อธิษฐานอย่างไร เรื่องยากๆ เรื่องใหญ่ จึงจะสำเร็จ
#31
โพสต์เมื่อ 19 August 2010 - 10:48 AM
ตอนนี้ใจคุณตำรวจใจไม่นิ่งเลย ร้อนรนเหมือนคนกำลังจมน้ำ ทำบุญให้ตาย บุญก็หล่น อยากให้บุญส่งผลเร็วก็ต้องใจนิ่งๆ ใจใสๆ
ต่อให้บุญใหญ่แค่ไหน ครูบาอาจารย์ ศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน หากใจคุณไม่นิ่ง บุญก็หมดโอกาสให้ผล บุญไม่ได้ช่อง เมื่อไหร่ที่ใจไม่ใส-มีแต่บาปที่จะได้ช่อง
ย้ำอีกครั้ง ใจนิ่งๆ ใจใสๆ ไม่ใช่นิ่งเฉยดูดาย ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม
จำคำสอนครูบาอาจารย์ได้ไม๊คะ "หยุดเป็นตัวสำเร็จ" คำว่าหยุด คือ ใจหยุด ไม่ใช่กายหยุด กายเคลื่อนไหวแต่ใจหยุดนิ่ง
เรื่องที่เล่าให้ฟังเป็นเรื่องจริง มีคนทำมาแล้ว และสำเร็จ
สุดท้าย คุณเห็นความห่วงใย ของคนในบอร์ดนี้ไม๊คะ ว่าเป็นห่วงแค่ไหน แต่ละคนก็พยายามหาทางช่วยเต็มที่ เท่าที่ตนจะสามารถช่วยได้
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#32
โพสต์เมื่อ 19 August 2010 - 12:24 PM
ว่าบุญจะช่วย
ถึงเวลากลับได้เพียงความว่างเปล่า
เจอมาตลอด20ปีไม่เคยหวั่นไหว
แต่ตอนนี้มันทำใจวางเฉยอย่างเดียวไม่ได้แล้ว
ก็อยากหาวิธีที่ได้ผลจริงๆซะที
ถ้าการทำใจใสๆจะทำให้บุญได้ช่องส่งผลเร็วขึ้น
แต่ไม่รู้อีกนานแค่ไหน
ตอนนี้ครอบครัวกำลังลำบากมาก
ผมไม่ได้ขุ่น แต่ผมมาถามวิธีที่ได้ผลเร็วหน่อย
ถ้านั่งหลับตาทำใจนิ่งอย่างเดียว
แล้มสมบัติมาหาเอง
กับหลวงพ่อ กับคุณยายคงได้
แต่บารมีอย่างผมจะทำอย่างท่านได้ยังไง
ถ้านิ่งอย่างเดียวแล้วสมบัติมาหาเอง
ผมคงรวยไปนานแล้ว
นอกจากทำใจนิ่งๆแล้วต้องทำอะไรเพิ่มอีก
ตรงนี้ต่างหากที่อยากรู้
ต้องขอโทษด้วยครับที่รบกวนทุกท่าน
ผมแค่อยากอธิฐานให้สำเร็จบ้าง
ขอบคุณทุกคำแนะนำครับ
#33
โพสต์เมื่อ 19 August 2010 - 01:21 PM
นอกจากนิ่งแล้วคงต้องหยุดอยาก เพราะถ้าลึก ๆยังไม่วางแล้วจิตจะว่างได้อย่างไร
หากน้ำชาถ้วยเก่ายังมีอยู่เต็มหรือไม่เต็มถ้วยก็ดี แล้วจะให้น้ำดี ๆ ใส ๆ สะอาดใส่ลงไป
ในถ้วยนี้ ผลที่ได้ก็คงเป็นรสแค่น้ำล้างถ้วยเท่านั้นเอง ฉันใดก็ฉันนั้น
แต่ว่าไปอีกทียิ่งดึกยิ่งมืดก็ยิ่งใกล้สว่าง ทำภาชนะตัวเราให้สะอาดบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ
แล้วปล่อยให้มันเป็นไปอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ระวังคิดลบได้ลบ คิดบวกได้บวกมัน
อัตโนมัติดึงดูดกันโดยธรรมชาติ...............ขอให้โชคดีค่ะ
#34
โพสต์เมื่อ 19 August 2010 - 08:07 PM
..แม้ท่านอาจจะรู้สึกไม่ชอบผม แต่ผมจะไม่ทิ้งและเลิกสนใจท่านง่ายๆหรอกนะ กว่าจะมาเจอกันในชาตินี้มันยากและลำบากมากนะ จะทิ้งกันไปได้ไง มันมีวันฟ้าหม่นหมอง ก็ต้องมีวันฟ้าใสสิ จะต้องใช้เวลาถึง 30 ปี หรือมากกว่านั้นก็ตาม วิบากกรรมมันจะได้หมดๆไปในชาตินี้ ชาตินี้ก็สบายแล้ว แต่ละคนก็เจอหนักต่างกัน เราไม่ทิ้งกันนะ วันที่ทุกอย่างถูกปลดปล่อยมันก็ใกล้เข้ามาแล้ว เหมือนนับหนึ่งถึงพัน ถ้าไม่เลิกไปซะก่อน ยังไงก็นับถึงแน่
#35
โพสต์เมื่อ 20 August 2010 - 04:13 PM
ถ้าพอมีเวลา ลองอ่านคอลัมน์ที่ผมเคยเขียนไว้นี้นะครับ
โชคดีครับ
