เทพธิดาที่ดุสิตบุรีมีครอบครัวได้ไหมคะ
#1
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 09:30 AM
แล้วเทพบุตรกับเทพธิดาที่ดุสิตล่ะคะ มีครอบครัวกันบ้างหรือเปล่า
ถ้าประเภทที่มีครอบครัวคงจะไม่ใช่สมณเทพบุตรถูกต้องไหม..
แล้วเขามีครอบครัวกันอย่างไรล่ะคะ มีลูกหรือเปล่า? จริงๆ เคยฟัง case stydy มาบ้างแก็ยังไม่ได้รายละเอียดแบบเจาะลึกสักที
ใครทราบข้อมูลเมตตาบอกเป็นธรรมทานด้วยค่ะ....
เอ่อ!!! จริงๆแล้ว น้อมเศียรเกล้าอยากสร้างบารมีบนโลกมนุษย์ให้ได้มากที่สุดน่ะค่ะ จะพยายามไม่มีครอบครัว แต่ก็ตัดใจไม่ได้ 100%...แต่ก็สงสัยว่าคู่รักที่รักกันมากๆน่ะค่ะ แล้วก็เข้าวัดด้วยกันด้วยน่ะ ไปเจอกันทีเดียวข้างบนเลยได้มั้ย อยากให้โลกมนุษย์นี้สร้างบารมีแบบสุดๆน่ะค่ะ เอาไว้เวลาพักผ่อนค่อยว่ากัน...
เฮ้อ..น้อมเศียรเกล้าแย่แล้วล่ะทีนี้..จะได้เป็นสมณเทพบุตรกับเขาบ้างมั้ยเนี่ย
#2
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 09:43 AM
สมณเทวบุตร คือ เทวบุตรนักบวชที่มีอยู่เฉพาะแต่ในสวรรค์ชั้นดุสิตครับ ซึ่งผู้ที่มีสิทธิ์เป็นสมณเทวบุตรนั้น สามารถเป็นได้ทั้งชายและหญิง แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า ต้องเป็นผู้ที่บำเพ็ญและมีพรตพรหมจรรย์ที่สมบูรณ์ด้วยความเป็นพระภายในและภายนอกแต่เพียงเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์เป็นสมณเทวบุตรได้ครับ
#3
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 09:46 AM
สวรรค์ชั้นดุสิตเขตทั่วไปก็มีที่เป็นคู่ๆ เท่าที่จำได้ประมาณแค่จับมือก็เป็นสุขแล้ว
แต่ถ้าวงบุญพิเศษไม่น่ามี เพราะต้องไปนั่งสมาธิให้มหาสมณเทพบุตรท่านช่วยกลั่นแก้ธาตุธรรม
#4
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 09:47 AM
#5
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 09:48 AM
ดังนั้น เทพบุตรและเทพธิดาของสวรรค์ทุกชั้น ก็สามารถมีครอบครัวได้ หรือ ถ้าคิดประพฤติพรหมจรรย์ก็ทำได้ครับ เหมือนสังคมมนุษย์นั่นแหละครับ ก็มีทั้งผู้มีครอบครัว และไม่มีครอบครัว
สมณ แปลว่า นักบวช ดังนั้น ผู้ยังมีครอบครัว ก็ย่อมไม่ใช่นักบวช ถูกต้องแล้วล่ะครับ มนุษย์เป็นอย่างไร สวรรค์ก็เป็นแบบนั้น
เขามีครอบครัวกันอย่างไร มีเคส Study สมัย 2-3 ปีที่แล้วครับ สามารถไปหาฟังได้อย่างละเอียด แต่ในที่นี้ ผมจะอธิบายย่อๆ ไปก่อน ส่วนถ้าสนใจอยากฟังรายละเอียดเพิ่มเติม ก็ไปหาได้ครับ
เขามีครอบครัวกันคล้ายๆ มนุษย์น่ะครับ เพียงแต่ว่า ลูกที่เกิดนั้น จะเกิดแบบโอปปาติกะ คือ เกิดแบบ โตทันที โดยมารดาไม่ต้องตั้งท้อง แต่บุตรจะแว็บปรากฏขึ้นบนตักมารดาทันทีน่ะครับ
การคิดมีครอบครัวหรือไม่มีครอบครัวนั้น สำหรับผู้มาใหม่ ผมว่าอย่าเพิ่งกังวลกับเรื่องพวกนี้มากนักครับ แต่ให้เราหมั่นสั่งสมบารมี ทั้งทาน ศีล ภาวนา ยิ่งๆ ขึ้นไป พอใจเราเข้าใจโลกและชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะดำเนินชีวิตไปอย่างเป็นธรรมชาติ ทำความดียิ่งๆ ขึ้นไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกฝืนกับชีวิตน่ะครับ
