พรหมจรรย์ขั้นสูงสุด
#1
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 05:28 PM
ซึ่งเป็นอะไรที่ดิฉันปารถนามาก ครั้งหนึ่งเคยน้ำตาคลอ เมื่อเห็นบุรุษทั้งหลายใส่ชุดนาคสีขาว ตัวดิฉันก็ได้แต่ยกมือสาธุ
การ เปล่งเสียงอนุโมทนากลั่นออกมาจากภายในใจ ในใจก็คิดว่าเขาคือผู้ได้โอกาส แต่เรานั้นประกอบเหตุมาเอง
ไม่รู้จะไปโทษใคร สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือตั้งใจสั่งสมบุญ ทุกบุญ และอธิษฐาน บวกกับมโนปณิธานที่จะประพฤติ
พรหมจรรย์ขั้นสูงสุด เพื่อการสร้างบารมีจะได้เป็นไปแบบไม่มีห้วงกังวน ให้กายและใจได้บริสุทธิ์ และใสสะอาดที่สุด
และเพื่อที่จะได้รักษาศีล 8 ไปด้วย
......... และอยากทราบวิธีที่จะทำให้กำลังใจเราเข้มแข็ง ไม่หวั่นไหวต่ออำนาจของพญามารที่คอยตัดรอนกำลังใน
ในมโนปณิธาน ที่ปารถนาให้ได้เป็นผู้ชายในชาติหน้า และได้บวช เพราะเคยได้ยินหลวงพ่อท่านเล่าว่า
นักเรียนอนุบาลได้ให้สัจจะหลวงพ่อในใจว่าจะประพฤติพรหมจรรย์ แต่แล้วก็เผลอไปครองเรือน
#2
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 05:32 PM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#3
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 06:00 PM
แม้ท่านเป็นอุบาสิกา แต่ท่านก็เข้าถึงพระภายใน ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมและคุณวิเศษ
#4
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 06:13 PM
เลยไม่ยอมมีคู่ไปตลอดชีวิต ก็ลองหมั่นพิจารณาให้เห็นโทษของการครองเรือนให้ได้
หลาย ๆ ข้อดู
#5
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 06:54 PM
จะมี "กำลังใจ" ในการทำความดีมากขึ้นๆ
จนกระทั่ง สามารถสร้างเนกขัมมบารมีในระดับ "ปรมัตถ์"
รวมทั้งบารมีอื่นๆ ด้วยครับ
โชคดีนะครับ
เ พี ย ง พ บ พ า น . . . _ เ พื่ อ ผ่ า น ภ พ
Passing by to meet you.
#6
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 07:07 PM
อ่านแล้วทำให้ใจที่อยากบวชวันต่อวันมากอยู่แล้ว ยิ่งมากขึ้นไปอีก
ให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็น "ผู้ได้โอกาส"
#7
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 07:11 PM
เพราะการสังเกต และวิเคราะห์ ไม่สามารถรับรู้ได้ถึง
ผู้ที่เคยครองเรือนโดยตรง ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ
#8
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 07:11 PM
โดยนำใจมาอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 อย่างน้อย วันละ 1 ชั่วโมง
ปฏิบัติ !!!
เพราะการสังเกต และวิเคราะห์ ไม่สามารถรับรู้ได้ถึง
ผู้ที่เคยครองเรือนโดยตรง ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ
...ไม่เคยครองนะ แต่ลองสมมุติ ดูเล่นๆ
จาก 100 คู่ (เริ่มจากเป็นกิ๊ก กันนะ)
มีประมาณ 10 กว่าคู่ได้มั้งที่จะอยู่กันไปแก่ตาย . . .
แล้วที่เลิกกันไปเพราะมีความทุกข์ (ไม่สามารถยกตัวอย่างได้เพราะมันเยอะ)
% ที่ได้จากการครองเรือน = มีทุกข์ 90%
... มีโอกาส 10% ที่จะอยู่แล้วมีความสุข . . . ไม่ค่อยคุ้มแฮะ . . .
