การกินเจถือว่าเป็นบุญใหญ่ใช่ไหมค่ะ สามารถปิดอบายได้ไหมค่ะ
#1
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 01:11 PM
อยากทราบว่า
บุญในการถือศีล กินเจ ตามเทศกาล ป็นบุญใหญ่ ปิดอบายได้มั๊่ยค่ะ
ชวนท่านนั่งสมาธิ ไปวัดวันอาทิตย์ท่านไปยอมไป ไม่ค่อยศรัทธาพระ ค่ะ
รักบุญ เชื่อในบุญ
mata072 windowslive.com
#2
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 01:23 PM
หลวงพ่อทัตตะชีโวได้เมตตาตอบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนี้ครับ....
(แหล่งที่มา: หลวงพ่อตอบปัญหา หมวด1 ทาน-บุญ)
----------
คำถาม - กินเจได้บุญหรือไม่? การกินเจได้บุญหรือไม่คะ ถ้าได้บุญ สัตว์ประเภทวัวหรือกระต่านมันกินแต่ผักและหญ้า มันก็ได้บุญด้วยวิคะ?
หลวงพ่อท่านเมตตาตอบว่า - ความจริงหลวงพ่อได้ตอบเรื่องทำนองนี้ ให้กับญาติโยมที่มาวัดบ่อยมาก ส่วนใหญ่ก็ยกเหตุผลให้หาคำตอบกันเอง คุณหนูถามแบบนี้ก็เท่ากับถามเองตอบเองนะ พวกสัตว์ประเภทวัว ประเภทกระต่าย มันกินแต่ผักและหญ้า มันจะได้บุญหรือ? ก็นั่นนะสิ! วัว ควาย มันกินหญ้าของมันมาตั้งแต่เกิด ให้ไปกินเนื้อสัตว์มันก็คงไม่กิน ให้มันอดหญ้าไปกินเนื้อหมูแทนมันจะตายเอานะ เพราะฉะนั้นการที่วัวควายมันกินหญ้า ก็ไม่ใช่เป็นการทำความดีอะไร และจะเอาบุญมาจากไหน มันจึงเป็นได้แค่วัวแค่ควายเป็นได้แค่กระต่าย มันไม่ได้บุญอะไรขึ้นมาหรอกนะ การจะได้บุญ หรือไม่ได้บุญนี้น ไม่ใช่อยู่ที่การกินอะไร หรือไม่กินอะไร แต่อยู่ที่การกระทำต่างหาก ถ้าเจตนาทำดี ไม่ทำชั่วเลย แถมนั่งสมาธิทุกวัน เพื่อทำใจให้ผ่องใสด้วย อย่างนี้รับรองได้บุญแน่นอน
เช่นนั้นแล
#3
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 01:24 PM
ไม่คาดหวังได้พบอะไรใหม่
เป็นใจเพียงไม่อยากได้ต่อสิ่งใด
ก็จะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ
#4
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 01:33 PM
คนไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนักล่า เหมือน เสือ สิงโต ไฮยีน่า อยู่แล้วน่ะค่ะ เพียงแต่ฉลาด รู้จัก ปรุงแต่งอาหาร เช่น ฆ่าสัตว์ ให้กลายเป็นของกินที่แตกต่างกันไป
ถ้าอย่างนั้น วัว ควาย ช้าง ม้า ยีราฟ ลิง ก็ต้องได้บุญเยอะกว่าเราใช่มั๊ยคะ เพราะ กินเจมาตลอดชีวิต
koonpatt คิดว่า เทศกาลกินเจ คือ เทศกาลที่ทำให้ คน งดการฆ่า และ งดสนับสนุนการฆ่าน่ะค่ะ
แต่ ถ้าเราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอเทศกาล (กินมังสวิรัติ ก็ได้ค่ะ ไม่ต้องถึง เจ) ก็ดีนะคะ ดีต่อสุขภาพด้วยค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#5
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 01:52 PM
(ไม่เอาภาพมาลงนะ เดี๋ยวจะเป็นลมเพราะกลัวเลือดกัน)
DMC The only one
ประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิด ประเสริฐนัก
ไม่หยุดไม่ถึงพระ ตัวหยุดนี้แหละเป็นตัวสำเร็จ
ผลไม้ดกนกชุม น้ำเย็นปลาชอบอาศัย
คติธรรม พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
#6
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 01:58 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#7
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 02:06 PM
แล้วอย่างคนที่เขาไม่เข้าใจ จะอธิบายอย่างไร เขาก้อไม่เข้าใจ (กลุ้มใจจัง)
เห็นด้วยที่ว่า การกินเจเพื่องดการฆ่า การสนันสนุนการฆ่า
และเพื่อสุขภาพมากกว่า ไม่ใช่เทศกาลกินเจเพื่อล้างบาป อธิฐานให้ตัดรอนวิบากกรรม
รักบุญ เชื่อในบุญ
mata072 windowslive.com
#8
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 02:14 PM
แต่ถ้า กินแล้วเดือดร้อน ไปเพิ่มภาระให้กะ คนที่ทำอาหารให้เรากิน ก็ ไม่ค่อยดีนะครับ
มีอะไรให้ทานก็ทานไปดีกว่า ท่านสอนว่า ให้เราเป็นคนเลี้ยงง่าย ทานอะไรก็ได้ ให้อิ่มท้องมีกำลัง ไปช่วยงานพระพุทธศาสนาสืบไปครับ
ทานเนื้อสัตว์เราก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร สัตว์เหล่านั้น ล้วนตายแล้วทั้งสิ้น
แต่ถ้าทานเจได้ ก็จะดีต่อสุขภาพนะครับ ทำให้ร่างกายทำงานหนักน้อยลงครับ
#9
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 03:26 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#10
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 03:32 PM
แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้กินแบบที่ว่านี่นะสิ
ส่วนใหญ่จะมีปน "โมหะ" เข้าไปด้วย คือเอาของที่จะ"กิน" เป็นสำคัญ (ลืมด้านจิตใจไป)
นอกจากนั้นหากมีโมหะขั้นรุนแรงก็พากันไปนับถือพวกคนทรง ไหว้เทพเจ้าต่างๆไปโน่น
อย่างนี้ ละโลกอาจมีสิทธิ์ได้ไปเป็นบริวารพวกอาจารย์วิทยาธรเค้านะครับ
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#11
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 04:28 PM
ถ้าท่านยังไม่เข้าใจ ยังไม่มาวัดก็ไม่เป็นไรครับ รอท่านบุญถึง ใจเปิด สักวันท่านก็คงเข้าใจและมาวัดเองแหละครับ
#12
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 04:58 PM
ความไม่เบียดเบียดสรรพสัตว์ถือเป็นหนึ่งในศีลมัย ยิ่งเจริญเมตตาธรรมแล้วยิ่งเกิดกุศลจิต
ถ้าถือศีล กินเจ แล้ว ยังมีการบี้มด ตบยุง ก็ยังถือว่าเป็นการผิดศีล
มีโอกาสพ่วง"โมหะจริต"โดยไม่รู้ตัวอย่างที่คุณมองอย่างแมวว่าไว้ โดยเฉพาะถ้าคิดว่าทำอย่างนี้แล้ว ปิดอบายได้
อาจเริ่มต้นแนะนำให้ท่านสวดมนต์ ค่อยๆเจริญสติไปก่อน ทุกอย่างต้องใช้เวลา แต่เวลาไม่คอยใครนะ
#13
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 05:01 PM
ส่วนกินเจ ไม่ใช่บุญญกิริยาวัตถุครับ เปลี่ยนเป็นถวายเจแทนก็แล้วกัน อันนี้ได้บุญแน่
#14
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 06:11 PM
#15
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 06:30 PM
ผมเข้าใจครับว่าคงหมายถึง "สัตว์" คำนี้แน่ๆ
สัตว์ = ผู้ข้องอยู่ในภพ
สัตย์ = ความจริง สัจจะ (สจฺจ > สตฺย)
คำตอบของหัดฝัน
ใช่ครับ คุณ Tanay007 ผม(หัดฝัน) แก้ให้คุณ cheterk เรียบร้อยแล้วครับ
#16
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 06:33 PM
#17
โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 09:22 PM
#18
โพสต์เมื่อ 18 October 2006 - 12:46 AM
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#19
โพสต์เมื่อ 18 October 2006 - 03:14 AM
ถ้าได้บุญ วัว ควาย มันก็คงจะไปสวรรค์กันหมดแล้วล่ะครับ
ถ้าคิดว่าการกินเจ ทำให้คนเลิกฆ่าสัตว์ทางอ้อม
แล้วรู้ได้อย่างไรครับ ว่าการกินแต่ผัก ไม่ได้ฆ่าสัตว์ทางอ้อม
ยกตัวอย่าง
แต่ละปี ทราบไม่ครับ ว่าเมืองไทยนำเข้ายาฆ่าแมลง เป็นอันดับต้นๆ ของโลก !! แล้วอย่างนี้การปลูกผัก ก็ฆ่าสัตว์ทางอ้อมเหมือนกันนะครับ
ศาสนาพุทธไม่ได้ส่งเสริมการกินเจ แต่ก็ไม่ได้ห้ามกินเจด้วย ถ้ากินเพื่อสุขภาพ ก็ไม่มีใครว่านะครับ แต่ว่าขอยืนยัน ว่าไม่ได้บุญครับผม
บุญเกิดได้ด้วยการทำความดี 10 ทางเท่านั้น (บุญกิริยาวัตถุ 10) ไม่ได้เกิดจากการกินครับ
แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#20
โพสต์เมื่อ 18 October 2006 - 04:43 AM
กินอะไร ก็กินไปเถอะ
ขอให้มีกำลัง มา เพื่อ ปฏิบัติ ธรรม
เลือกเอา ใจใสๆ
#21
โพสต์เมื่อ 18 October 2006 - 09:13 AM
#22
โพสต์เมื่อ 18 October 2006 - 09:59 AM
จาก link ที่ท่านขุนศึก แปะไว้ และจากคำของครูบาอาจาร์ยที่ท่านอื่นตอบเอาไว้
แต่หาวิธีอธิบายได้ยาก ให้เขาเข้าใจได้ว่า การกินเจไม่ใช่เพื่อล้างบาป และตัดรอน
วิบากกรรม ในพระพุทธศาสนาไม่มีการล้างบาปนะครับ บาปส่วนบาป บุญส่วนบุญ
พระโมคัลลานะมีบุญท่วมท้นยังไม่พ้นบาปเลย ( ถ้าล้างบาปได้ท่านคงไม่โดนโจรทุบตาย )
มีวิธีที่จะทำให้บาปเจือจางลง เหมือนเกลือ(บาป) ผสมกับน้ำ ( บุญ ) ถ้าน้ำมากเกลือจะ
จางลง ( แต่ไม่หายไปไหน ) ดังนั้นวิธีจะช่วยให้บาปเจือจางลง ต้องทำบุญอย่างเดียวครับ
เช่น บาปจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็ทำบุญเรื่อง ให้ชีวิตสัตว์เป็นทาน ปล่อยสัตว์ ปล่อยปลา
ทางวัดก็จัดอยู่บ่อย ๆ เพื่อให้มีโอกาศได้ทำบุญเพื่อตัดรอนวิบากกรรม
เรื่อง เกลือกับน้ำ หรือ บาปกับบุญ นี้จำมาจาก เทศนาของหลวงพ่อทัตตะครับ
#23
โพสต์เมื่อ 18 October 2006 - 12:34 PM
#24
โพสต์เมื่อ 19 October 2006 - 01:00 AM
ทุกๆปีก็เป็นอย่างนี้ช่วงเทศกาลโรงฆ่าสัตว์จะฆ่าวัวน้อยลง (บ้านผมเคยขายเนื้อวัว)
ปลาก็จะถูกจับน้อยลงด้วย
ถ้าคิดยังงี้ก็น่าจะได้บุญ
แต่ถ้าคิดว่าทำให้คนฆ่าสัตว์ หรือแม่ค้าพ่อค้าในตลาดที่ทำหน้าที่ชำแหละเนื้อขายไม่มีงานทำต้องสูญเสียรายได้
ก็น่าจะบาปจะครับ
#25
โพสต์เมื่อ 19 October 2006 - 11:19 AM