เหมือนเด็ก ที่พ่อแม่บังคับให้กินผัก บอกแค่ว่าดี ซึ่งเด็กก็ฝืนกินไปอย่างขมๆ
กับเด็กอีกคนหนึ่ง ที่พ่อแม่ค่อยๆ บดผักให้ทีละน้อยๆ ตั้งแต่เด็ก พร้อมทั้งหาหนังสือนิทานให้เด็กอ่านเกี่ยวกับประโยชน์ต่างๆ ของผัก ทีนี้พอเด็กค่อยๆ ซึมซับว่า กินผักดี เด็กก็จะค่อยๆ กินผักด้วยความเต็มใจเอง โดยไม่รู้สึกฝืนใจอีกเลยล่ะครับ
#6
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 09:50 AM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#7
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 10:00 AM
แบ่งความรู้เป็นธรรมทาน ซึ่งกันและกันไงค่ะ
อนุโมทนาบุญกับคุณหัดฝันด้วยนะคะ ได้ทบทวนความรู้อีกครั้ง หลักจากที่เลอะเลือนไปเนินนาน
หยุดนั่นเองเป็นตัวสำเร็จ
ทั้งทางโลกและทางธรรม สำเร็จหมด
#8
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 10:02 AM
เห็นด้วยกับคุณหัดฝันครับ ค่อยๆ สั่งสมไปนะครับ แต่ที่แน่ๆ มาคิดว่าจะสร้างบุญยังไงให้กลับไปสวรรค์ชั้นดุสิตให้ได้ก่อนน่าจะดีกว่านะครับ เรื่องมีครอบครัว หรือ ไม่มีเนี่ย จะกลายเรื่องรองทันที เมื่อเทียบกับความคิดที่ว่าจะสร้างบุญยังไงให้กลับดุสิตให้ได้นะครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#9
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 10:12 AM
เคยได้ยินว่ามีอยู่ชั้นหนึ่งที่แค่มองตากันก็เป็นสุขแล้วคือชั้นไหนหรือครับ
อยากได้รายละเอียดของชั้นนิมมานรดี กับปรมิตวัสวดีด้วยครับ เคยได้ฟังแค่ชั้นดุสิตเท่านั้นเองน่ะครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#10
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 10:44 AM
#11
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 11:30 AM
ส่วนจะมีคู่ครองได้หรือไม่ในสวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์ทั้ง 6 ชั้นเป็นกามภพ สามารถมีคู่ครองได้ทุกชั้นครับแต่ลักษณะของการเสพกามนั้นจะละเอียดปราณีตแตกต่างกัน
1. จาตุมหาราชิกา การเสพกามจะเหมือนบนโลกมนุษย์คือมีทั้งพวกลักเพศ บัณเฑาะว์รวมอยู่ด้วย
2. ดาวดึงส์ จะไม่มีพวกลักเพศจะมีแต่ชายจริงหญิงแท้มีแต่เทพบุตรกับเทพธิดาและเสพกามเหมือนพวกมนุษย์แต่จะปราณีตขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง
3. ยามา แม้เพียงการโอบกอดกันของเทพบุตรและเทพธิดาที่เป็นคู่ครองกันก็สำเร็จกามกิจแล้ว
4. ดุสิตา เพียงแค่คู่ครองจับมือกันก็สำเร็จกามกิจ
5. นิมมานรดี แค่ส่งยิ้มให้กันก็สำเร็จกามกิจ
6. ปรนิมมิตวสวัตดี เพียงแค่สบตากันก็สำเร็จกามกิจอย่างที่คุณเคยเข้าวัดบอก
