หากรักที่จะสร้างบารมีรุดหน้าไปให้ได้โดยตลอดรอดฝั่ง พึงสร้างบารมีอย่างมีสติและมีปัญญา
#1
โพสต์เมื่อ 17 September 2006 - 04:10 PM
ขอให้เพื่อนกัลยาณมิตรทุกท่านให้ความสำคัญกับ ปัญญาทางธรรม ด้วย เพราะการทำความดีโดยขาดปัญญาประกอบก็จะยังตนให้เดือดร้อน หรือทั้งตนและผู้อื่นเดือดร้อน แต่ในทางตรงกันข้าม การทำความดีโดยมีปัญญาประกอบ ย่อมยังประโยชน์สุขให้แก่ตนเองและผู้อื่น อีกทั้งความดีนั้นย่อมเป็นความดีที่บริสุทธิ์.
ผู้ที่มีอวิชชา ( ความไม่รู้ตามความเป็นจริง ) มาก ก็มีปัญญาน้อย ความทุกข์เพราะอวิชชาเป็นเหตุก็มาก ความสุขที่ได้จากปัญญาก็น้อย.
ผู้ที่มีอวิชชาน้อย ก็มีปัญามาก ความทุกข์ที่ได้จากอวิชชาก็น้อย ส่วนความสุขที่ได้จากปัญญาก็มาก.
คนบางคนท้อเพราะคิดว่าทำความดีมากมาย แต่ทำไมยังทุกข์ยากลำบากอยู่ ก็เหมือนคนที่ดับไฟไม่ถูกที่. บาป อกุศลธรรม ( ราคะ โทสะ โมหะ ) ทั้งหลายถ้ายังไม่ละ หรือพยายามลด ทุกข์ก็ไม่สามารถลดลงได้ ต้นตอของทุกข์อยู่ที่ การทำบาป และอกุศลธรรมทั้งหลาย. เมื่อเรายังไม่ละต้นตอของทุกข์ และจะให้ทุกข์ไม่เกิดย่อมเป็นไปไม่ได้.
ละบาป แล้วทำบุญ จึงถูกหลักธรรม ดังพระบรมศาสดาทรงสั่งสอนเราว่า ละชั่ว ทำดี และทำจิตให้บริสุทธิ์.
เหมือนคนที่ตัวเหม็นแต่หาเสื้อผ้าราคาแพงๆมาใส่ ความเหม็นของตัวย่อมทำให้ผู้อื่นไม่อยากเข้าใกล้ ด้วยกลัวว่าจะติดเอากลิ่นเหม็นนั้นมา เพระาฉะนั้นควร อาบน้ำ ให้สะอาดก่อน แล้วค่อยหาเสื้อผ้ามาใส่ คนเขาก็อยากเข้าใกล้. คนที่อาบน้ำสะอาดแล้ว ในที่นี้หมายเอาคนที่ อาบน้ำด้วยศีล หอมด้วยกลิ่นของศีล.
คนที่มีศีล ใครๆก็ชื่นชม คนที่หอมด้วยศีล ใครได้กลิ่นก็ชื่นใจ.
คนที่ผิดศีลแล้ว พยายามให้ทานเยอะ พระพุทธองค์ย่อมไม่สรรเสริญ เพราะไม่เป็นผู้ปฎิบัติตามพระพุทธโอวาท. ผู้ที่เคารพบูชา พระรัตนตรัย ย่อมเป็นผู้ไม่ทุศีล ย่อมเป็นผู้เดินตามรอยพระอรหันต์ทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้ตรึกอยู่ในคำสอนของพระบรมศาสดา ย่อมเป็นผู้เห็นไตรลักษณ์ ( สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา และมันไม่ใช่เรา หรือของเรา ) ย่อมเป็นผู้ศึกษาเพื่อความรู้แจ้งในอริยสัจจ์สี่ ( ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับไปของทุกข์ และหนทางปฎิบัติเพื่อความดับทุกข์ ) ย่อมเป็นผู้ปฎิบัติเพื่อ ความคลายกำหนัดในสิ่งทั้งปวง คลายความยึดมั่นในรูปธรรมและนามธรรม ย่อมเป็นผู้ปฎิบัติเพื่อดับความพอใจและไม่พอใจ ( ในรูปและนาม )
ขอให้เพื่อนกัลยาณมิตร ให้เวลาตนเอง ตั่งคำถามแก่ตนเองว่า เราเป็นผู้เดินตามรอยพระบรมศาสดาหรือยัง ถ้ายังเราควรเริ่มเดินตามรอยของพระองค์หรือยัง.