ตัวคนเดียวยังจะเอาไม่รอดเลย...
#9
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 07:36 PM
#10
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 07:48 PM
เพื่อนผมคนหนึ่ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มาปรับทุกข์
เธอ (She) บ่นว่าอยากบวช
ทำไมเป็นอย่างนี้หนอ...
เ พี ย ง พ บ พ า น . . . _ เ พื่ อ ผ่ า น ภ พ
Passing by to meet you.
#11
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 07:57 PM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#12
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 08:10 PM
อันนี้ต้องพิจารณาให้เห็นโทษของการครองเรือน เช่น การครองเรือนมีสุขน้อย แต่มีทุกข์มาก มีความลำบากกังวลเรื่องทำมาหากิน เลี้ยงแค่ตัวเราเองก็ลำบากอยู่แล้ว ต้องมาเลี้ยงคู่ชีวิต พอมีลูกมีเต้าก็ต้องเลี้ยงลูก กว่าเค้าจะโต เราก็เหนื่อยอีกโข โตแล้วเราจะได้ดั่งใจหรือไม่ก็ไม่รู้ มีแต่ความไม่แน่นอนทั้งน้น
หรือพิจารณาถึงความไม่สวยงามของร่างกายที่ว่า ร่างกายคนเราเหมือนถุงหนังที่มีรูพรุน มีทวารใหญ่ๆ 9 ทวาร มีของเสียไหลออกมาตลอด ข้างในบรรจุด้วยคูถ น้ำเลือด น้ำหนอง มีเครื่องใน ทั้งตับ ไต ไส้ พุง ปอด ม้าม มีกระดูกแข็ง กระดูกอ่อน ซึ่งยึดด้วยเส้นเอ็น แล้ว คนที่เราเห็นว่าหล่อ ว่าสวย ถ้ากลับเครื่องในมาเป็นข้างนอก เอาผิวหนังที่สวยงามไปไว้ข้างใน เรายังจะรักชอบอีกหรือไม่
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#13
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 09:07 PM
60 ปีพระราช ตอนนั้นมีน้องชายได้ไปบวชด้วยปลื้มใจมาก หลังจากนั้นทุกครั้งที่ได้ดูภาพงานบวชรุ่นต่างๆก็จะมีสองความรู้สึกเกิดขึ้นคือ ปลื้มปิติกับผู้ที่ได้โอ
กาส และรู้สึกถึงความเป็นผู้ด้อยโอกาส อยากถามผู้ได้โอกาสทุกท่านว่าทำไมถึงไม่ไป่บวชคะ
#14
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 10:31 PM
เพราะการสังเกต และวิเคราะห์ ไม่สามารถรับรู้ได้ถึง
ผู้ที่เคยครองเรือนโดยตรง ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ
ยกตัวอย่างจากท่านอื่นมาให้
กามและการครองเรือนมีโทษ คือ มีความยินดี มีความพัวพัน มีความยึดมั่นถือมั่น
ในสิ่งต่างๆ และเป็นมูลเหตุจูงใจให้ กระทำในสิ่งต่างๆ ที่ผิดต่อข้อศีล (กรรมบท 10)
ได้ง่าย
สรุป กามและการครองเรือนมีโทษ นำพาไปผิดศีลและต้องถูกจองจำในอัตภาพข้างหน้า
ต้องสำรวมระวังและไม่ประมาทอยู่ตลอดเวลา จึงจะรอดพ้น
โทษของการครองเรือน (พยายามหาให้)
- ทำให้ปฏิบัติธรรมได้ยากเพราะต้องขออนุญาติจาก ภรรยาหรือสามี
- ทำให้ห่วงใย ผูกพัน ไม่มีความสุขทางใจ
- ทำให้ต้องเดือดร้อน เรื่องการหาทรัพย์มาใช้จ่ายเลี้ยงครอบครัวไม่มีเวลาว่าง