สรุปแล้วไม่ว่าสวรรค์ชั้นไหนล้วนแต่มีคู่ครองได้ถ้าต้องการ เพราะล้วนเป็นกามภพที่มีการเสพกามด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่จะละเอียดปราณีตแตกต่างกันไปตามกำลังบุญ
#12
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 11:31 AM
ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ จะดีใจเสียใจไปทำไม
สิ่งทั้งหลายก็คล้ายความฝัน ตื่นขึ้นมาก็พลันหายไป
ดั่งของที่ขอยืมมา ในไม่ช้าต้องคืนเขาไป
ชีวิตที่ผ่านมา เหมือนภาพลวงตา กลางทะเลทราย
สักวันต้องไปสู่จุดสลาย ทำไมจะต้องไปผูกพัน
ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากคลายความผูกพัน คลายความผูกพัน
ปล่อยวางได้ ใจก็จะสบาย สบายอย่างที่ไม่เคยเป็น
ไม่ช้าใจจะใสบริสุทธิ์ หยุดนิ่งอยู่กลางกาย
จะเข้าถึงความสุขที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีประมาณ
ชีวิตจะเบิกบาน ด้วยตัวของเราเอง
"ชีวิตจะเบิกบานด้วยตัวของเราเอง"
ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกปรอดโปร่งจริงๆ
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#13
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 11:34 AM
ส่วนสวรรค์ชั้นที่ 6 ปรินิมมิสสวสวตี เพียงแค่ สบตากันด้วยความพึงใจทั้งสองฝ่าย ก็ถือว่า สำเร็จกิจในการเสพกาม แล้วล่ะครับ
#14
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 11:37 AM
น้อมเศียรเกล้าจะไปรอดไหมล่ะเนี่ย..อุตส่าห์ตั้งใจจะถวายตัวเป็นข้าพระบาท ค้ำคูณพระศาสนา ถ้ามาติดเรื่องนี้ตกกระป๋องแหงๆ
อย่างที่พี่น้องทุกท่านแนะนำล่ะค่ะ ตอนนี้ก็ทำบุญ ปฎิบัติธรรมไปเรื่อยอย่างสุดกำลัง หวังว่าสักวันหนึ่งบุญจะมาสอนให้เอาชนะ กิเลสในใจตนได้
ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย....
#15
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 11:38 AM
อารมย์ ความรู้สึก นึกคิด ของมนุษย์ นะเมื่ออยู่บนโลก เมื่อจะเปรียบเทียบกับเมื่อไปอยู่บนสวรรค์เช่นชั้นดุสิต แล้วก็คงจะเทียบกันไม่ได้ เพราะสังขาร ธาตุละเอียดหยาบความเป็นนามเป็นรูป จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จึงแน่นอนที่สุดคือ ความต้องการทางกายภาพจะต่างกัน (แต่คงมีสัญญา คงมีอารมย์ ที่จะยังเกาะเกี่ยวกันอยู่บ้างอยู่ในสภาพของใจ)
ดังนั้น ที่เรามีความรู้สึกว่า สุขสนุกสนานจริงๆในโลกมนุษย์ นะ มันมีสังขารหยาบเป็นปัจจัย
แต่ถ้าอยู่บนนั้นเป็นภพที่ละเอียด ความรู้สึกนึกคิดก็คงอีกอย่างหนึ่งคืออาจจะมีความสุขกับการทำใจหยุดนิ่งเป็นหลักก็ได้
(เป็นความคิดจากหลักเหตุและผลนะครับ)
#17
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 11:53 AM
น้อมเศียรเกล้าจะไปรอดไหมล่ะเนี่ย..อุตส่าห์ตั้งใจจะถวายตัวเป็นข้าพระบาท ค้ำคูณพระศาสนา ถ้ามาติดเรื่องนี้ตกกระป๋องแหงๆ