แต่ถ้าไปคิดว่า การที่เราซื้ออาหารอย่างอื่น ซึ่งทำให้แม่ค้าร้านอาหารอีกอย่างต้องสูญเสียรายได้เป็นบาปนั้น อย่างนั้นต้องคิดใหม่ทำใหม่ครับ ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะถ้าเป็นบาป ย่อมหมายความว่า แต่ละวันเราสร้างบาปมหันต์ทีเดียว ยกตัวอย่าง ถ้าวันนี้เราเลือกกินก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ถ้าแนวคิดนี้ว่าบาปถูกต้อง งั้นกลายเป็นว่า เราทำให้แม่ค้าขายข้าวไข่เจียวสูญเสียรายได้ เราทำให้แม่ค้าขายส้มตำสูญเสียรายได้ เราทำให้แม่ค้าขายเกี๋ยวเตี๋ยวเส้นใหญ่น้ำสูญเสียรายได้ เราทำให้แม่ค้าขายขนมจีนสูญเสียรายได้ อย่างนี้บาปมหันต์ ไม่ไหวๆ ครับ
ไม่ใช่นะครับ ไม่เกี่ยวกัน การค้าขายมันเป็นเรื่องของอุปสงค์อุปทาน คือ ความต้องการของคนซื้อ และความสามารถของคนขาย ถ้าคนขายไปขายของที่คนซื้อไม่ต้องการ ทำให้ตนสูญเสียรายได้ แล้วไปเข้าใจว่าคนซื้อบาป อย่างนี้คนขายคนนั้นก็แย่ไปด้วย แต่ถ้าคนขายที่เข้าใจหลักอุปสงค์อุปทาน เขาจะศึกษาตลาด อ๋อ ตลาดไม่ต้องการเสื้อผ้ายี่ห้อนี้ งั้นเขาเลิกขาย แล้วก็ไปขายเสื้อผ้ายี่ห้ออื่นแทน เป็นต้น
#26
โพสต์เมื่อ 22 October 2006 - 01:48 PM
ธรรมะก็คือธรรมชาติ ดังนั้นแล้วผู้ที่จะปฏิบัติธรรมะได้ ก็คือการปฏิบัติตนเพื่อให้เข้าสู่ธรรมชาติ เดินอย่างเป็นธรรมชาติ คิดอย่างเป็นธรรมชาติ กินอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนอย่างที่คุณ KoonPatt ได้บอกไว้ครับว่า แท้จริงแล้วมนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์กินพืชคล้าย ๆ กับสัตว์จำพวก วัว ควาย ม้าอยู่แล้ว สังเกตุข้อแตกต่าง ได้ระหว่างสัตว์กินพืช และสัตว์กินเนื้อ ได้จากข้อแตกต่างที่พอจะยกมาห้าประการ คือ
1. เล็บ สำหรับสัตว์กินเนื้อ จะมีเล็บที่แหลมคมใช้ในการตะปบหรือฉีกกระชากเหยื่อ เช่น เสือ สิงโต เป็นต้น แต่สำหรับสัตว์กินพืช เช่น วิว ควาย นั้น จะมีเล็บที่ตัด ไม่แหลมคม เช่นเดียวกับมนุษย์เราที่สังเกตุว่า ถ้าเราไม่ตัดให้แหลมคมเองแล้ว มนุษย์เราจะมีเล็บที่ตัด เหมือนกับสัตว์ประเภทกินพืช เพื่อใช้ในการเด็ดหรือหยิบอาหาร
2. ฟัน สำหรับสัตว์ทีกินเนื้อนั้น จะมีเขี้ยวยาวและแหลมคม เพื่อใช้ฆ่าทำลายหรือฉีกกัดมีฟันกรามที่แข็งแรง แต่สำหรับสัตว์กินพืชนั้น จะมีฟันตัด ส่วนคนเรานั้น มีฟันตัดเหมือนสัตว์กินพืชและเป็นฟันตัดที่ไม่ยื่นยาวและไม่แหลมคม
3. ผิวหนัง สัตว์กินเนื้อ นั้น จะมีขนปกคลุมรทั่วตัว และระบายเหงื่อทางลิ้น ส่วนสัตว์กินพืชนั้น จะมีต่อมเหงื่อและรูขุมขนช่วยในการระบายความร้อนออกทางผิวหนัง เช่นเดียวกันกับคนเรา
4. การมองเห็น สัตว์กินเนื้อนั้น ส่วนมากแล้วจะออกหากินในเวลากลางคืน มองเห็นได้ชัด ส่วนในเวลากลางวันจะนอนหลับพักผ่อน แต่สำหรับสัตว์กินพืชและมนุษย์เรานั้น จะหากินในเวลากลางวัน ส่วนในเวลากลางคืนนั้นจะมองเห็นไม่ชัด และนอนหลับพักผ่อน
5. ลำไส้ สำหรับสัตว์กินเนื้อ จะมีลำไส้ยาวกว่ากระดูกสันหลังเพียงแค่ 3 เท่า แต่สัตว์กินพืชและคนเรา จะมีลำใส้ยาวถึง 10 - 12 เท่าของกระดูกสันหลัง เนื่องจากว่า สัตว์กินเนื้อนั้น ต้องใช้ระยะเวลาเร็วในการขับถ่าย เพราะเนื้อสัตว์จะมีการเน่าสลายอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่เราซื้อเนื้อมา แล้วไม่ได้เอาเข้าไปเก็บไว้ในตู้เย็น ทิ้งไว้ประมาณ 1 วัน ก็จะเริ่มมีกลิ่นเหม็นเน่าแล้ว เช่นนี้ สัตว์ประเภทกินเนื้อ จึงมีลำไส้ที่สัตว์เพื่อให้การขับถ่ายทำได้อย่างรวดเร็ว
ฯลฯ
แท้จริงแล้ว การกินเจก็ไม่สามารถทำให้เกิดบุญกุศลแต่ประกาศใด เพียงแต่ การกินเจ เป็นการตัดกรรมที่จะเกิดขึ้นจากการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น มาต่อชีวิตของเรา จากการนำเลือดเนื้อของเขา มาเป็นเลื้อดเนื้อของเรา
และสำหรับที่ว่า เหตุใด วัว ควาย ก็กินเจ (หญ้า ผัก) แต่ก็ยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์นั้น ก็เนื่องจากว่า เป็นหน้าที่โดยธรรมชาติ อาจจะมีสาเหตุมาจาก เหตุต้นผลกรรมในอดึตชาติของเขาทำให้ในชาตินี้ต้องเกิดมาบำเพ็ญทางด้านการเว้นกรรมจากการกินเลือดเนื้อเขา
นอกจากการกินเจแล้ว ผู้บำเพ็ญธรรม ยังควรที่จะสร้างบุญสร้างกุศล บำเพ็ญจิตใจให้ผ่องใส ถือศีล ภาวนา ควบคู่กันไปด้วย เมื่อทานเจแล้ว ถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วย บุญกุศลที่ได้รับมาก็จะไม่รั่วไหลออกไปไหน เหมือนอย่างเช่น แก้วน้ำที่ไม่มีรอยรั่ว เมื่อเติมน้ำเข้าไป ไม่นานก็จักมีวันเต็ม ฉันใดก็ฉันนั้น.....