ใครก็ตามที่ยังประกอบอกุศลธรรมอยู่ ชื่อว่าเดินตามทางมืดอยู่ ซึ่งเป็นคนละทางของพระบรมศาสดา ใครก็ตามที่เดินตามทางมืดอยู่ ถึงจะก้มกราบพระพุทธรูป ทั้งเช้า กลางวัน เย็น ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเดินคนละทางกับพระบรมศาสดา.
เมื่อใดที่หยุดอกุศลธรรมได้ เมื่อนั้นจึงชื่อว่า ท่านได้เดินตามรอยพระบรมศาสดา. ท่านจึงได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ และพระบรมศาสดาเป็นครูของท่าน. การกราบไหว้ครู จึงยังประโยชน์แก่ท่าน. การตามระลึกคำสั่งสอนของครู จึงยังประโยชน์แก่ท่าน. ความรัก เคารพในครู ย่อมยังจิตของท่านให้สูงพ้นจากอกุศลธรรมทั้งหลาย. จิตของท่านจะได้สัมผัสกับจิตของครู ซึ่งเปี่ยมไปด้วย ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ. จิตของท่านจะพอกพูนด้วยความบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ความกรุณาต่อทุกชีวิตยิ่งขึ้น ความพอกพูนแห่งปัญญา ( ความรู้แจ้งเห็นจริง - เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่มีอุปทานปรุงแต่ง ).
เมื่อปัญญาเข้ามาแทนที่อวิชชา ไม่ว่าท่านจะนั่ง นอน ยืน เดิน หรือทำกิจใด ท่านก็จะทำอย่างผู้มีปัญญา. การให้ของท่านก็จะเป็นการให้ของผู้มีปัญญา นั่นหมายถึง การให้ของท่านย่อมเป็นประโยชน์ ต่อตนเองและผู้อื่น การให้ของท่านย่อมนำความดับทุกข์ของตนเองและผู้อื่น. การให้ของท่านย่อมส่งเสริมปัญญาของตนและผู้อื่น. ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลย่อมเกิดขึ้นแก่ท่านและผู้อื่น.
ดังนั้น ก่อนจะทำอะไรขอให้ขวนขวายหา ปัญญาที่เป็นสัมมาทิฐิ ไว้ก่อน เพราะเปรียบเสมือน กัปตัน ที่รู้ทางไม่พาไปผิดทาง เสียเวลา วนเวียนอยู่ในวังวนของความทุกข์.
* สำรวมระวังในพระปาฎิโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเล็กน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วย กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารอินทีรย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติ สัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.
โลกอยู่ภายใต้การครอบงำของชรา ก้าวเข้าไปสู่ชรา ไม่ยั่งยืน
โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้เป็นใหญ่
โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวง
โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา.
- สละโลกได้ ก็พ้นทุกข์ได้
#2
โพสต์เมื่อ 17 September 2006 - 07:52 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#3
โพสต์เมื่อ 17 September 2006 - 10:45 PM
ปัญญา...ยิ่งใช้ก็ยิ่งคม อย่าเก็บไว้อย่างเดียว ใช้ด้วยนะจ๊ะ
#4
โพสต์เมื่อ 17 September 2006 - 11:52 PM
และในโอกาสนี้ผมก็ขอฝากข้อเตือนใจที่ผมได้เคยโพสต์ไว้เมื่อนานมาแล้วให้กับทุกท่านด้วยเช่นกันครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#5
โพสต์เมื่อ 18 September 2006 - 11:36 AM
#6
โพสต์เมื่อ 19 September 2006 - 04:43 PM
อยากได้เพลงนี้นะคะ
#7
โพสต์เมื่อ 10 October 2006 - 11:00 PM
ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก
สาธุ
#8
โพสต์เมื่อ 12 October 2006 - 02:08 AM