ไม่น่าจะใช่นะครับ ถ้าคิดจะมีชีวิตคู่แล้วอดไปดุสิตเนี่ยยยย..... ผมไม่เคยได้ยินหลวงพ่อพูดเช่นนั้น เคยได้ยินแต่ว่า ถ้าแต่งงานก็ต้องทำการงานให้ดีขึ้น การงานในที่นี้คือ การงานในการสร้างบารมี ถ้าแต่งงานไปแล้วสร้างบารมีได้ดีขึ้นก็โอเค แต่ถ้าแต่งงานแล้วทำให้การสร้างบารมีสะดุด อันนี้ไม่โอเคแน่นอน
ที่พูดเช่นนี้ก็เห็นมีหลายเคสที่เป็นคนวัดแล้วไปมีครอบครัว แต่ก็ยังสามารถกลับดุสิตได้ เท่าที่นึกออกก็เคส เทพบุตรของคุณคำน้อย แสงใจ สามีคุณคำน้อยก็สามารถกลับดุสิตได้เช่นกัน
แต่ถ้าเป็นหญิงแล้วยังคิดแต่งงานก็ต้องยอมรับสภาพว่า ภพชาติต่อไป ก็ยังต้องเกิดเป็นหญิง ก็เท่านั้น เพราะหญิงที่จะหลุดพ้นจากหญิงได้ ต้องมีจิตคิดประพฤติพรหมจรรย์ ถ้ายังคิดแต่งงานก็แสดงว่า ยังมีวิบากกรรมที่ทำให้เป็นหญิงอยู่
อ่า...ไม่ได้คิดมาขัดนะครับ แต่เท่าที่ผมได้ยินมา เคยได้ยินแต่ว่า มีสมณเทวบุตรแค่หลักสิบ แต่ไม่เคยได้ยินเลยว่า ผู้ที่เป็นสมณเทวบุตรนั้นคือฝ่ายทำวิชชาเท่านั้นแบบที่คุณอัตตาว่า คุณอัตตาเคยได้ยินเมื่อไหร่หรอครับ หรือว่า คุณอัตตาสรุปเอาเอง เนื่องจากคนที่เป็นสมณเทวบุตรที่เคยมีการกล่าวถึงล้วนเป็นชื่อของบุคคลที่ทำวิชชาหรือป่าวครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#18
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 12:18 PM
ผมได้ยินจากพระอาจารย์ตอนที่ขึ้นไปพณาวัฒน์น่ะครับ ลองคิดดูก็ได้ครับ ผู้ที่ได้ธรรมกายในยุคหลวงปู่นั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่เมื่อไปดุสิตบุรีวงบุญพิเศษนั้น มีสมณเทวบุตร คือเทวบุตรที่เป็นพระ มีแค่หลักสิบ(หลายสิบ) ซึ่งถ้าเราลองมาดูว่าผู้ที่ทำวิชชาร่วมกับหลวงปู่ในโรงงานนั้น ที่หลวงปู่เคยบอกว่า มีพระประมาณ 30 มีอุบาสิกาหรือแม่ชีประมาณ 30 ถ้าไม่อย่างนั้นสมณเทวบุตรในขณะนี้ที่ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษก็คงมีเป็นหลักร้อยแล้วใช่มั้ยครับ
และอีกอย่างลองสังเกตดูก็ได้ครับ เวลามีเคสสตั๊ดดี้ มีอยู่หลายเคสเลยที่หลวงพ่อบอกว่าเมื่อพุทธันดรที่แล้ว ก็ปฏิบัติธรรมได้องค์พระใสๆเข้าถึงพระธรรมกาย(ส่วนใหญ่เคสนี้จะเป็นพระ)และเป็นฝ่ายเผยแผ่ได้เผยแผ่ไปจนตลอดชีวิต มีคนเข้าถึงพระธรรมกายหลายคนแต่ไม่ได้เป็นฝ่ายทำวิชชา ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายเผยแผ่น่ะครับ
#19
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 12:40 PM
และอีกอย่างลองสังเกตดูก็ได้ครับ เวลามีเคสสตั๊ดดี้ มีอยู่หลายเคสเลยที่หลวงพ่อบอกว่าเมื่อพุทธันดรที่แล้ว ก็ปฏิบัติธรรมได้องค์พระใสๆเข้าถึงพระธรรมกาย(ส่วนใหญ่เคสนี้จะเป็นพระ)และเป็นฝ่ายเผยแผ่ได้เผยแผ่ไปจนตลอดชีวิต มีคนเข้าถึงพระธรรมกายหลายคนแต่ไม่ได้เป็นฝ่ายทำวิชชา ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายเผยแผ่น่ะครับ
ครับ...ก็แสดงว่า หลวงพ่อท่านไม่ได้พูดเองว่า ต้องเฉพาะฝ่ายทำวิชชาเท่านั้นที่เป็นสมณเทวบุตร แต่เป็นพระอาจารย์พูด