เสียงร้องขอชีวิตจิตหวาดหวั่น............เสียงห้ำหั่นเข่นฆ่าน่าสยอง
เสียงซวบซาบคมดาบเชื่อดเลือดไหนนอง............เสียงกรีดร้องสะท้านจิตสะกิดใจ
เสียงสัพเพสัตตาพาให้คิด..........................ว่าชีวิตนี้มีค่ากว่าสิ่งไหน
อเวราอย่ามีเวรอย่าเป็นภัย..............................ชีวิตใครใครก็หวงอย่าล่วงเกิน
ท่องสัพเพสัตตามาแต่ไหน.........................ยังเข้าใจในเนื้อหาแค่ผิวเผิน
ยังฆ่าบ้างกินบ้างอย่างเพลิดเพลิน......................ยังใช้เงินซื้อชีวิตอนิจจา
สัตว์เกิดกายมาใช้กรรมที่ทำไว้...................เป็นเป็ดไก่กุ้งปูเป็นหมูหมา
ตามเหตุต้นผลกรรมที่ทำมา.............................มิใช่ฟ้าประทานไว้ให้คนกิน
มีปัญญาแต่ไฉนจึงไม่คิด...........................มองชีวิตกลับเห็นเป็นทรัพย์สิน
เสียงกรีดร้องก่อนตายใครได้ยิน........................น้ำตารินเมื่อถูกเชือดเลือดกระเซ็น
พุดว่าเขาเกิดมาเป็นอาหาร........................เขาลนลานหนีตายมีใครเห็น
พูดไม่ได้สู่ไม่ได้เถียงไม่เป็น............................ช่างเลือดเย็นเข่นฆ่าไม่ปราณี
มีพืชผักมากมายนับไม่หมด........................ทุกกลิ่นรสสดใสหลายหลากสี
ธรรมชาติจัดวางไว้อย่างดิบดี..........................สัตว์วิ่งหนี่พืชเต็มใจให้กินมัน
เพราะเรากินเขาจึงฆ่าเอามาขาย.................เราสบายแต่สัตว์โลกต้องโศกศัลย์
ท่องสัพเพสัตตามาทุกวัน...............................เมตตากันโปรดอย่าฆ่าและอย่ากิน
"เมื่อมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติธรรม ต้องหยัดยืนถึงที่สุด ร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมบุกเบิกสรรค์สร้าง บนหนทางบำเพ็ญ ยิ่งผิดยิ่งมีวิริยะ กล้าหาญ ชาญชัย เชื่อฟังพระอาจารย์ แบ่งเบาภาระ ฉุดช่วยคนหลง มุ่งสู่หนทางสว่างไสว ความหวังไร้ขอบเขต มีจิตหนึ่งใจเดียว แสดงต่อเบื้องบน"
"ฐานะตำแหน่งใดของคน ก็ไม่สูงส่งเท่ากับฐานะของฟ้าเบื้องบน"
"หลักการเป็นคนที่สุกคัญ คือ การบ่มเพาะความประพฤติคุณงามความดีของคนให้สมบูรณ์ หากมีความประพฤติที่ดีสมบูรณ์แล้ว กิจการทางโลกก็จะสมบูรณ์ไปด้วย ถ้าหากความประพฤติไม่สมบูรณ์ ในทุกขณะก็จะมีทั้งความล้มเหลว และการพ่ายพ้
การเป็นคนสิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องให้ความสำคัญกับรากฐานของตน จากนั้นจึงมาสร้างสรรค์ให้รุ่งเรื่อง เช่นนี้จึงสามารถเรียนได้ว่า เป็นคนที่สมบูรณ์"
"เมื่อโลกจมสู่หายนะ จะฉุดช่วยได้ด้วยธรรมะเท่านั้น"
"คนเรามีเหตุที่เกิดมาในโลกนี้เนื่องจากอาณิสงค์เหตุปัจจับ ในอดีตชาติ เกิดมาเพื่อทำตามปณิธานที่ตนเองมีไว้ เกิดมาเพื่อชดใช้เวรกรรมที่ตนเองได้เป็นผู้กระทำไว้ เมื่อตัวเองมีปณิธานมาเกิด ก็สำควรที่จะต้องชำระปณิธาน เมื่อตนเองมีหนี้มาเกิดก็ควรต้องใช้หนี้ ..... ปณิธานไม่ชำระ ยากจะกลับคืนเบื้องบน ....."
"การบำเพ็ญธรรมเหมือนพายเรือทวนน้ำ ทวนกระแสโลกีย์ โลกวัฏฏะสงสาร ไม่ก้าวหน้าก็ถดถอย หยุดไม้ก้าวหน้า คนข้างหลังก็แซง"
"การในปฏิบัติบำเพ็ญธรรม ต้องใช้ความประณีตสุชุมไว้คุ้มตน ข้อสำคัญในการศึกษาบำเพ็ญ คือ ศรัทธา เคารพ ..... ศรัทธา คือตัดความลังเลสงสัย เคารพ คือ รู้จริยะ ธรรมเป็นหลัก หลักคือจริยะ"
"วาสนาแห่งฟ้าคนซื่อจะได้รับ คนบำเพ็ญธรรมจะต้องแกล้งโง่ บำเพ็ญธรรมจะต้องลงมืออย่างแท้จริง หากไม่เข่นนั้นยากจะกลับคืน"
"วงการธรรมที่ตระหง่าน เธอคือเรือชี้นำทางสว่าง แสงประทีปความหวังจุดทั่วสามภพ เมตตาส่งสิบทิศไม่ขาด เสียงธรรมแจ่มแจ้งกังวาลก้องไกลดังระฆังกังวาลทั่วฟ้าเขียว เปรียบประดุจน้ำทิพย์น้ำธรรมที่ชุ่มฉ่ำ ชุบเลี้ยงเมล็ดพันธุ์พุทธา
วงการธรรมที่สง่างาม เธอกางกั้นคลื่นลมให้เวไนย เร่งแพร่วิถีธรรมนำพุทธา ดวงจิตญาณสดใสแจ้งแจ่ม สักกี่คนแน่วแน่สละตน ยืนยงบนสายทองของสัจธรรม เผยแพร่คุณธรรมไม่เกรงอำนาจใด บึ่งบุกน้ำลุยไฟฉุดช่วยไป มองดูโลกเห็นแจ้งด้วยปัญญา สืบพงศาหลักธรรมขจรไกล"
" .......... ที่แท้ธรรมญาณเดิมนั้นบริสุทธิ์ ที่แท้ธรรมญาณเดิมไม่เกิดดับ ที่แท้ธรรมญาณเดิมได้เพียบพร้อมทุกสิ่ง ที่แท้ธรรมญาณเดิมไร้การเคลื่อนไหว ที่แท้ธรรมญาณสามารถเกิดหมื่นธรรม .......... "[/size][/size]
#27
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 03:30 AM
#28
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 11:04 AM
#29
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 11:15 AM
และสำหรับที่ว่า เหตุใด วัว ควาย ก็กินเจ (หญ้า ผัก) แต่ก็ยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์นั้น ก็เนื่องจากว่า เป็นหน้าที่โดยธรรมชาติ อาจจะมีสาเหตุมาจาก เหตุต้นผลกรรมในอดึตชาติของเขาทำให้ในชาตินี้ต้องเกิดมาบำเพ็ญทางด้านการเว้นกรรมจากการกินเลือดเนื้อเขา
นอกจากการกินเจแล้ว ผู้บำเพ็ญธรรม ยังควรที่จะสร้างบุญสร้างกุศล บำเพ็ญจิตใจให้ผ่องใส ถือศีล ภาวนา ควบคู่กันไปด้วย เมื่อทานเจแล้ว ถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วย บุญกุศลที่ได้รับมาก็จะไม่รั่วไหลออกไปไหน เหมือนอย่างเช่น แก้วน้ำที่ไม่มีรอยรั่ว เมื่อเติมน้ำเข้าไป ไม่นานก็จักมีวันเต็ม ฉันใดก็ฉันนั้น.....
