเข้าใจร้หมด เอาบารมีมากองให้ดู
แต่ถ้าบารมี 3 ข้อหลังไม่เดินหน้าก็จบ เรานำพลได้ยังไงคะ สรรพสัตว์อื่นยังอ่อนแอกว่าเรา
เราคือผู้นำ เป็นขุนศึกชั้นยอด เราต้องยิ่งด้วยเมตตาธรรม อธิษฐานจิตต่อไป และทรงอุเบกขา
พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านยังไม่ทำตนให้เครียดเลย ยังยิ้มต้อนรับคนให้มาทำความดี
เราลูกท่านนะ ลูกหัวแถวด้วยนะคะไม่ใช่หางแถว
ทำงานใหญ่ ใจต้องยิ่งใหญ่ ใสเย็น ยอมรับให้ได้นะคะ
หน้าที่ของเราก็ต้องโปรด เพื่อปราบมารในตัวเค้า ดึงใจเค้าให้เข้าใจเรา
ไม่ใช่คิดแต่จะปราบเค้าโดยไม่ดูใจผู้อื่น คิดว่าเค้าผิด ไม่ได้...เราต้องใจกว้างไว้
พี่เชื่อว่าน้องเกิดมาเป็นขุนศึกอย่างแท้จริงค่ะ สิ่งที่พี่กล่าวนี้ออกจากใจจริงของพี่
พี่ดูเว็ปมาพอควร เห็นอะไรเกิดขึ้น น้องต้องเป็นผู้นำที่ทำให้คนมีกำลังใจให้กับเว้ปDMC
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#18
โพสต์เมื่อ 31 May 2006 - 04:29 AM
ส่วนตัวแล้วผมยอมรับคุณขุนศึกฯ ได้ครับ เพราะเห็นความตั้งใจที่อุตส่าห์รับงานดูแลเวปบอร์ด
ความรับผิดชอบหนักพอควร
คนเรานั้น ถ้าหากยังไม่เป็นพระอริยะบุคคลแล้ว ยังมีอัตตา ไม่เท่ากันบางคนใช้วิธีนี้ก็ยอมรับ
เพราะมองภาพรวม ๆ แล้วเป็นประโยชน์ แต่บางคนอัตตาสูงหน่อยก็ไม่ยอม เมื่อไม่ยอมก็ต้อง
เกิดการขัดแย้งและทะเลาะเบาะแว้งเกิดขึ้น ทำให้เป็นอันตรายต่อหมู่คณะเพราะเกิดแตก
ความสามัคคี ถ้าต่างคนต่างมีทิษฐิมานะ เรื่องก็จะรุกรามไปเรื่อย ๆ
ที่แสดงความคิดเห็นนี้ ก็อยากให้มองที่จุดเล็ก ๆ ที่อาจจะดูไม่สำคัญ บานปลายเป็นเรื่อง
ใหญ่ไปได้ เรื่องเล็ก ๆ ถ้าอดทนรับได้เรื่องก็จบไป แต่ถ้าทำให้มันบานปลายละก็มันก็จะกลาย
เป็นใหญ่เรื่องที่แก้ยากหรือแก้ไม่ได้ไป
เรื่องที่ผมรู้ หรือ หลาย ๆ คนในชุมชนนี้รู้ มีแค่นี้ ความจริงแล้วอาจจะมีเรื่องอื่น ๆ มากกว่า
นี้ที่ผม หรือ คนในชุมชนนี้ ไม่รู้ เรื่องนี้ก็ต้องพิจารณาด้วย หลาย ๆ คนจะตัดสินด้วยข้อมูลที่ตัว
เองมีอยู่เท่านั้น ดังนั้นต้องอดทนให้ความจริงปรากฏทุกคนเข้าใจแล้ว จึงค่อยคิดทำอะไรลงไป
ขอให้คุณขุนศึก ในฐานะผู้ดูแลเวปบอร์ด ได้พิจารณาถึงเรื่องนี้ด้วย
#19
โพสต์เมื่อ 31 May 2006 - 07:23 AM
#20
โพสต์เมื่อ 31 May 2006 - 10:55 AM
สุขภาพแข็งแรงทุกท่านครับ
#21
โพสต์เมื่อ 31 May 2006 - 04:59 PM
The Strongest is The Gentlest!