ขอบคุณนะครับที่บอกที่มาที่ไปให้ชัดเจน ว่าคุณอัตตาไปเอาข้อมูลมาจากไหน เพราะ ผมเกรงว่าบางคนอาจจะเข้าใจไปได้ว่า คนที่พูดประโยคที่ว่า "ต้องเฉพาะฝ่ายทำวิชชาเท่านั้นที่เป็นสมณเทวบุตร" นั้น คือ หลวงพ่อ
แต่ผมก็ติดใจอยู่นิดนึงตรง คุณยายอาจารย์ทองสุกเพราะท่านก็เป็นสมณเทวบุตร และ ท่านก็นับเข้าเป็นมือเผยแผ่มือหนึ่งของหลวงปู่นะครับ ไม่ได้อยู่ในโรงงานทำวิชชาเหมือนผู้ทำวิชชาท่านอื่น แต่วิชชาธรรมกายของท่านเชี่ยวชาญมากเท่านั้นเอง ดังนั้นน่าจะเป็นคนที่เชี่ยวชาญวิชชาธรรมกายมากกว่านะครับ ที่ได้เป็นสมณเทวบุตร ไม่น่าจะจำกัดเฉพาะผู้ที่อยู่ในโรงงานหรือเฉพาะกลุ่มทำวิชชาเท่านั้น
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#20
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 12:41 PM
โดยส่วนตัวแล้ว ผมยังเห็นว่า ถ้าต้องการให้เด็กกินยา เพราะกำลังป่วยอยู่ ถ้าเด็กไม่ยอมกิน ก็ต้องบังคับ ไม่งั้นเดี๋ยวเด็กไม่หายจากโรค อย่างนี้ OK แต่สำหรับการบังคับให้เด็กกินผักนั้น ผมไม่เห็นด้วย เพราะเราไม่ได้เร่งร้อนอะไรให้เด็กต้องกินผักภายในวันนี้เท่านั้น ถ้าคิดไปกินผักวันพรุ่งนี้ก็สายเกินไป (ไม่เหมือนกับยา) ควรค่อยๆ แนะนำไปเด็กเห็นผลดีเองจะดีกว่า
เช่นเดียวกัน ถ้าคนคนนั้น มีใจคิดเข้าวัด แต่ประพฤติตนผิดศีลอยู่ ถ้าเขาจะเข้าจริงๆ ก็ต้องบังคับ ให้เขาเลิกฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ดื่มเหล้า เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้ มันเป็นอันตรายมากในปรโลภ หากเขายังผิดศีลอยู่ เราบังคับไปก่อน พร้อมๆ กับชี้แจงไปด้วยได้
แต่การให้เขาประพฤติพรหมจรรย์นั้น เราต้องเข้าใจว่า แม้เขายังไม่ประพฤติพรหมจรรย์วันนี้ เขาก็ยังไม่ไปอบาย หรือไปสวรรค์ชั้นดุสิตไม่ได้ ไม่ใช่ว่า เขาต้องประพฤติพรหมจรรย์ภายวันนี้เท่านั้น มิฉะนั้น จะเกิดผลเสียใหญ่หลวง หากเขาไปประพฤติพรุ่งนี้ ก็สายเกินแล้ว ดังนั้น ต้องบังคับให้เขาประพฤติพรหมจรรย์ภายในวันนี้ให้ได้ มันไม่ใช่แบบนั้นครับ
เหมือนธรรมะของพระพุทธเจ้า มงคลชีวิต ตั้งแต่ข้อ 1 จนถึง 18 จะเป็นหลักธรรมให้ครองเรือนได้อย่างมีความสุขในโลกนี้ และโลกหน้า ส่วนมงคลชีวิตข้อ 19 จนถึง 38 จะเป็นการพัฒนาใจในขั้นจะพ้นโลก แม้พระพุทธเจ้ายังทรงสอนให้พัฒนาไปเป็นขั้นๆ (ยกเว้น คนที่มีบารมีถึงพร้อม จึงจะก้าวกระโดด) ดังนั้น เราก็ควรแนะนำคนใหม่ๆ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนะครับ เพราะการแนะนำของเรามันไปสู่สาธารณะ
ทีนี้อาจสงสัยว่า อ้าว คนใหม่คนนั้น เขาอาจบารมีถึงพร้อมก็ได้ ไม่บอกให้เขาก้าวกระโดด เดี๋ยวเขาก็เสียเวลาหรอก
คำตอบก็คือ ผู้ที่มีบารมีพร้อมจริงๆ แม้เขามาใหม่ เขาจะสอนตัวเองได้ทันที เช่น หลวงพ่อธัมมะ สมัยเด็ก แค่อ่านหนังสือบุคคลสำคัญของโลก ท่านก็คิดได้ทันทีว่า อยากจะบวช หรือ หลวงปู่วัดปากน้ำ แค่ทำมาหากินในทางโลก ท่านก็คิดได้ทันทีว่า การครองเรือนมีทุกข์ ควรบวชดีกว่า เป็นต้น