"เมื่อมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติธรรม ต้องหยัดยืนถึงที่สุด ร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมบุกเบิกสรรค์สร้าง บนหนทางบำเพ็ญ ยิ่งผิดยิ่งมีวิริยะ กล้าหาญ ชาญชัย เชื่อฟังพระอาจารย์ แบ่งเบาภาระ ฉุดช่วยคนหลง มุ่งสู่หนทางสว่างไสว ความหวังไร้ขอบเขต มีจิตหนึ่งใจเดียว แสดงต่อเบื้องบน"
"ฐานะตำแหน่งใดของคน ก็ไม่สูงส่งเท่ากับฐานะของฟ้าเบื้องบน"
"หลักการเป็นคนที่สุกคัญ คือ การบ่มเพาะความประพฤติคุณงามความดีของคนให้สมบูรณ์ หากมีความประพฤติที่ดีสมบูรณ์แล้ว กิจการทางโลกก็จะสมบูรณ์ไปด้วย ถ้าหากความประพฤติไม่สมบูรณ์ ในทุกขณะก็จะมีทั้งความล้มเหลว และการพ่ายพ้
การเป็นคนสิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องให้ความสำคัญกับรากฐานของตน จากนั้นจึงมาสร้างสรรค์ให้รุ่งเรื่อง เช่นนี้จึงสามารถเรียนได้ว่า เป็นคนที่สมบูรณ์"
"เมื่อโลกจมสู่หายนะ จะฉุดช่วยได้ด้วยธรรมะเท่านั้น"
"คนเรามีเหตุที่เกิดมาในโลกนี้เนื่องจากอาณิสงค์เหตุปัจจับ ในอดีตชาติ เกิดมาเพื่อทำตามปณิธานที่ตนเองมีไว้ เกิดมาเพื่อชดใช้เวรกรรมที่ตนเองได้เป็นผู้กระทำไว้ เมื่อตัวเองมีปณิธานมาเกิด ก็สำควรที่จะต้องชำระปณิธาน เมื่อตนเองมีหนี้มาเกิดก็ควรต้องใช้หนี้ ..... ปณิธานไม่ชำระ ยากจะกลับคืนเบื้องบน ....."
"การบำเพ็ญธรรมเหมือนพายเรือทวนน้ำ ทวนกระแสโลกีย์ โลกวัฏฏะสงสาร ไม่ก้าวหน้าก็ถดถอย หยุดไม้ก้าวหน้า คนข้างหลังก็แซง"
"การในปฏิบัติบำเพ็ญธรรม ต้องใช้ความประณีตสุชุมไว้คุ้มตน ข้อสำคัญในการศึกษาบำเพ็ญ คือ ศรัทธา เคารพ ..... ศรัทธา คือตัดความลังเลสงสัย เคารพ คือ รู้จริยะ ธรรมเป็นหลัก หลักคือจริยะ"
"วาสนาแห่งฟ้าคนซื่อจะได้รับ คนบำเพ็ญธรรมจะต้องแกล้งโง่ บำเพ็ญธรรมจะต้องลงมืออย่างแท้จริง หากไม่เข่นนั้นยากจะกลับคืน"
"วงการธรรมที่ตระหง่าน เธอคือเรือชี้นำทางสว่าง แสงประทีปความหวังจุดทั่วสามภพ เมตตาส่งสิบทิศไม่ขาด เสียงธรรมแจ่มแจ้งกังวาลก้องไกลดังระฆังกังวาลทั่วฟ้าเขียว เปรียบประดุจน้ำทิพย์น้ำธรรมที่ชุ่มฉ่ำ ชุบเลี้ยงเมล็ดพันธุ์พุทธา
วงการธรรมที่สง่างาม เธอกางกั้นคลื่นลมให้เวไนย เร่งแพร่วิถีธรรมนำพุทธา ดวงจิตญาณสดใสแจ้งแจ่ม สักกี่คนแน่วแน่สละตน ยืนยงบนสายทองของสัจธรรม เผยแพร่คุณธรรมไม่เกรงอำนาจใด บึ่งบุกน้ำลุยไฟฉุดช่วยไป มองดูโลกเห็นแจ้งด้วยปัญญา สืบพงศาหลักธรรมขจรไกล"
" .......... ที่แท้ธรรมญาณเดิมนั้นบริสุทธิ์ ที่แท้ธรรมญาณเดิมไม่เกิดดับ ที่แท้ธรรมญาณเดิมได้เพียบพร้อมทุกสิ่ง ที่แท้ธรรมญาณเดิมไร้การเคลื่อนไหว ที่แท้ธรรมญาณสามารถเกิดหมื่นธรรม .......... "[/size][/size]
#30
โพสต์เมื่อ 13 March 2009 - 12:15 AM
พวกท่านทำได้ดีแล้ว เป็นข้อความที่เป็นประโยชน์ต่อทุกๆท่าน
---------------------------------------------
หากจะบำเพ็ญธรรมด้วยใจที่ยึดหมายว่า "ต้องได้บุญไหม ไปนิพพานไหม หรือ เป็นอรหันต์ไหม" นั่นมิต่างจากการยึดติด อัตตา ดั่งที่พระอริยเจ้าตรัสไว้ว่า ถามหานิพพานจากภายนอก ก็คือ การยึดหมาย ไม่ผิดจากคนหลง ถามหาว่า ได้บุญไหม จะถามไปใย เพราะบุญ คือ ความถูกต้องตามสัจธรรม หากทำแต่สิ่งที่ถูกต้องด้วยใจที่บริสุทธิ์ ก็คือ การสร้างบุญ ไม่ต้องไปคิดว่า ได้หรือไม่ได้
อยากรู้ว่า รักษาศีลเจได้บุญไหม ต้องย้อนถามตัวท่านเอง ความหมายของ เจ มิได้หมายถึงการละเว้นเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่หมายถึงการดำรงอยู่ในกอบของศีลทุกข้อนั่นเอง บางคนไม่เข้าใจความหมายของการกินเจ จึงคิดไปว่า เพียงแค่ไม่ทานเนื้อสัตว์ โดยที่ไม่ได้ขัดเกลาจิตใจ ก็สามารถไปสวรรค์ หรือได้บุญ อันนั้น คือ ความหลงผิดอย่างหนึ่ง บางคนทานเจ แต่สร้างวจีกรรมเหลือเกิน นินทาว่าร้าย อารมณ์รุนแรง นี้คือ ความงมงาย หลงผิด ก็ไม่สามารถไปสวรรค์ได้ คนกินแต่เจ แต่ใจไม่เจ ก็ตกนรกได้ เพราะนรกสวรรค์อยู่ที่ใจของท่านเอง แต่เหตุที่ต้องกินเจ เพราะ เราต้องดำรงกายสังขารโดยไม่ทำให้ใครๆเดือดร้อนถึงชีวิตเท่านั้นเอง
กินเนื้อสัตว์บาปไหม
"ไม่บาปหรอก แต่เกี่ยวกรรมกับจิตญาณสัตว์ มีเจ้ากรรมนายเวรเพิ่มขึ้นนั่นเอง กินเนื้อสัตว์ บุญกุศลก็รั่วไหลออกไปชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวรหมด"