ประเด็นที่ ๑ การตอบคำถามแบบเถรตรง ผมขอยอมรับว่าการตอบปัญหาธรรมะของผม โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับธรรมภาคปฏิบัตินั้น เป็นการตอบที่ดูค่อนข้างแข็งและเฉียบขาด ถึงกับมีผู้ออกความเห็นว่า ยังขาดศิลปะในการใช้คำพูดไปสักหน่อย ตรงจุดนี้กระผมจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเรียนให้เพื่อนสมาชิกทุกท่านทราบว่า ธรรมภาคปฏิบัตินั้น ต้องใช้ศิลปะแห่งการปฏิบัติในการสัมผัส เรียนรู้ เพื่อให้เข้าใจและเข้าถึง มิใช่ใช้วาทศิลป์ หรือสำนวนโวหารใดๆ มาพร่ำพรรณา เพราะธรรมะประเภทปฏิบัติสัทธรรมนั้น เป็นของสูงยากต่อการที่จะอุปมาอุปไมย หรือใช้ตรรกวิทยาใดๆ ในโลกมาเปรียบเทียบให้เห็นเป็นรูปธรรมได้อย่างชัดเจนและแจ่มแจ้ง ทั้งนี้ ผู้ที่ประสงค์ศึกษาจะต้องลงมือปฏิบัติให้รู้ ให้เห็น ให้เป็นด้วยตัวของตัวเองตามแนวทางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้อย่างถูกวิธีแต่เพียงเท่านั้น การศึกษาธรรมะประเภทนี้จึงจะสัมฤทธิ์ผลสมความปรารถนา อีกประการหนึ่งก็คือ ในระยะหลังนี้ผมได้ลดปริมาณการตอบปัญหาธรรมะในภาคปฏิบัติลง ด้วยเหตุผลดังนี้ว่า
ไม่เห็นประโยชน์ในการตอบ:- เนื่องจากเราต้องยอมรับความจริงอยู่ประการหนึ่งว่า สมาชิกที่เข้ามาสร้างบารมีโดยการให้ธรรมทานบนเว็บบอร์ดอยู่ทุกวันนี้ ล้วนเป็นผู้ที่กำลังฝึกฝนอบรมตนเองอยู่แทบทั้งสิ้น การนำเอาสิ่งที่ตนเองยังปฏิบัติไปไม่ถึงมาเป็นประเด็นวิจารณ์อันนำไปสู่การถกเถียงกันอย่างไม่รู้จักจบนั้น ผมมองเห็นว่าเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ เพราะถ้าหากข้อมูลดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงแล้ว ย่อมจะก่อให้เกิดบาปถึง ๒ สถาน สถานแรก คือ บาปของผู้ให้ เพราะได้ปลูก รู้ เห็นที่ผิดๆ ไว้แก่ผู้อื่น สถานที่ ๒ กรณีนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับนักสร้างบารมีทั้งเก่าและใหม่ กล่าวคือ หากผู้รับข้อมูลข่าวสารเชื่อตามโดยขาดการวินิจฉัยไตร่ตรองให้ดี ย่อมจะทำให้ผู้นั้นเป็นบุคคลที่มีความเชื่ออย่างงมงาย และกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคลได้ในที่สุด เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงตรัสสอนพุทธสาวกของพระองค์ให้มีศรัทธาอันตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลที่เรียกว่า ศรัทธาญาณสัมปยุต หากแต่การศรัทธาโดยมิได้พิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองด้วยเหตุและผลนั้น พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า ศรัทธาญาณวิปยุต อันเป็นความเชื่อของศาสนาในตระกูลเทวนิยมทั้งหลาย เมื่อเราได้ทราบดังนี้แล้ว ถึงตรงจุดนี้ เราควรย้อนกลับมาดูตัวของเราและให้คำตอบแก่ตัวเราเองว่า
ศรัทธาของเราเป็นศรัทธาที่ประกอบไปด้วยปัญญาแล้วหรือยัง? ทิฏฐิของเราได้มีการปรับเทียบให้ตรงตามสัมมาทิฏฐิ อันเป็นความเห็นมาตรฐานที่ตรงและถูกต้องตามครรลองคลองธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพุทธดำรัสตรัสสอนไว้แก่พุทธสาวกของพระองค์แล้วหรือยัง? การศึกษาธรรมประเภทต่างๆ ของเรา ไม่ว่าจะเป็นปริยัติสัทธรรมก็ดี และ/หรือปฏิบัติสัทธรรมก็ดี เรารู้จักเลือกเฟ้นในการจำแนกแจกแจงว่า ข้อธรรมใดที่เป็นแก่นแห่งธรรมอันตรงต่อหนทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา (ซึ่งพุทธศาสนิกทั้งหลายควรมีความกระตือรือร้นพากเพียรศึกษาให้ได้บรรลุถึงซึ่งหนทางอันประเสริฐนั้น) และข้อธรรมอันใดที่เป็นความรู้ที่ผู้ศึกษาเล่าเรียนพึงทราบไว้เพียงแต่ รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม (ไม่ใช่แก่น) บ้าง?