ดังนั้น ผมยังคงเห็นว่า ถ้าเราคิดแนะนำในที่สาธารณะ ควรแนะนำให้เป็นขั้นตอนดีกว่า แต่ถ้าแนะนำโดยส่วนตัว อย่างนี้เราเห็นเหมาะสมอย่างไร เราก็แนะนำไปได้เลยครับ เช่น อาผ่อง แนะนำ หลานนักข่าว ให้ประพฤติพรหมจรรย์ อย่างนี้ ไม่มีปัญหาครับ
#21
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 12:44 PM
ขบวนสุดท้ายแล้วเอ้า ไปด้วยๆค่ะ
#22
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 12:50 PM
ผู้ที่ทำวิชชาได้คงมีหลายระดับ อยู่ในฝ่ายเผยแพร่ก็มี
แต่ผู้ที่ได้เข้าถึง และเป็นพระธรรมกาย ตลอดเวลา24 ชม.คงมีไม่มากครับ
#23
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 12:51 PM
ส่วนเรื่องการครองคู่ อย่างง่ายๆ เลย คือ มุมมองความรักในคนๆ เดียวกัน พอวัยเปลี่ยน มุมมองก็เปลี่ยน
ตอนเรา 5 ขวบ เคยคิดไหมว่ามุมมองความรักของเราตอนนั้น เป็นอย่างไร
10 ขวบ เป็นอย่างไร
20 ปี แตกหนุ่มแตกสาวเต็มที่ มุมมองความรัก เป็นอย่างไร
30 ปี ที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ ครอบครัว มุมมอง เป็นอย่างไร
40 ปี วัยที่เกินครึ่งอายุของมนุษย์ มุมมองความรัก เป็นอย่างไร
50 ปี วัยที่ลูกๆ หลานๆ ต้องแยกไปครองเรือน ตามเส้นทางตน มุมมองความรักเป็นอย่างไร
60 ปี วัยปลดเกษียณ มุมมองความรักเป็นอย่างไร
70 ปี วัยที่ใกล้จะสิ้นสุดกำหนดอายุมาตรฐานของมนุษย์ มุมมองความรักเป็นอย่างไร
ดังนั้น... พอเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก็จะเป็นอารมณ์อีกอารมณ์หนึ่งเลยทีเดียว เหมือนดังเคสฯ คุณคำน้อยนั่นแหละ
#24
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 01:01 PM
คุณยายทองสุกนั้นหน้าที่หลักของท่านเป็นฝ่ายทำวิชชาครับแต่ทำหน้าที่เผยแผ่ไปด้วย จริงๆท่านก็เป็นผู้ทำวิชชาในโรงงานด้วยครับ แต่พอหลวงปู่ให้ท่านไปเผยแผ่ท่านก็ต้องไปเพราะหลวงปู่บอกว่า " พ่อดูแล้วทิศนี้มีเอ็งเท่านั้นที่ไปได้ ถ้าคนอื่นไปได้พ่อก็จะให้คนอื่นไป " แรกๆท่านก็บ่ายเบี่ยงไม่อยากไป เพราะกลัววิชชาจะไม่ทันเค้า แต่หนักๆเข้าเมื่อหลวงปู่พูดท่านก็จำต้องไปและนึกเสียใจในภายหลังว่าตัวเองนั้นบาปที่ดื้อไม่เชื่อฟังพระอาจารย์ตั้งแต่แรก เมื่อท่านออกไปเผยแผ่ บางครั้งท่านก็จะแวะกลับมาที่วัดปากน้ำ เพราะท่านห่วงวิชชา กลัวว่าจะไม่ทันคนอื่น
ฝ่ายทำวิชชานั้นไม่จำเป็นจะต้องนั่งทำวิชชาอย่างเดียวครับ จะเผยแผ่ด้วยก็ได้ตามกาลสมควร ไม่ต้องมากอย่างยุคนี้ ทุกวันนี้หลวงพ่อท่านห่วงลูกๆของท่าน ท่านยังไม่ได้นั่งหลับตาทำงานที่แท้จริงเลย มาเทศน์สอนพวกเราอยู่ทุกวัน แล้วตั้งแต่ผมดูเคสมา ผมจำได้ว่ามีอยู่เคสหนึ่งและเคสเดียวที่ผมเคยดู ว่าคนที่ส่งเคสนั้นไม่ธรรมดา พุทธันดรที่แล้วก็ได้ทำวิชชาด้วย และเผยแผ่ไปด้วย คือเพิ่งเคยได้ยินเคสแรกและเคสเดียวว่าได้ทำวิชชา