วัว ควาย กระต่าย เต่า หรือ สัตว์กินพืชทุกชนิด เขาไม่มีสิทธิ์ได้บรรลุธรรมเลย ผู้ใดต้องตกอยู่ในภพภูมิเดรัจฉาน ก็ไม่มีโอกาสบรรลุธรรม ต้องก้มหน้าชดใช้กรรมจนกว่าจะหมดแม้ว่าจะไม่รู้ตัวก็ตาม ส่วนเทพเทวดาก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ นอกจากเสวยบุญอย่างเดียว หมดบุญวาระก็มาเกิดเป็นคน พวกเราเป็นมนุษย์ เรามีโอกาส สามารถบรรลุธรรมได้ เพราะฉะนั้น อย่าซ้ำเติมสรรพสัตว์เลย อย่าทำให้พวกเขาต้องตายโหง ตกไปสู่ทุกคติภูมิอีกเลย หากท่านเอาแต่แผ่สวดเมตตาไปให้สัตว์ แต่ปากยังเคี้ยวเนื้อ สัตว์ก็คงไม่สามารถรับบุญตรงนั้นได้ เพราะจิตญาณไม่รับรู้ มีแต่ความแค้นเคือง
การดำเนินชีวิตที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ก็คือ ธรรมะ เพราะ ธรรมะ คือ ชีวิตประจำวันของเรานี้เอง หิวก็กิน ง่วงก็นอนพัก เพราะฉะนั้นการกินอาหาร ก็คือ ธรรมะอย่างหนึ่ง เพราะ เมื่อหิวก็ต้องกินให้อิ่มพอเพื่อดำรงกายสังขารต่อไป แต่เราจะกินอาหารอย่างไรดีเล่าโดยไม่ต้องเป็นการเบียดเบียนชีวิตใครๆ
หลายคนบอกว่า "คนกินเจ ขาดสารอาหาร เป็นการเบียดเบียนตนเอง บาปกรรม" แสดงว่า คนที่กินแล้วขาดสารอาหาร คือ คนที่กินแบบผิดๆมา เช่น เอาแต่ตามใจปาก กินอาหารไม่ตรงตามเวลา กินแต่แป้ง น้ำตาล ของมันๆ ผักผลไม้ล้างไม่สะอาด หรือ ผักผลไม้กินนิดเดียวในปริมาณที่น้อย เลือกกินแต่ที่อร่อยถูกปาก คนที่กำลังรักษาสุขภาพ ต้องศึกษาให้มากเรื่อง Nutrition ก็คือ เรื่องของสารอาหารและโภชนาการนั่นเอง เขาตั้งใจกินเจไหม มีใจให้กับการทานเจไหม หากไม่ตั้งใจ ใจไม่จริง ความทุกข์และอุปสรรคก็ย่อมครอบงำ ทำให้ถดถอย ส่วนมากคนที่ชอบทานผักผลไม้ สมุนไพรอยู่ก่อนแล้ว มักไม่ค่อยมีปัญหากับการทานเจสักเท่าไหร่ การทานเจ คือ การฝึกบำเพ็ญทวนกระแสอย่างหนึ่ง เพื่อเอาชนะกิเลส (ยึดติดรสชาติของเนื้อ) และ ความเคยชิน นั่นเอง
การดำรงชีวิตด้วยการกินอาหารของพวกเราทุกท่านนั้นได้ออกนอก "สัจธรรม/ธรรมะ/ธรรมชาติ" หรือไม่ ข้าพเจ้าถามว่า หากการกินของท่าน ได้กลายเป็นส่วนของวัฏจักรของความตาย หรือ เป็นเหตุให้เวไนยอื่นต้องเดือดร้อน หรือ เสียการดำรงชาติของพวกเขาไปอย่างน่าเสียดาย หรือ เป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องตายโหง นี้หรือ ธรรมะที่ท่านอ้างว่า ท่านคือ ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมะ ท่านต้องปฏิบัติต่อเวไนยสัตว์ให้เท่าเทียมกัน แม้ว่า สัตว์เดรัจฉานจะอยู่ภพที่ต่ำกว่าเพียงใด ท่านยังเมตตาต่อมนุษย์ได้ ไม่กินเนื้อมนุษย์กันเองได้ แล้วทำไม จึงละเว้นชีวิตสัตว์ไม่ได้หรือ
สัตว์ที่ตายโหง จิตญาณพวกเขาก็จะประณามว่า "บำเพ็ญธรรมกันภาษาอะไร ทำไมต้องฆ่ากินพวกเราด้วย พวกท่านมนุษย์ผู้ได้ชื่อว่า สัตว์ประเสริฐ บำเพ็ญธรรม ก็อนุโมทนาด้วย แต่หากบำเพ็ญธรรมแล้ว ไร้ซึ่งเมตตา เราไม่ขออนุโมทนา เราไม่ยินดีที่จะตายจาก พวกเราเกิดมาลำบากแสนเข็ญนักหนา ตกนรกก็แล้ว มาเกิดเป็นสัตว์ก็ทรมานยิ่งกว่า ไม่ได้อยู่สบายๆอย่างท่านเลย พวกท่านโชคดีเหลือเกิน ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พวกข้าเป็นวิญญาณบาป จึงต้องชดใช้กรรมในกายสังขารของเดรัจฉาน พวกข้าขอความเมตตาพวกท่านได้หรือไม่"
นี้คือ ความในใจ เป็น ธรรมะ ที่ข้าพเจ้าได้ย้อนมองส่องตนแล้ว พิจารณากลับกันคือ "หากเราต้องไปเกิดเป็นสัตว์บ้างเล่า เราจะทุกข์แค่ไหนกันเชียว เราจะอ้อนวอนให้มนุษย์ไม่ให้ฆ่าเรา เราจะทำอย่างไรดี เราไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ เราได้แต่ทุรนทุราย ดิ้นรนหนีรอด หรือ กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แค่นี้ มนุษย์ยังไม่เข้าใจภาษาสื่อของเราอีกงั้นหรือ"
ท่านยังจะบอกอีกว่า "กรรมใครกรรมมัน" สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมก็จริง แต่ท่านต้องอย่าลืมว่า เราต้องไม่เกี่ยวกรรมกับใคร เราต้องไม่สร้างกรรมเพิ่ม แต่ต้องสร้าง เมตตาธรรม ออกมาจากใจด้วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัจธรรม หากท่านขาดเมตตาต่อเวไนย ท่านไม่สามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้ เพราะ เมตตาธรรม ค้ำจุนโลกเราอยู่ ท่านอยู่ภายใต้หล้าฟ้าและอยู่บนผืนดิน ฟ้าดินโอบอุ้มเวไนยสัตว์เอาไว้ เมื่อดำรงอยู่ ท่านก็จงรักเวไนยอื่นด้วยเช่นกัน มิใช่เมตตาต่อมนุษย์ด้วยกันเองเท่านั้น ฟ้าดินยุติธรรมที่สุดแล้ว