ขอให้เราท่านทั้งหลายได้ย้อนกลับไปทบทวนตัวเองกันสักนิด สะกิดใจกันสักหน่อย ก็คงจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ ที่ผมต้องกล่าวเช่นนี้ก็เพราะ มีความประสงค์ที่จะให้ทุกท่านสร้างบารมีตามติดพระปู่ พระยาย และพระพ่อ อย่างมีสติและมีปัญญา อนึ่ง ผมมีความเห็นว่า หากเราไม่พูดไม่บอกแก่เขา ใครเล่าจักพูด หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือช่วยเขา ใครเล่าจักช่วย ผมจำคำพูดของนักปราชญ์ชาวตะวันตกท่านหนึ่งได้อย่างขึ้นใจว่า ความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุด คือ การไม่ลงมือทำอะไรเลย ด้วยเหตุผลนี้ จึงเป็นที่มาของการตั้งกระทู้เพื่อปรับความเข้าใจซึ่งกันและกันครับ
บทสรุป; ต้องขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกบางท่านที่ได้มีการแจ้งเตือนมาทาง PM ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เอาเป็นว่าผมจะพยายามปรับการตอบคำถามในส่วนที่ผมสามารถปรับได้ แต่สำหรับเรื่องของการตอบปัญหาในส่วนที่เป็นธรรมภาคปฏิบัตินั้น ผมขอตามพระทัยและผูกขาดเหตุผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวนะครับ
ประเด็นที่ ๒ การโพสต์กระทู้ที่มีเนื้อหาสาระไม่เกี่ยวข้องกับธรรมะ หากทางทีมงานได้มีมติเห็นชอบให้มีการถอดถอน ซึ่งการถอดถอนจะทำในรูปแบบที่มีการแจ้งเตือนทาง PM และไม่มีการแจ้งเตือนให้ทราบล่วงหน้า สมาชิกทุกท่านต้องใช้ดุลยพินิจพิจารณาถึงความเหมาะสมของกระทู้ และบทความด้วยตนเองว่า ควรไม่ควรอย่างไร? เนื้อหาของบทความที่ได้มีการนำเสนอนั้น มีความมุ่งหมายที่จะประชดประเทียดเสียดสีเพื่อนสมาชิกให้เกิดความขุ่นเคืองคับแค้นใจหรือไม่? ผมเองก็ใช่ว่าจะมีเวลาลงมาดูแลทุกอย่างบนบอร์ดนี้ได้ตลอด เพราะฉะนั้น หน้าที่ในการดูแลชุมชนธรรมะจึงเป็นหน้าที่ของทุกคน ซึ่งการนำบทความต่างๆ มาลง ควรพิจารณาให้สัมพันธ์กับหมวดหมู่เพื่อลดภาระในการโยกย้ายกระทู้ของเจ้าหน้าที่ดูแลระบบลงด้วยนะครับ
ประเด็นที่ ๓ การทำหน้าที่เป็นทนายแก้ต่างให้แก่พระพุทธศาสนาและวิชชาธรรมกาย
สืบเนื่องจาก;
=> http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=4617
=> http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=4731
ถึงเวลานี้ ผมอยากให้ทุกท่านลองมองย้อนกลับมามองตัวของเราเองด้วยว่า ตัวเราเป็นอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า? เพราะเสียงโจทย์ขานเหล่านั้น ล้วนเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการทำงานและกระทำของเราและหมู่คณะ (ว่าแท้ที่จริงแล้ว เราโตขึ้นหรือเรายังไม่โต) ซึ่งในบางครั้งตัวเราเองอาจมองไม่เห็น หรืออาจไม่ตระหนักถึงสิ่งซึ่งเป็นเสียงสะท้อนจากสังคมภายนอก อีกประการหนึ่งก็คือ ผมอยากให้ทุกท่านในที่นี้ลองตรวจสอบกับตัวของเราเองว่า
การทำบุญของเราแบบทุ่มเทจนสิ้นเนื้อประดาตัวนั้น เราทำให้ตัวของเราเองเดือดร้อนหรือเปล่า? เราทำให้ บุพการี ญาติพี่น้อง วงศ์ตระกูลของเรา ไม่ได้รับการสงเคราะห์เท่าที่ควรเพราะการทำบุญของเราหรือไม่? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนพุทธสาวกของพระองค์ให้ดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางแห่งความพอดีที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา บัดนี้ เราได้ดำรงตนตามพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนแล้วหรือยัง? เรามีความเข้าใจถึงสิ่งที่ครูบาอาจารย์ของเราได้พร่ำอบรมสั่งสอนด้วยคำกล่าวที่ว่า ทำบุญอย่าให้เกินกำลังตนเอง อย่าให้เดือดร้อนตนเอง ทุ่มหมดใจ แต่ไม่หมดตัว มากน้อยเพียงใด? และการที่เราจะออกไปทำหน้าที่เป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาและวิชชาธรรมกายนั้น เราต้องพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความพยายามทำตัวของเราเองให้บริสุทธิ์มากน้อยเพียงใด? (ก่อนที่เราจะไปว่ากล่าวว่าบ้านของคนอื่นเขาสกปรกรกรุงรัง ณ เวลานี้ เราได้ทำบ้านของเราเองให้สะอาดหมดจดแล้วหรือยัง?) เวลาที่เพื่อนกัลยาณมิตรได้เมตตาอบรม สั่งสอน และตักเตือนเราด้วยความปรารถนาดี เรามีความเอาใจใส่มากน้อยแค่ไหน? เรามีใจเปิดกว้างที่จะยอมรับเอาสิ่งดีๆ เหล่านั้นมาสู่ตัวเรามากน้อยเพียงใด? หรือเราก็ยังมีทิฏฐิมานะ ยังทำตัวเป็นผู้ว่านอนสอนยาก ยังทุ่มเถียงแบบไม่มีเหตุผล ยังไม่เปิดใจที่จะน้อมรับเอาคำเตือนเหล่านั้น มาปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาตนเอง ตรงจุดนี้ผมเข้าใจนะครับว่า โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น ชอบเป็นผู้สอนมากกว่าผู้ถูกสอน หากเรายังคงมีพฤติกรรมเช่นนี้ ยังไม่มีความสมัครสมานสามัคคีรอมชอมกัน ประโยชน์อะไรที่เราจะไปแนะนำ ตักเตือน พร่ำสอนผู้อื่น ในเมื่อตัวเราเองก็ยังไม่ยอมรับฟังเหตุและผลของเพื่อนกัลยาณมิตรด้วยกันเลย เราสามารถตำหนิติเตียนผู้อื่นว่า ผู้ที่ชี้โทษ ว่ากล่าว ตักเตือนนั้น เป็นผู้ที่ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่เรา แล้วตัวเราล่ะครับ เราได้หยิบยื่นความเป็นธรรมให้แก่ผู้อื่นแล้วหรือยัง? หรือเรายังคงยืนกรานอยู่ว่า เราสามารถเป็นผู้ที่กล่าวโทษผู้อื่นได้เพียงฝ่ายเดียว โดยที่ผู้อื่นไม่สามารถให้คำชี้แนะ อบรม พร่ำเตือนแก่เราได้ เมื่อต้องตกเป็นฝ่ายที่ประพฤติพลาดพลั้งในภายหลังบ้าง
ปล. ผมขออาสาทำหน้าที่ในการปรับความเข้าใจและปรับฐานความรู้ของเพื่อนกัลยาณมิตรอยู่ที่บ้านหลังนี้ก็แล้วกันนะครับ เพราะได้เล็งเห็นถึงความสำคัญว่า หากฐานของเรายังไม่มั่นคง แล้วเราจะสามารถต่อยอดความรู้อันจะนำไปสู่การเผยแผ่การขยับขยายฐานที่ตั้งของพระพุทธศาสนาและวิชชาธรรมกายให้ออกไปสู่ใจของชาวโลกและสรรพสัตว์ทั้งหลายได้อย่างไร? หากความสามัคคีปรองดองของพวกเรายังไม่มี พลังมวลแห่งคุณความดี อันจะก่อให้เกิดเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามให้แก่ชาวโลกจะเกิดขึ้นได้ฤๅ?
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#9
โพสต์เมื่อ 12 October 2006 - 10:57 AM
ไม่เห็นประโยชน์ในการตอบ:- เนื่องจากเราต้องยอมรับความจริงอยู่ประการหนึ่งว่า สมาชิกที่เข้ามาสร้างบารมีโดยการให้ธรรมทานบนเว็บบอร์ดอยู่ทุกวันนี้ ล้วนเป็นผู้ที่กำลังฝึกฝนอบรมตนเองอยู่แทบทั้งสิ้น...___By ท่าน 'ขุนศึกฯ'
ดังนั้น ข้าพเจ้าก็ใคร่ปราถนาอยากจะ ขอขมา ลาโทษ ทั้งหลายทั้งปวง ไว้ ณ. ที่นี้อีกครั้ง ในการที่ข้าพเจ้า อาจพลาดพลั่ง หรือ เผลอล่วงเกิน ท่านทั้งหลายๆ ไม่ว่าจะเป็น ทางกาย ทางวาจา หรือ ทางใจ ก็ดี โดยเจตนา หรือไม่เจตนาก็ดี โดยความรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ดี โดยความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ดี ขอ ทุกๆท่าน ได้โปรด อโหสิกรรมเหล่านั้น แก่ข้าพเจ้า ด้วยเทอญครับ สาธุ...สาธุ...สาธุ...ครับ
บทสรุป; ต้องขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกบางท่านที่ได้มีการแจ้งเตือนมาทาง PM ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เอาเป็นว่าผมจะพยายามปรับการตอบคำถามในส่วนที่ผมสามารถปรับได้ แต่สำหรับเรื่องของการตอบปัญหาในส่วนที่เป็นธรรมภาคปฏิบัตินั้น ผมขอตามใจและผูกขาดเหตุผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวนะครับ...___By ท่าน 'ขุนศึกฯ'