#25
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 01:54 PM
#26
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 02:12 PM
สำหรับคนที่มีครอบครัว แล้ว ก็มีโอกาสไปดุสิตบุรีเหมือนกัน
ต้องสร้างบารมีให้ยิ่งยวดด้วยกัน
จะได้ไปพร้อมกัน
คงพอจำได้นะครับ หลวงพ่อรองเคยแซว
เวลาอยู่ข้างบน มองไกล ๆ ว่า เป็นยอดแหลมปราสาท
พอมาใกล้ ๆ กลับเป็น กองฟาง
เสียเวลา เสียบุญ ของหลวงพ่อ ที่ต้องไปรวบรวมหมู่ญาติของเรามานะครับ
ดังนั้น ให้ตั้งเป้าจากชาตินี้ ว่า เรามาด้วยกัน แล้วต้องกลับไปด้วยกัน
เลือดสุพรรณไงหละ
#27
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 03:29 PM
พระเจ้าอชาตศัตรูทำอนันตริยะกรรม แต่กลับใจได้หันมาสร้างความดีตลอดชีวิต ยังได้ลงไปแค่ยมโลกเลยน่ะครับ ไม่ต้องไปถึงอเวจี
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#28
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 03:32 PM
ยิ่งเป็นสมณเทวบุตร ก็ยิ่งยากเข้าไปอีก
ถ้าไปถึงตรงจุดนั้นแล้ว คงไม่คิดถึงเรื่องมีคู่แล้วล่ะ
นึกแต่เรื่องจะสร้างบารมียังไง ให้ได้บารมีเยอะๆ (ดีนะ)
#29
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 03:42 PM
พระเจ้าอชาตศัตรูทำอนันตริยะกรรม แต่กลับใจได้หันมาสร้างความดีตลอดชีวิต ยังได้ลงไปแค่ยมโลกเลยน่ะครับ ไม่ต้องไปถึงอเวจี
ก่อนอื่นต้องเข้าใจรายละเอียดของนรกก่อนนะครับ
นรกนั้นมี 8 ขุม (หรือ 8 ชั้น) แต่ละขุมแบ่งระดับความโหดในการลงโทษเป็น 3 ระดับ
1) ระดับหนักสุด คือ มหานรก
2) ระดับกลาง คือ อุสสทนรก
3) ระดับเบา คือ ยมโลก
ยกตัวอย่างเช่น นรกขุมที่ 1 ก็มีทั้ง มหานรก อุสสทนรก และ ยมโลก นรกขุมที่ 2,3,...8 ต่างก็มี มหานรก อุสสทนรก และ ยมโลก เป็นของตนเอง
สำหรับคนที่ทำอนันตริยกรรมนั้น มีคติเป็นทุกขคติเท่านั้น เพียงแต่อาจจะลงไปรับโทษระดับเบาที่ยมโลกในนรกขุม8 (ขุมอเวจีมหานรก) แบบพระเจ้าอชาตศัตรู เพราะบุญที่ทำด้วยความทุ่มเทในภายหลังช่วยตัดรอนวิบากหนักให้เบาลง แต่ก็หนีไม่พ้นขุม 8 อยู่ดี แต่สำหรับพระเทวทัตนั้นไปรับโทษระดับหนักที่มหานรกของนรกขุม 8 เลยครับ
ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะ กรรมอนันตริยกรรมนั้น เป็นมหัคตอกุศล หรือ ครุกรรมฝ่ายบาป มีผลให้ ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพานในชาติปัจจุบันเลยทีเดียว
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#30
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 03:47 PM
เพราะฉะนั้น ภูมิธรรมเปลี่ยนไป ย่อมต้องเปลี่ยนไปด้วย....
คนมีคู่ก็อย่างนี้แหละค่ะ เขาถึงเรียกว่าบ่วงไงคะ ขนาดอยากจะไปดุสิตบุรี ใจก็อาลัยอาวรณ์อยากจะให้ไปด้วยกัน ขนาดตัวเองยังไม่รู้เลยว่าจะเอาตัวรอดหรือเปล่า
หุหุ