เท่าที่ติดตามปัญหาที่มีคำถามค้างคาใจหลายท่าน คือ "ทานเจแล้วได้บุญไหม บรรลุธรรมไหม"
ขอสมมติว่า "หากทานเจแล้วได้บุญ หรือ อรหันต์จริง ป่านนี้ก็คงกินเจกันทั้งโลกเสียนานแล้ว คงจะดีไม่น้อย"
เพราะฉะนั้น คำถามที่ว่า "กินเจได้บุญไหม หรือ กินเจบรรลุธรรมไหม" นั่นก็คือ กิเลส ของผู้ถามที่ยังยึดหมายผลแห่งการทำความดี เพียงแค่ว่า ทำความดีบางอย่างเพื่อหวังผลกลับมาที่ตน หากการทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ได้บุญ ก็คงไม่มีใครคิดจะทำความดีเลยใช่ไหม เพราะจิตใจที่กักขังอยู่ตรงนั้น
พระอริยเจ้าเว่ยหล่าง (ท่านพระธรรมจารย์ฮุ่ยเหนิง) ได้บรรลุ กลับคืนไปแล้วอย่างสงบ ตลอดชีวิตของท่าน มิเคยได้รู้หนังสือ หรือ อ่านหนังสือได้เลย แต่ไฉน จิตพุทธะที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อเวไนยทุกภพภูมิ ได้ฉุดช่วยเวไนยสัตว์มากมายได้กลับคืน รู้แจ้งสัจธรรมจริง
ท่านเว่ยหล่างไม่รู้หนังสือ แม้แต่ในจิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์ก็คงไม่หลงเหลือคำว่า "มหายาน หรือ หินยาน" ซึ่งเป็นเพียงนามธรรมเท่านั้น พระองค์ไม่เคยได้ยินเรื่องการทานเจมาก่อน แต่ฉันอาหารเจตลอดโดยมิได้ยึดหมาย ฉันเจก็เพื่อประทังสังขารบำรุงธาตุเท่านั้นเอง พระองค์ท่านตั้งแต่เยาวัย ก็ชอบออกป่าช่วยเหลือสัตว์ป่ามากมายให้รอดพ้นจากกับดักของนายพราน
พวกเราต้องสำนึกผิดที่พวกเราอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าหรือเป็นเหตุให้เวไนยสัตว์ได้ถูกฆ่า จงสำนึกผิดและสำนึกขอบคุณที่เติบโตมาเพราะเลือดเนื้อผู้อื่น ไม่ว่าพวกเราจะรู้ตัวหรือไม่ จงสำนึกผิดต่อเวไนยสัตว์ที่พวกเราเคยฆ่าและเคยกินเลือดเนื้อพวกเขามา
การที่สัตว์ตายเพื่อมาเป็นอาหารของมนุษย์ผู้ซึ่งไร้ความเมตตา เปรียบเสมือน การบูชายัญ สละชีวิตที่มิได้ยินยอม ต่อยักษ์อสรู
แม้ว่า ท่าน ในฐานะปุถุชนผู้แสวงหาธรรม จะพยายามชำระกิเลสออกจากใจของท่านเพียงใด แต่หากยังเกี่ยวกรรมกับเวไนยในอดีตชาติและชาตินี้ ที่ยังมิได้เป็นอภัยทานหรือโมฆะกรรม กรรมนั้นก็ไม่จบ เพราะเจ้ากรรมนายเวรไม่ปล่อย ไม่ยินยอม พวกเราเคยได้ทำกรรม หรือ เพียงเกี่ยวข้องกรรมใดไว้กับคนหรือกับสัตว์ ย่อมต้องชดใช้ จะหนีไปสวรรค์ เทวโลก เพื่อหนีคดีเก่างั้นรึ ฟ้าดินยุติธรรมไม่เอนเอียง แม้จะสำเร็จไปเทวโลก แต่เมื่อหมดอายุขัยแล้ว ก็ต้องกลับมาชดใช้กรรมเก่า
ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์คนบุญในชาตินี้ เพราะชาติก่อนเคยได้เกิดเป็นเทพ พรหม เทวดา หรือ พุทธะ แต่หนี้กรรมเก่าที่ยังมิได้ชำระก็มีอีกมากมายจากหกหมื่นปีที่เวียนว่ายมา จวบจนชาตินี้ ก็ยังสร้างกรรมใหม่อีกมากมายต่อสัตว์เดรัจฉาน กรรมมากมายก็ทับถมดั่งเขาพระสุเมรต่อไป
บางท่านก็ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ และโรคร้ายที่รักษาได้ยากนัก ทั้งๆที่ในชาติปัจจุบัน อาจไม่เคยสร้างกรรมกับใครมาก่อน แต่อนิจจา กฎแห่งกรรมนั้นยุติธรรม กรรมเก่าได้ตามทันเสียแล้ว
ท่านจะโปรดตนเอง หรือ โปรดเพื่อนมนุษย์ เวไนยภพภูมิอื่นด้วยกัน ก็อย่าลืมโปรดสัตว์เดรัจฉานบ้าง ในภพภูมิมนุษย์ เวไนยที่ใกล้ชิดมนุษย์ที่สุดคือ สัตว์เดรัจฉาน
ขอสรุปอีกครั้งว่า การกินเจ หรือ กินพืช มิอาจเป็นการสร้างบุญกุศลได้ เพราะการกิน คือ สัจธรรม อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ เวไนยต้องดำรงกายสังขารไว้ แต่มิใช่ดำรงกายสังขารที่เห็นแก่ตัวเกินสัจธรรม โดยการไปเข่นฆ่า เอาเลือดเนื้อเพื่อนร่วมโลกมาบำเรอธาตุในตน แล้วเข้าข้างตนเอง เอาความถูกต้องเข้าตัว
บ้างคิดว่า คนทานเจ ไม่ปล่อยวาง จะกินยังเรื่องมาก ท่านจงแยกแยะความแตกต่างระหว่าง การปล่อยวาง กับ การกิน
กินก็กินไปเถิด แต่อย่ากินสังขารร่างกายที่มีเจ้าของเลย เพราะจิตญาณของเจ้าของยังคงเคียดแค้นอาฆาตไม่รู้จบ แม้ว่าจะแผ่เมตตาไปด้วยวาจา ก็มิสามารถดับความแค้นของจิตญาณเดรัจฉานได้เลย