- ทำให้เดือดร้อนทางกายและทางใจ ถ้าคู่ครองเป็นคนไม่ดี
- ทำให้ต้องคอยดูแลเอาใจ ไม่เป็นตัวของตัวเอง
- เมื่อแต่งงานไปแล้ว ที่เคยพบเห็นนานไปเริ่มเบื่อ มักมีปัญหานอกใจกัน
คนเราดูกันยากก่อนแต่งงานก็เห็นแต่ความดีพอแต่งกันไปแล้วชักจะเริ่มออกลาย ดังนี้เป็นต้น
แต่ควรจะหมั่นฝึกสมาธิให้มาก ๆ ด้วย
จากพุทธพจน์
พระองค์เองสมัยที่ยังมิได้ตรัสรู้ ทรงรู้เห็นเหมือนกันว่า กามทั้งหลายให้สุขน้อย
ให้ทุกข์มาก แต่เมื่อมิได้สุขอื่นที่เหนือกว่ากามสุข
ก็ยังไม่สามารถปฏิญญาพระองค์ว่าจะไม่เวียนมาสู่กามสุขอีก
เมื่อทรงได้สุขอื่นที่เหนือกว่าแล้ว จึงทรงปฏิญญาได้ว่าจะไม่เวียนมาหากามสุขอีก
อ่านได้จาก พระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ จูฬทุกขักขันธสูตร ข้อ ๒๐๙
คุณและโทษของกาม พร้อมทั้งอุบายวิธีที่จะถอนตนจากกาม
อ่านได้ใน มหาทุกขักขันธสูตร
#15
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 11:57 PM
ชาวพุทธทั้งหลายพึงรักษาพระพุทธศาสนาด้วยความเพียรของตน โดยไม่คิดหวังพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลแม้ฉันนั้น
#16
โพสต์เมื่อ 17 June 2006 - 03:35 AM
น้าจี้
#17
โพสต์เมื่อ 17 June 2006 - 09:50 AM
#18
โพสต์เมื่อ 17 June 2006 - 11:52 AM
เพราะการสังเกต และวิเคราะห์ ไม่สามารถรับรู้ได้ถึง
ผู้ที่เคยครองเรือนโดยตรง ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ
ชีวิตครองเรือน นำไปสู่การดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ เพื่อตนเอง คู่ครอง บุตร ตลอดจนญาติมิตร จึงมีห่วงเป็นเครื่องกังวล เครื่องพันธนาการ
ดังนั้น ทรัพย์จึงเปรียบเสมือนห่วงผูกเท้า
คู่ครองเสมือนห่วงผูกมือ
บุตรเสมือนห่วงผูกคอ
จะเดินทางไปไหนก็อดห่วงไม่ได้ หรือถ้าไปก็ไปได้ไม่นาน
เพศฆราวาสจึงคับแคบ ต่างจากสมณเพศซึ่งหมดห่วง หมดจากเครื่องกังวล
#19
โพสต์เมื่อ 17 June 2006 - 11:58 AM
คือ "กาม" มีคุณแต่ก็เป็นคุณที่น้อยนิดมากๆ "กาม" มีโทษมากกว่ามากๆ
เวลา และจิตใจ จะถูกพัวพันด้วย ครอบครัว การงาน จนแทบไม่มีเวลาแทรกออกมาบำเพ็ญเพียร
และทรัพย์ก็จะต้องเจียดเพื่อการโน้นการนี้ แทบไม่ได้เอาไปทำบุญ
ต้องมีกัลยาณมิตร คอยเตือน คอยชี้โทษ
อาศัยอยู่ด้วยตัวเองคนเดียว เวลาเจอศึกรุกหนัก นั้นอาจทนทานไม่ไหว ความคิดความรู้สึกจะเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน ต้องมีกัลยาณมิตรที่ดี ที่ฉลาดรู้จักเรา และเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่เอื้อต่อการรักษาปณิธานนี้ รวมทั้งการรับสื่อ ทีวี นสพ นิตยสาร ต่างๆ มีแต่เชิญชวนให้มีแฟน มีครอบครัว ดูมากๆ อ่านมากๆเข้า บางคนก็เขวนิดๆ นานๆเข้าก็ "ไม่เป็นไร" อะไรแบบนี้เป็นต้น เราต้องดูให้ดี
ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ
#20
โพสต์เมื่อ 17 June 2006 - 01:03 PM
ในมโนปณิธาน ที่ปารถนาให้ได้เป็นผู้ชายในชาติหน้า และได้บวช เพราะเคยได้ยินหลวงพ่อท่านเล่าว่า
นักเรียนอนุบาลได้ให้สัจจะหลวงพ่อในใจว่าจะประพฤติพรหมจรรย์ แต่แล้วก็เผลอไปครองเรือน
จำไว้นะคะ ว่าทุกครั้งที่เราแพ้
หลวงพ่อท่านรับรู้อยู่
นึกดูสิคะ ว่าเมื่อกษัตริย์ต้องเสียขุนพลไปสักคนน่ะ
สะเทือนแค่ไหนคะ
แล้วนึกดูนะคะ ว่าถ้าออกไปครองเรือนแล้ว คุณจะสร้างบารมีได้ยากแค่ไหน
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#21
โพสต์เมื่อ 17 June 2006 - 03:32 PM
ถ้าเกิดเป็นเพศชาย แล้วออกบวช แต่มิได้ปฎิบัติตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า การบวชนั้นก็ไร้ประโยชน์ เป็นโมฆะ.
* ให้เวลากับตนเองในการศึกษาพระไตรปิฎก แล้วคุณจะรู้ว่า อะไรคือคำสอนของพระพุทธเจ้า
* ทุกข์ทั้งหมดในสังสารวัฏ ดับได้ก็ด้วย วิชชา ( ความรู้ ) และจรณะ ( ความประพฤติ ) มิใช่ดับได้เพราะการนุ่งห่มแบบใด มิใช่ดับได้เพราะการอาศัยอยู่ในวัด แต่ดับได้ด้วยการ มีความเห็นชอบ ความดำริชอบ เป็นต้น ( มรรคมีองค์ 8 )
* การคบคนดี ทำให้ได้ฟังธรรมะ, ทำให้ได้พิจารณาธรรมะ, ทำให้เกิดสติ, ทำให้สำรวมอิทรีย์, ทำให้เกิดสุจริตสาม, ทำให้เจริญสติปัฏฐานสี่, ทำให้เจริญโพชฌงค์เจ็ด, ทำให้วิชชา และวิมุตติเกิด.
ถึงคุณจะไม่มีโอกาสบวชเป็นพระ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะหมดโอกาส ศึกษาและปฏิบัติธรรม. พระไตรปิฎกมีอยู่ ผู้มีความเห็นชอบ ปฎิบัติชอบมีอยู่ เข้าไปหาท่าน ฟังธรรมจากท่าน แล้วนำไปพิจารณา ท่านก็จะมีสติ และท่านก็จะสามารถสำรวม กาย วาจา และใจได้. หมั่นเจริญสติปัฏฐานสี่ ( การตั่งสติพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ) และ โพชฌงค์เจ็ด ( ธรรมอันเป็นองค์ประกอบให้ได้ตรัสรู้ คือ สติ ความระลึกได้, ธัมมวิจยะ การเลือกเฟ้นธรรม, วิริยะ ความเพียร, ปิติ ความอิ่มใจ, ปัสสัทธิ ความสงบใจ, สมาธิ ความตั่งใจมั่น และ อุเบกขา ความวางเฉย ) ให้เจริญ. วิชชาเกิด อวิชชาก็ดับ. วิมุตติเกิด ความยึดมั่นถือมั่นก็ไม่มี.
* เราย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งที่โลกสมมุติว่าเลิศ ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้นและไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นจึงทราบความดับได้เฉพาะตน ฉะนั้นตถาคตจึงไม่ทุกข์.
โลกอยู่ภายใต้การครอบงำของชรา ก้าวเข้าไปสู่ชรา ไม่ยั่งยืน
โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้เป็นใหญ่
โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวง
โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา.