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
าใจนะครับ
อ้าว .......ยังพิมพ์ไม่เสร็จ มันเผลอกดไปก่อน
เออ ไอ้ข้อความ ภาษาประกิด นั้นก็ได้มาจาก พี่ๆๆ ข้างบนนะครับ ชอบรู้สึกว่ามันน่ารักดี
รู้สึกจะเป็น พี่แมรี่ นะครับ
#22
โพสต์เมื่อ 31 May 2006 - 05:52 PM
แต่ขอให้ฟังพี่เถลิงเกียติเถิดค่ะ (ไม่ใช่คนที่แก่กว่าบารมีน้อยกว่าคุณนะคะ)
แล้วมีตรงไหนที่ผมไม่ฟังพี่เขาเหรอครับพี่แมรี่ ขอความกรุณาเทียบยกมาให้ผมดูแบบบรรทัดต่อบรรทัดด้วยเหตุและผลสิครับ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันครับ
เหมาเองสรุปเองอย่างนี้ผมเสียหายนะครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#23
โพสต์เมื่อ 31 May 2006 - 09:38 PM
และเป็นของฟรีด้วย
เหมือนกับอากาศที่เราหายใจอย่างนั้น
ใครมีปัญญาก็เอามาใช้
ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน
และนำมาใช้บ่อยๆ นะลูกนะ
โอวาทพระเดชพระคุณหลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่ 21/04/2535
#24
โพสต์เมื่อ 31 May 2006 - 11:45 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#25
โพสต์เมื่อ 01 June 2006 - 07:15 AM
#26
โพสต์เมื่อ 01 June 2006 - 08:26 AM
ที่หลายๆคนคิดว่าคุณขุนศึกผู้พิชิตหงสาใช้คำพูดแรงไป
คงเป็นเพราะว่าพี่เขาใช้ตัวอักษรตัวใหญ่ละกระมังคะ
เพราะเท่าที่หนูอ่านมา พี่เขาก็ใช้คำพูดเหมือนๆกับพวกเรานี่ล่ะค่ะ ไม่ได้มีวาจาแข็งกระด้างเลยค่ะ
แล้วคุณขุนศึกผู้พิชิตหงสาคงมีเหตุผลส่วนตัว ที่ใช้ตัวอักษรขนาดนี้แน่ๆ
เพราะว่าเห็นพี่เขาใช้มานานแล้วนี่คะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#27
โพสต์เมื่อ 01 June 2006 - 10:25 AM
#28
โพสต์เมื่อ 01 June 2006 - 11:17 AM
ช่วงแรกๆที่เข้ามาในบอร์ดต้องยอมรับค่ะว่าบางครั้งเราอ่านแล้ว รู้สึกเหมือนบางคนใช้คำแรงไป หรือดูจริงๆจังมากๆ ส่วนใหญ่มักจะเป็นโพสต์ของผู้ชายมากกว่านะค่ะ ขออนุญาติยกตัวอย่างนามแฝงนะค่ะ ขออภัยถ้าเกิดล่วงเกินนะค่ะ ไม่ใช่แค่ ขุนศึกผู้พิชิต เท่านั้น แม้แต่ คุณ xlmen คุณหัดฝัน คุณสิริปโภ คุณเถลิงเกียรติ คุณ omena คุณ joysa และแม้แต่จังกึมเอง บางทีเราอ่านแล้วเราก็รู้สึก เอ เนี่ยเค้ากำลังทะเลาะกันหรือเปล่าน้า (ขออภัยอีกทีนะค่ะ ที่เอ่ยนามค่ะถ้าทำให้ไม่พอใจ แต่ส่วนตัวไม่ได้มีอะไรกับใครนะค่ะ ไม่รู้จักตัวจริงซะอีก)