"การทำบุญของเราแบบทุ่มเทจนสิ้นเนื้อประดาตัวนั้น เราทำให้ตัวของเราเองเดือดร้อนหรือเปล่า? เราทำให้ บุพการี ญาติพี่น้อง วงศ์ตระกูลของเรา ไม่ได้รับการสงเคราะห์เท่าที่ควรเพราะการทำบุญของเราหรือไม่? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนพุทธสาวกของพระองค์ให้ดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางแห่งความพอดีที่เรียกว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" บัดนี้ เราได้ดำรงตนตามพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนแล้วหรือยัง? เรามีความเข้าใจถึงสิ่งที่ครูบาอาจารย์ของเราได้พร่ำอบรมสั่งสอนด้วยคำกล่าวที่ว่า "ทำบุญอย่าให้เกินกำลังตนเอง อย่าให้เดือดร้อนตนเอง ทุ่มหมดใจ แต่ไม่หมดตัว" มากน้อยเพียงใด? และการที่เราจะออกไปทำหน้าที่เป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาและวิชชาธรรมกายนั้น เราต้องพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความพยายามทำตัวของเราเองให้บริสุทธิ์มากน้อยเพียงใด? (ก่อนที่เราจะไปว่ากล่าวว่าบ้านของคนอื่นเขาสกปรกรกรุงรัง ณ เวลานี้ เราได้ทำบ้านของเราเองให้สะอาดหมดจดแล้วหรือยัง?) เวลาที่เพื่อนกัลยาณมิตรได้เมตตาอบรม สั่งสอน และตักเตือนเราด้วยความปรารถนาดี เรามีความเอาใจใส่มากน้อยแค่ไหน? เรามีใจเปิดกว้างที่จะยอมรับเอาสิ่งดีๆ เหล่านั้นมาสู่ตัวเรามากน้อยเพียงใด? หรือเราก็ยังมีทิฏฐิมานะ ยังทำตัวเป็นผู้ว่านอนสอนยาก ยังทุ่มเถียงแบบไม่มีเหตุผล ยังไม่เปิดใจที่จะน้อมรับเอาคำเตือนเหล่านั้น มาปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาตนเอง ตรงจุดนี้ผมเข้าใจนะครับว่า โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น "ชอบเป็นผู้สอนมากกว่าผู้ถูกสอน" หากเรายังคงมีพฤติกรรมเช่นนี้ ยังไม่มีความสมัครสมานสามัคคีรอมชอมกัน ประโยชน์อะไรที่เราจะไปแนะนำ ตักเตือน พร่ำสอนผู้อื่น ในเมื่อตัวเราเองก็ยังไม่ยอมรับฟังเหตุและผลของเพื่อนกัลยาณมิตรด้วยกันเลย เราสามารถตำหนิติเตียนผู้อื่นว่า ผู้ที่ชี้โทษ ว่ากล่าว ตักเตือนนั้น เป็นผู้ที่ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่เรา แล้วตัวเราล่ะครับ เราได้หยิบยื่นความเป็นธรรมให้แก่ผู้อื่นแล้วหรือยัง? หรือเรายังคงยืนกรานอยู่ว่า เราสามารถเป็นผู้ที่กล่าวโทษผู้อื่นได้เพียงฝ่ายเดียว โดยที่ผู้อื่นไม่สามารถให้คำชี้แนะ อบรม พร่ำเตือนแก่เราได้ เมื่อต้องตกเป็นฝ่ายที่ประพฤติพลาดพลั้งในภายหลังบ้าง"...___By ท่าน 'ขุนศึกฯ'
ข้าพเจ้าใคร่ ขอขอบคุณสำหรับคำถามเหล่านี้อีกครั้งนะครับ ขอบคุณครับ (ไว้มาถามใหม่อีกบ่อยๆ ตามสมควรนะครับ )
ตัวข้าพเจ้าเองในฐานะ ผู้ที่มาใหม่ และผู้ที่กำลังฝึกตัว ฝึกตนเองอยู่ ขอให้ และเป็น กำลังใจ แด่ท่านเหล่านั้น ด้วยอีกคน และอยากจะบอกว่า ท่านเหล่านั้นอีกว่า ท่านเป็นตัวอย่างที่ดี และเป็นครู ในหลายๆเรื่อง ให้กับตัวของข้าพเจ้า อยู่ด้วยเสมอ ณ. ที่แห่งนี้ DMC webboard นะครับ ขอขอบคุณจากใจ อีกครั้งครับ
ถ้ามีอะไร โดยส่วนตัวของข้าพเจ้า ใคร่ขอ ความกรุณา จากท่านเหล่านั้น ได้โปรดอย่าเกรงใจ และได้โปรดชี้แนะ บอกกล่าว และ สั่งสอน ข้าพเจ้าด้วยนะครับ โดยถ้ามี ความรัก และความปราถนาดี ที่มีให้ต่อกันจริงๆ "ต้อง" แนะนำ และ กล่าวตักเตือน ในสิ่งที่เห็นสมควรแล้วนะครับ เพราะข้าพเจ้าเจ้าเชื่อว่าตราบใดที่เราทุกๆชีวิต ยังต้องถือกำเนิดมาใน ภพภูมิมนุษย์นี้ ตราบนั้นยังมีที่ๆว่างเสมอสำหรับการพัฒนาปรับปรุง เพื่อให้ได้ ความสมบรูณ์ที่สุดของที่สุด ซึ่งเราชาวพุทธเรียกว่า พระนิพพาน แล้วไซร้ ตราบนั้นเราก็เสร็จกิจ ในภพภูมิมนุษย์นี้ อย่างถาวรกันแล้วละครับ
ข้าพเจ้าขอ ขอขอบคุณ และ อนุโมทนาบุญ กับ ท่านขุนศึกฯ และ ท่านเหล่านั้น สาหรับทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง ที่ ท่านได้กระทำมา ไว้ดีแล้ว ไว้เหมาะสมแล้ว ด้วยจ้า
สาธุ...สาธุ...สาธุ...ครับ
ขอเชิญร่วม อนุโมทนาบุญ งานบุญกฐินพระราชทาน ที่ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก คลิ๊กที่นี้
Who am I?__>>> CLick Here <<< to see my answer Post # 7
.
รวมภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า: คลิ๊กที่นี้คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 58 files, 120.99 MB, for easy listening dharmas.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 121 really-good-to-read e-books, 295.67 MB.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Free Download Manager ช่วย Download ไฟล์ใหญ่ๆ ต่างๆ ฟรีครับฟรี
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Acrobat Reader V.5
.
The basic knowledge of Buddhism to become a better buddhist Edition 2 คลิ๊กที่นี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
-= Hillary Clinton =-.... >>>>>>> CLicK HeRe <<<<<< To Be wisher, To Be smarter, and To Know Better !!!
#10
โพสต์เมื่อ 12 October 2006 - 11:55 AM
สาธุ
#11
โพสต์เมื่อ 13 October 2006 - 08:10 PM
สาธุ___By ท่าน 'บุญเย็น'
สาธุ...สาธุ...สาธุ...ครับ
ขอเชิญร่วม อนุโมทนาบุญ งานบุญกฐินพระราชทาน ที่ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก คลิ๊กที่นี้
Who am I?__>>> CLick Here <<< to see my answer Post # 7
.
รวมภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า: คลิ๊กที่นี้คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 58 files, 120.99 MB, for easy listening dharmas.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 121 really-good-to-read e-books, 295.67 MB.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Free Download Manager ช่วย Download ไฟล์ใหญ่ๆ ต่างๆ ฟรีครับฟรี
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Acrobat Reader V.5
.
The basic knowledge of Buddhism to become a better buddhist Edition 2 คลิ๊กที่นี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
-= Hillary Clinton =-.... >>>>>>> CLicK HeRe <<<<<< To Be wisher, To Be smarter, and To Know Better !!!
#12
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 04:15 AM
ความสงสัยอันใดที่มิก่อประโยชน์และพาดพิงถึงพระเดชพระคุณนั้น
ขออย่าได้โผล่มาให้ใจขุ่นอีกเลย สาธุ
เลือกเอา ใจใสๆ
#13
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 11:27 AM
#14
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 11:37 AM
หากเรารู้เป้าหมายชีวิตว่า เราเกิดมาสร้างบารมีแล้ว เราก็ควรสร้างบารมีให้เต็มที่ สร้างบารมีให้ดีสุด แต่การจะสร้างบารมีให้ได้ดีที่สุด และสร้างได้อย่างตลอดรอดฝั่งนั้น ต้องต้องติดธรรมะ อย่าติดในบุคคล เพราะบุคคลนั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยบางครั้งเขาไม่อาจเป็นไปตามที่เราต้องการ และหากมีเรื่องขัดใจกัน หรือมีเหตุการณ์ที่ทำให้ศรัทธาของเราตกแล้ว จะเป็นเหตุให้เราไม่อยากสร้างบารมีเพราะคนๆ นั้น ซึ่งเท่ากับเป็นการตัดรอนการสร้างบารมีของตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย
ดังนั้นการสร้างบารมีให้ยึดธรรมะเป็นหลัก ยึดธรรมะเป็นที่พึ่งโดยอย่าไปหวังให้ใครมาเป็นที่พึ่งที่แท้จริงให้เราเลย ซึ่งถ้าเราหวังอย่างนี้ เราจะผิดหวัง เพราะทั่วแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ยกเว้นพระรัตนตรัยแล้ว ไม่มีใครช่วยเราให้พ้นทุกข์ได้ เพราะทุกคนล้วนยังมีกิเลส ยังไม่สมบูรณ์ด้วยกันทั้งนั้น และด้วยเหตุนี้ เราจึงจำเป็นต้องทำใจให้หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 เพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในตัว ให้มีธรรมะภายในเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดและเมื่อทำได้อย่างนี้ เราก็จะไม่พบความผิดหวัง และสามารถสร้างบารมีไปได้อย่างตลอดรอดฝั่งอีกด้วย......