- สละโลกได้ ก็พ้นทุกข์ได้
#22
โพสต์เมื่อ 17 June 2006 - 06:42 PM
ก่อน อื่น ต้องขอคาราวะ มโนปนิธาน อันงดงามของน้อง
ที่มีจิตใจใฝ่ฝันในสิ่งที่ดีงาม ที่แม้แต่ผู้ชายคนหนึ่งอ่านแล้วปลื้ม จนน้ำตานองหน้ามาแล้ว
การบวช เป็นความใฝ่ฝันอันหนึ่ง ที่ผู้ชายคนหนึ่งก็เคยใฝ่ฝันเหมือนกัน แต่ไปไม่ถึงจุดหมาย
ก็อดไม่ได้ที่เห็น ผู้ที่ได้บวช แล้ว ก็ได้แต่เฝ้ามอง แล้วก็ร้องไห้ เช่นกัน ว่า เรานั้น วาสนา น้อยเหลือเกิน
#23
โพสต์เมื่อ 18 June 2006 - 05:39 PM
1. สอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งได้ แล้วเรียนไม่ไหว เพราะไม่ศึกษาให้ดีก่อนว่าตัวชอบเรียนหรือไม่ เรียนไหวหรือไม่ เห็นว่ามหาวิทยาลัยดังเลยแห่ลงตามเพื่อนไป ทำให้เราเกรดตก ต้องรีไทร์ออกมา เราคิดว่า เราควรทำอย่างไรต่อดี ร้องไห้เสียใจต่อไป หรือเริ่มต้นใหม่
ก็เปรียบเสมือนผู้ได้โอกาส แต่ไม่ศึกษาชีวิตสมณะให้ดีก่อน ตัดสินใจลุยเข้าไปเลย สุดท้ายมีเหตุ เช่นกระทบกระทั่ง กาม ฯลฯ ทำให้ต้องสึกออกมา
2. มีความรู้ความสามารถพร้อม แต่ไม่สอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง เพราะขี้เกียจเรียน อยู่เฉยๆ สบายกว่า ถ้าเป็นเช่นนี้เราควรทำอย่างไรดี
ก็เปรียบเสมือนผู้ได้โอกาสบวช แต่ปล่อยโอกาสนั้นไป เพราะพ่ายต่ออำนาจกิเลสต่างๆ เช่น กาม พยาบาท และอื่นๆ
3. ผู้ที่เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับ 1 ต้องเตรัยมตัวอย่างไรบ้าง เพราะถ้าประมาทอาจเอ็นไม่ติดได้ ก็เปรียบเสมือนผู้เตรียมตัวบวช ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
4. ผู้ที่มีเหตุไม่อาจได้เรียนในมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ได้ ด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ เช่น ฐานะทางบ้าน เกรดไม่ถึง สอบไม่ได้ ฯลฯ เขาควรจะทำอย่างไรดี เขาควรร้องไห้เสียใจ เห็นคนเรียนมหาวิทยาลัยอันดับ 1 แล้วร้องไห้เสียใจ หรือ เขาควรเลือกเรียนมหาวิทยาลัยรองๆ ลงไป แล้วตั้งใจทำให้ดีที่สุดแทน ก็ต้องพิจารณาดู
เปรียบเสมือน ผู้ไม่มีโอกาสได้บวช เขาควรร้องไห้เสียใจ หรือ ใช้โอกาสรองๆ ลงไป สร้างบารมีแทน เช่น เป็นอุบาสก อุบาสิกา หรือ หากโอกาสรองๆ ลงไป ก็ไม่ได้ ก็โอกาสที่ 3 ที่ 4 ครองเรือนไป สร้างบารมีไป ให้ดีที่สุด อย่าได้เสียใจเลยนะครับ เป็นต้น
#24
โพสต์เมื่อ 19 June 2006 - 01:46 AM
ข้าพเจ้าตอบข้อซักถามแก่หญิงสาวที่เป็นคุณแม่ของ
ลูก ๆ ที่กำลังจะสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย
สายตา ข้าพเจ้าเหลือบมองไปยังเพื่อนสาวที่ช่วยขับรถมาเป็น
เพื่อน คุณแม่คนนี้หน้าตาคมคาย จัดว่าเป็นคนสวยคนหนึ่ง
แต่ข้าพเจ้ากลับเห็นดวงมรณะซ้อนขึ้นมาในดวงธรรมของเขา
จึงตรึกเข้าตรวจละเอียดพบว่า...