การทานเนื้อสัตว์ เป็นการเกี่ยวกรรมกับจิตญาณสัตว์อยู่นั่นเอง วิญญาณเจ้ากรรมนายเวรมากมายรอต่อแถวทวงหนี้ท่านอยู่ สังเกตเหตุการณ์ความวุ่นวายในสังคมทั่วโลก หรือ เหตุการณ์ที่สยดสยองที่เกิดขึ้น เช่น เหยื่อผับ Santika ที่ถูกเผาทั้งเป็น , เหยื่อสึนามิที่ศพลอยอืดพองบนผิวน้ำ สงคราม, แผ่นดินไหว ตึกถล่ม น้ำท่วม พายุ ไฟไหม้ รถระเบิด อุบัติเหตุปางตายบนถนน เครื่องบินตก กลุ่มผู้แสวงบุญบนรถทัวร์ได้ตายอนาจ รถตกเหวจากบนเขา หรือ อุบัติเหตุต่างๆที่ต้องตายหมู่ หรือ การเจ็บไข้ได้ป่วย, หวัดนก หรือ โรคร้ายที่รักษาไม่หาย หรือ แทบไม่หายเลยก็ว่าได้ ยังมีเกจิอาจารย์หลายๆท่านที่เป็นอริยสงฆ์ ที่ยังต้องชดใช้กรรม เจ็บไข้ได้ป่วยจนมรณภาพก็มีมาก เพราะฉะนั้น กฎแห่งกรรมไม่เคยไว้หน้าผู้ใด แม้กระทั่งคนที่มีจิตใจดี
การบำเพ็ญธรรม มิใช่บำเพ็ญไปตามความรู้สึกนึกคิด การบำเพ็ญ ต้องใช้ปัญญา ปัญญานั่น ก็คือ รู้แจ้งสัจธรรม รู้แจ้งความเป็นจริงของธรรมชาติรอบตัวเราและภายในของเรา มิใช่เมตตาโดยไม่ใช้ปัญญา เช่น เห็นเพื่อนหญิงขอความช่วยเหลือ ขอยืมเงิน แต่ต้องดูด้วยว่า เงินที่เราช่วยไปนั้น เขาจะเอาไปทำบาปอะไรหรือไม่ เช่น เอาไปจัดงานเลี้ยงฆ่าสัตว์ หรือ เอาไปทำแท้งหรือเปล่า มิฉะนั้น จะเป็นการเกี่ยวกรรมโดยมิรู้ตัว
การกินเจ หรือ มังสวิรัติก็ดี มิใช่การปฏิบัติธรรม หรือ ทำบุญเลย แต่เป็นเพียงการดำรงชีวิตของสัตว์ประเสริฐเท่านั้น สัตว์ประเสริฐ ก็คือ คนดีที่มีจิตใจธรรมะ มีคุณธรรม เมตตา มโนธรรมสำนึก จริยา ปัญญา
ที่ไม่อาจทานเจกันได้ เพราะกลัวอดตาย หวงชีวิต กลัวไม่มีความสุข กลัวความตาย กลัวความลำบาก กลัวอดอยาก จึงต้องยอมให้สัตว์อีกกี่ล้านชีวิตมาแลกชีวิตอย่างไม่รู้สึกสะเทือนใจบ้าง
อย่ากลัวลำบากหรือกลัวอดตายเลย เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุด มิใช่ความตาย แต่เป็นการเวียนว่ายตายเกิดที่ต้องไปชดใช้กรรมต่างหาก ส่วนมากผู้ที่ทานเจได้นั่น ต่างก็เคยมีสัญญากรรมที่ได้เคยเวียนว่ายไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมาแล้วนั่นเอง จึงเข้าใจ เห็นใจ และอดสงสารเวไนยที่จะไปชดใช้กรรมเกิดเป็นสัตว์บ้างมิได้ พระพุทธเจ้าทรงเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมาแล้วหลายชาติ พระพุทธองค์จึงทรงเล็งเห็นความทุกข์ ที่เป็นภัยพิบัติที่ใหญ่ที่สุดและน่ากลัวที่สุด คือ การเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้จบสิ้น นี้คือ ทะเลทุกข์อันแท้จริงของเวไนยอย่างพวกเราที่ยังหลงอยู่
ทำไม เรื่องการกินเจ จึงเกิดขึ้นมาให้ได้รับการส่งเสริมมากขึ้นทุกวันนี้ไปทั่วโลก เพราะว่า ยุคนี้ เป็นยุคแห่งการปรกโปรด สามโลก (เทวโลก มนุษย์โลก และ ยมโลก) นั่นหมายความว่า แม้กระทั่ง สัตว์เดรัจฉานก็ต้องได้รับการฉุดช่วยด้วย จะสังเกตว่า หมู่นี้ มีคนบนโลกหันมาช่วยเหลือชีวิตสัตว์มากมาย และงดเว้นเนื้อสัตว์กันมากขึ้น และในชั้นสวรรค์แดนดุสิต จิตญาณสัตว์เดรัจฉานต่างก็ได้รับการอบรมธรรมในลานธรรมพระโพธิสัตว์ศรีอาริย์ หากจิตญาณสัตว์ได้สำนึกและตื่นเร็วขึ้น จิตญาณก็จะได้เลื่อนระดับเป็น จิตญาณมนุษย์ทันที
ตอนนี้พวกเรากำลังเข้าสู่ระหว่าง กึ่งยุคปลายกัป คือ ยุคแห่งมหันตภัยที่มีเวไนยล้มตายกันมากที่สุด และ ยุคพระศรีอาริย์นั่นเอง
ในยุคของพระศรีอาริย์ จะเป็นแดนสวรรค์บนโลก เวไนยต่างรักสงบ ไม่มีการทำผิดศีลใดๆทั้งสิ้น ทุกๆคนจะรักกันอย่างเท่าเทียม จิตใจเวไนยในยุคนั้นบริสุทธิ์ยิ่งนัก เมื่อละสังขารไปแล้ว สามารถบรรลุธรรมกลับคืนได้ทันที เวไนยต่างเคารพซึ่งกันและกัน ไม่มีการแก่งแย่งเข่นฆ่ากัน แม้กระทั่งไม่มีใครฆ่าสัตว์และกินเนื้อสัตว์ นี้คือข้อมูลที่ได้นำมาจาก พุทธทำนาย
ตราบใดที่คนยังไม่งดเว้นทานเนื้อสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ทั่วโลก ก็ยังคงเป็นนรกด่านแรกที่ยังไม่ดับมอดต่อไปจนกว่าโลกนี้จะโดนกวาดล้างไปเสียสิ้นมิให้เหลือเวไนยผู้หลงผิดอีกต่อไป
ขออวยพรให้มหาปณิธานของพระพุทธา กษิติครรภ์ พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์จงบรรลุเทอญ