แต่อยากบอกว่า การสื่อสารโดยการอ่านจากที่พิมพ์ มันไม่เหมือนการได้ฟัง ได้เห็นหน้ากันตรงๆ เราไม่รู้อีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าที่เราอ่านนั้น หมายความอย่างที่เราคิดจริงหรือไม่ คือเราเอาอารมณ์เราไปผสมด้วยนั่นเอง บางทีคำพิมพ์บางคำ ผู้พิมพ์ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่อาจจะดุแรงไป หรือไปกระทบกับอีกคนโดยไม่รู้ตัวก็ได้ อาจจะพิมพ์สั้นๆ ใช้คำสั้นๆ เพื่อประหยัดเวลา แต่คนอ่านกลับรู้สึกไม่ดี เป็นต้น
ขอยกตัวอย่างตัวเองละกัน คุยกับแฟนทาง msn แล้วเค้าพิมพ์มาน้อย ใช้คำห้วนๆ เราก็เข้าใจผิดว่าเราถูกตำหนิ เพราะเราใช้การอ่าน ผสมความรู้สึกเราไปเอง คิดว่าเค้าต้องใช้เสียงสำเนียงแบบไหนในการพูดนะ ทั้งๆที่พอโทรไปคุยจริงๆ คำๆเดียวกัน แต่สื่อสารกันคนละทาง ให้ความหมายต่างกันเลยโดยสิ้นเชิงนะค่ะ
เลยอยากฝากเพื่อนๆกัลยาณมิตรทุกท่านนะค่ะ อย่าเพิ่งแปลเจตนาผู้พิมพ์จากแค่ที่เราได้อ่านอย่างเดียว วางใจเป็นกลาง คิดในแง่ดีไว้ ใจเราก็เป็นสุขนะค่ะ อย่างน้อยเราก็สบายใจเราเองค่ะ ส่วนเจตนาที่แท้จริงของคนโพสต์จะเป็นอย่างไรก็.... ช่างเขาเถอะ (ขอใช้คำนี้นะค่ะ เข้าใจง่ายดี) ถ้าเราอยากรู้จริงๆ ไม่สบายใจก็ PM คุยกันดีๆ ดีกว่านะค่ะ จะได้รู้ไปเลยว่าไอ้ที่เราคิดไปเองหน่ะ ถูกหรือผิด นะค่ะ ( เอ PM นี่ก็พิมพ์นะ จะรู้เรื่องกันมั้ยเนี่ย เจอกันต่อหน้าเลยดีกว่ามั้ยนะ )
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะค่ะ รู้ว่าเจตนาดีกันทุกคนค่ะ โดยเฉพาะน้องเกียรติก้อง รู้สึกเราจะเป็นจำเลยนะเนี่ย กระทู้นี้ 555 ล้อเล่นนะจ้ะ เกียรติก้องลองเปลี่ยนเอารูปน่ารักๆ มาลงแทนช้าง อาจจะดู soft ลงก็ได้น้า แต่ยังไงก็แล้วแต่เราหล่ะ เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเราเองนี่นา จะไปเปลี่ยนตามคนอื่นก็ใช่ที่เนอะ
#29
โพสต์เมื่อ 02 June 2006 - 11:06 AM
.......................
ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ...น่าจะมีการรวมพลคนรัก DMC ครั้งที่สองเร็วๆนะครับ
คุณหมอ จังกึม,JOYSA,ท่านขุนศึก,คุณหัดฝัน ,คุณสิริปโภ ,XLMEN,ฟ้าร้าง,extra และ สมาชิกท่านอื่นๆที่ ไม่ได้เอ่ยนาม มาร่วมกันแสวงบุญ สร้างบารมี ปรับความเห็นให้ตรงกันนะครับ...สาธุกับ ไอเดียดีของคุณหมอจังกึม ครับ สาธุ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#30
โพสต์เมื่อ 02 June 2006 - 04:43 PM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.