หญิงสาวสวยผู้นี้มีผังชีวิตทำอัตตวินิตบาตกรรม(การ
ฆ่าตัวตาย) มาหลายภพหลายชาติ ข้าพเจ้าไม่พูดอะไร ได้แต่
คุยเรื่องบุญ - กุศล หญิงสาวผู้นั้นสนใจและบอกว่า ถ้ามีงาน
บุญอะไร อย่าลืมช่วยบอกบุญด้วย ข้าพเจ้าจึงแจกดวงแก้ว
กายสิทธิ์ลูกเล็ก ๆ ดวงหนึ่งให้เขาไป และขอให้เขาเลี่ยมใส่ติด
ตัวเพื่อปกปักรักษา พร้อมขอที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของ
"พี่แดง" คนสวยผู้นี้
เดือนหนึ่งผ่านพ้นไป ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังรับฟังเรื่อง
ของคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งมาปรึกษาอยู่ พลันได้ยินเสียง
ของกายสิทธิ์มาบอกว่า.. เจ้าของดวงแก้วกินยาเพื่อจะฆ่าตัว
ตาย เมื่อสอบถามไปจึงทราบว่าเป็นกายสิทธิ์ในลูกแก้วที่ให้
พี่แดงไปนั่นเอง ข้าพเจ้ารีบค้นเบอร์โทรศัพท์ และโทรเข้า
ไปที่บ้านของพี่แดง คนรับใช้มารับโทรศัพท์ ข้าพเจ้าบอก
ให้เขาขึ้นไปดูเจ้านายเป็นอะไรหรือเปล่า
จริงดังที่กายสิทธิ์มาบอก พี่แดงกินยานอนหลับเข้าไป
ประมาณ 200 เม็ด ข้าพเจ้าสั่งให้คนรับใช้รีบนำส่ง
โรงพยาบาลแถวบ้าน เพื่อล้างท้องช่วยชีวิต และก็สามารถ
ช่วยชีวิตพี่แดงได้ทันการ
เมื่ออาการพี่แดงปลอดภัยแล้ว ข้าพเจ้าจึงรับตัวพี่
แดงมาค้างคืนที่บ้าน และบอกแก่เธอว่า.............. ผังชีวิต
ของเธอกระทำอัตตวินิตบาตกรรม ข้าพเจ้าจึงให้กายสิทธิ์แก่
เธอ เพื่อเป็นภาคผู้เลี้ยงคอยคุ้มครองรักษา และข้าพเจ้าได้แก้
ผังให้แล้ว นับแต่วันที่พบกันครั้งแรก จึงสามารถช่วยชีวิตเธอ
รอดปลอดภัย
พี่แดงได้แต่ร้องไห้ว่า...ชีวิตนี้หมดสิ้นทุกอย่าง เธอ
เป็นคนสวยรวยทรัพย์ แต่ไม่อาจให้ทายาทสืบสกุล เพราะได้
ผ่าตัดมดลูกไปแล้ว เมื่อ 5 ปีก่อน จึงเป็นสาเหตุให้สามีนอกใจ
ไป มีหญิงอื่นและมีบุตรด้วยกัน ทอดทิ้งเธอให้ช้ำระกำใจ
ชีวิตนี้อยู่ไปก็เปล่าประโยชน์
"พี่คะ สมัยหนึ่งพระอานนท์ทูลถามพระพุทธองค์ว่า
ทุกข์อันใดที่เป็นทุกข์ที่สุดของสตรีเพศ
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...................