ท่านสามารถสืบค้นข้อมูลได้จากกระทู้นี้ครับ => http://www.dmc.tv/fo...wtopic=5438&hl=
#15
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 12:16 PM
#16
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 12:26 PM
#17
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 12:34 PM
และอย่าใจน้อย ให้ทำใจให้กว้างใหญ่ไพศาล
#18
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 01:29 PM
#19
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 06:04 PM
ทนต่อความทุกข์ยาก
ทนต่อทุกขเวทนา
ทนต่อการยั่วยุ กระทบกระทั่ง
ทนต่อกิเลส สิ่งเย้ายวนใจ
และตอกย้ำเป้าหมายให้มั่นคง
#20
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 06:22 PM
การยึดติดสิ่งต่างๆ ซึ่งอาจมีความไม่แน่นอน ก็อาจทำให้เป้าหมายชีวิตเบี่ยงเบนไปได้
ยึดเป้าหมายเป็นหลักดีกว่า
ขอให้ผู้ที่กำลังสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ขอโปรดรู้สึกบ่อยๆ ว่า ...ตัวเราจะรู้ตัวอยู่เสมอว่า กำลังทำอะไรอยู่
และทำความรู้สึกชื่นใจและพอใจกับสิ่งที่ตนเองกำลังทำ(สร้างบารมี) ว่านี่คือหนทางที่ดีที่สุดแล้ว
แม้ว่าอะไรๆ จะเปลี่ยนไป แต่ธรรมะในใจ จะยังแจ่มชัด และสดใสอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะล้ม จะลุก คลุกคลาน ก็ต้องสู้ จนถึงวันสุดท้าย ...สู้ แล้วจะชนะ
#21
โพสต์เมื่อ 25 October 2006 - 12:44 AM
คนเราบางครั้งยึดติดกับบางสิ่งบางอย่าง หรือคนบางคน เมื่อยึดติดก็จะมีการคาดหวังว่าจะต้องอย่างที่เราหวัง แต่บางครั้งมีบางสิ่งที่ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดไว้ ก็จะผิดหวังได้ ทำให้เสียใจบ้าง น้อยใจบ้าง จนพาลไม่อยากสร้างบารมีต่อ แบบนี้มีเยอะนะคะ เห็นจาก case study ต้องออกจากหมู่คณะ บางคนพลัดกันเป็นพุทธันดรก็มี น่ากลัวมากๆค่ะ
ครูบาอาจารย์บอกไว้ว่า ให้ยึดติดกับธรรมะ ไม่ให้ยึดติดตัวบุคคล
และต้องระวังไม่ให้ตัวเองมีความน้อยใจด้วย ต้องบอกตัวเองอยู่เสมอว่า เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี ก็ต้องสร้างบารมีให้ถึงที่สุด
ตอกย้ำเป้าหมายกับตัวเองบ่อยๆ ทุกๆวัน โดยเฉพาะเวลาที่เกิดความน้อยใจขึ้นมา ต้องตอกย้ำและสอนตัวเองให้ได้
#22
โพสต์เมื่อ 25 October 2006 - 03:43 PM
พุทธพจน์
#23
โพสต์เมื่อ 25 October 2006 - 06:36 PM
จะอาศัยเรือไปขึ้นเกาะ พอขึ้นเกาะแล้วก็ไม่จำเป็นต้องแบกเรือไปด้วย
----------
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#24
โพสต์เมื่อ 25 October 2006 - 07:16 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#25
โพสต์เมื่อ 25 October 2006 - 07:38 PM
ลูกพระธรรม
#26
โพสต์เมื่อ 25 October 2006 - 10:09 PM
#27
โพสต์เมื่อ 13 November 2006 - 09:32 PM
#28
โพสต์เมื่อ 06 April 2007 - 08:23 PM
#29
โพสต์เมื่อ 28 July 2007 - 06:12 PM
#30
โพสต์เมื่อ 02 November 2007 - 05:53 AM