ทุกข์ที่สุดของสตรีคือ สามีนอกใจไปมีผู้หญิงอื่น
ฉะนั้นการที่พี่เจ็บปวดรวดร้าวเป็นของธรรมดา เพราะ
ผู้หญิงนั้นลงได้รักใครแล้วก็มั่นคงเหนียวแน่น ยากที่จะถ่าย
ถอน และความรักที่ไม่สมปรารถนานั้นเป็นความรวดร้าวอย่าง
ยิ่ง สำหรับผู้หญิง เนื่องจากผู้หญิงถือว่า ..ชีวิตเป็นส่วนหนึ่ง
ของความรัก ตรงกันข้ามกับผู้ชายมักเห็นความรักเป็นเพียง
บางส่วนของชีวิตเท่านั้น เมื่อเกิดความรักผู้หญิงจึงทุ่มเททั้ง
ชีวิตและจิตใจให้แก่ความรัก
แต่พระพุทธองค์ทรงสอนว่าคนเราไม่ควรปล่อยตนให้
ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความรัก เพราะการพลัดพรากจากสิ่ง
อันเป็นที่รักเป็นเรื่องทรมานและเป็นเรื่องที่จะบังคับมิให้
พลัดพราก ก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพรัดพรากจากสิ่งอัน
เป็นที่รักที่พอใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
และหลวงพ่อวัดปากน้ำก็สอนว่า...
อ้ายที่อยาก มันก็หลอก อ้ายที่หยอก มันก็ลวง
ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย เลิกอยาก ลาหยอก
รีบออกจากกาม เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป
เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่า นิพพาน ก็ได้
แม้สามีของพี่จะทำให้พี่ชอกช้ำ พี่ก็ต้องให้อภัยคนที่ตน
รัก ถ้าจะรัก ก็จงรักด้วยจิตที่บริสุทธิ์ จงอย่ารักเพราะตัณหา
พี่ว้าเหว่ คิดว่าไร้ที่พึ่ง ไม่รู้จะยึดหลักอะไรเป็นที่พึ่งของชีวิต
พี่จงรับ "ธรรม" เป็นที่พึ่งเถิด อย่าหวังอย่างอื่น
เป็นที่พึ่งเลย แม้จะประสบปัญหาหัวใจ หรือได้รับความทุกข์
ยากลำบากสักปานใด ก็ต้องไม่ทิ้งธรรม
พี่คะ... ธรรมดาไม้จันทร์นั้นแม้จะแห้ง ก็ไม่ทิ้งกลิ่น
หัสดินก้าวลงสู่สงคราม ก็ไม่ทิ้งลีลา
อ้อยแม้เข้าหีบยนต์แล้ว ก็ไม่ทิ้งรสหวาน
บัณฑิตแม้ประสบทุกข์ ก็ไม่ทิ้งธรรม
พระพุทธองค์ทรงย้ำว่า พึงสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาธรรม
พี่จงมีดวงตาเห็นธรรม เห็นโทษของความรักที่ประกอบ
ด้วยตัณหานี้กามคุณนั้นเป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีสุขน้อย
แต่มีทุกข์มาก มีโทษมาก มีความคับแค้นเป็นมูล มีทุกข์
เป็นผล จะบอกความจริงแก่พี่ว่า นับแต่นี้ต่อไป พี่จงปฏิบัติ
ธรรมสร้างบุญ สร้างกุศลที่สุด เพราะพี่จะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน"
แล้วข้าพเจ้าก็เอามือตบเข้าที่กระดูกสันหลังของพี่แดง
"พี่เป็นมะเร็งที่กระดูก และดวงมรณะมาซ้อนดวงธรรมเกิน
กว่า 50 % คิดว่าคงจะช่วยพี่ให้อายุยืนยาวต่อไปไม่ได้
แต่จะช่วยชี้ทางสวรรค์ - นิพพานให้พี่ แต่พี่ต้องเป็นผู้ปฏิบัติ
เอง มรรคผลนิพพาน เป็นของจริงใครทำใครได้ พี่เอาเวลาที่
เหลือสร้างคุณค่า เป็นประโยชน์ที่สุดแม้แก่ตัวเอง ครอบครัว
สังคม ประเทศชาติ และศาสนาและพี่จะรู้ว่า สุขที่แท้จริง ก็
คือ สุขในธรรมะของพระพุทธองค์...ฯลฯ"
ข้าพเจ้านั่งขัดสมาธิ เทศนาธรรมะว่าด้วยเรื่องพระรัตน
ตรัยเป็นที่พึ่งอันสูงสุด ลุ่มลึกจากต้นไปลำดับจนค่อนคืน
จึงถอนออกจากสมาธิ
พบว่าพี่แดงนั่งไหว้ข้าพเจ้าประหลกๆ !!!
"พี่เชื่อคุณแล้ว ๆ ธรรมะมีจริง เวลาที่คุณเทศน์ธรรมะ
แสงสว่างไปทั่วตัวคุณ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น"
"และพี่ต้องทำให้ได้นะ ธรรมะใด ๆ ก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ"
แต่นั้นมาพี่แดงได้ให้อภัยแก่สามี สามีจึงกลับมาอยู่บ้าน
และช่วยดูแลรักษา พี่แดงเป็นมะเร็งจริง ๆ มะเร็งเข้ากระดูกถึง
สามข้อ รับทุกข์ - เวทนาจากโรคภัยไข้เจ็บเป็นที่สุด แต่
เธอก็เบิกบานใจ มีสุขในธรรมะ ที่ข้าพเจ้าพยายามสอนให้
เธอเข้าใจและปฏิบัติ ทั้งทาน ศีล และภาวนา
จนกระทั่งวาระสุดท้ายที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
ข้าพเจ้าได้ นิมนต์พระ มาจากวัดปากน้ำ(ภาษีเจริญ) มารับ
สังฆทาน สวดมนต์และนำสมาธิจิต ทีละกาย ๆ จนเธอสิ้นใจ
ด้วยดวงหน้าที่ผ่องใสอย่างสงบ มีสุขคติเป็นที่ตั้ง
พระเจ้า ช่วยใคร ไม่ได้หรอก
ได้แต่บอก แนวทาง วางไว้ให้
เราต้องหมั่น ปฏิบัติ ขัดเข้าไป
จึงจะได้ พ้นทุกข์ สุขสมปอง
http://www.palungjit...ead.php?t=41415
#25
โพสต์เมื่อ 19 June 2006 - 08:48 AM
#26
โพสต์เมื่อ 19 June 2006 - 10:15 AM
#27
โพสต์เมื่อ 20 June 2006 - 01:03 PM
#28
โพสต์เมื่อ 20 June 2006 - 10:00 PM
พรหมจรรย์ชั้นต้น สำหรับผู้ครองเรือน ก็ให้พอใจเฉพาะคู่ครองของตนเท่านั้น รักษาศีล 5 ไม่นอกใจภรรยา-สามี
พรหมจรรย์ชั้นกลาง สำหรับผู้ครองเรือน คือนอกจากจะรักษาศีล 5 แล้ว ก็ให้รักษาศีล 8 เป็นคราว ๆ ไปและฝึกให้มีพรหมวิหาร 4
พรหมจรรย์ชั้นสูง สำหรับผู้ไม่ครองเรือน ถ้าเป็นฆราวาสก็รักษาศีลอย่างน้อย ศีล 8 ตลอดชีวิต ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศเลย หรือถ้าเป็นชายก็ออกบวชเป็นพระภิกษุ และปฏิบัติธรรมทุกข้อในศาสนาให้เต็มที่
#29
โพสต์เมื่อ 20 June 2006 - 10:12 PM
ขอเพิ่มเติมอีกสักนิดว่า กรณีนี้เป็นของฝ่ายหญิงครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#30
โพสต์เมื่อ 21 June 2006 - 10:16 AM