เรื่องที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นความเชื่อและความเห็นส่วนบุคคล จึงขอให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการอ่าน และช่วยชี้แนะแสดงความเห็นต่อบทความนี้ด้วยนะครับ
ณ เขาใหญ่ในช่วงปลายฝนต้นหนาวปี ๒๕๔๙ ผมมีโอกาสสนทนากับ อาจารย์ศิริพงษ์ อัครศรียุกต์ นักธุรกิจหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน โดยนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาปฏิบัติจนเห็นผลเป็นรูปธรรม (ช่วงนั้นผมยังอยู่ในช่วงของการแสวงหายังไม่ได้มาเจอหมู่คณะ)
อาจารย์ท่านนี้เป็นผู้ให้แนวคิดผมในเรื่องที่ว่า “ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว” อาจารย์เล่าว่า ในบรรดาคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า
๑ ให้ละเว้นจากความชั่วทั้งปวง
๒ ให้ทำความดีให้ถึงพร้อม
๓ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส
สองข้อแรกเป็นสิ่งที่เราต้องทำอยู่แล้ว แต่ข้อสุดท้ายคือการทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใสเป็นเรื่องที่ยากที่สุด ถ้าเรากำลังประสบกับความลำบากทุกข์ยากของชีวิต เราจะมีจิตที่บริสุทธิ์ผ่องใสได้อย่างไร จนในที่สุดอาจารย์เล่าว่า เมื่อผ่านการปฏิบัติธรรม ทั้งการทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ มาระดับหนึ่ง ทำให้อาจารย์เข้าใจอย่างชัดแจ้งเรื่อง “ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว” และ เข้าใจว่า คำว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” หมายถึงอะไร เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ การปล่อยวางและทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส จึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไปอีกต่อไป
อาจารย์เล่าว่า ชีวิตเราก็เหมือนซีดีภาพยนตร์หนึ่งแผ่น สำเร็จรูปมาแล้ว เรามีวันเกิด วันตาย สถานที่เกิด สถานที่ตาย วันที่เจ็บป่วย และเรื่องราวต่างๆ ที่ต้องพบเจอ ล้วนเป็นเรื่องราวที่เป็นผังสำเร็จมาแล้วในซีดีชีวิตแผ่นนี้ การดำเนินไปของชีวิตแต่ละวัน ก็เหมือนการดูละครชีวิตแต่ละฉาก ซึ่งทะยอยดูไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งละครเรื่องนี้จบลง ก็คือวันที่เราอำลาโลกใบนี้นั่นเอง
ถามว่าใครเป็นผู้กำหนดเอาไว้ ก็คือตัวเรานั่นเอง กรรมที่เรากระทำตั้งแต่อดีตชาติที่เราเวียนว่ายตายเกิดมานับชาติไม่ถ้วน ถ้านับจำนวนชาติที่เราเกิดตายแต่ละครั้งเท่าปลายเล็บ ๑ อัน ถ้านำปลายเล็บมาวางเรียงกันตอนนี้กำลังหุ้มโลกใบนี้ขึ้นเป็นรอบที่สอง เมื่อผลกรรมในอดีตและผลกรรมในปัจจุบัน มาประมวลรวมกันจึงทำให้เป็นเรื่องราวต่าง ๆ ของชีวิตที่ต้องพบเจอ
อาจารย์ยกตัวอย่างเรื่องทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ในเรื่องการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยพระพุทธเจ้าบำเพ็ญเพียรเป็นพระโพธิสัตว์มักจะได้รับพุทธพยากรณ์จาก พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ว่าในภายภาคหน้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอีกกี่กัปในภายภาคหน้า ซึ่งเมื่อถึงเวลาก็มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นตามพุทธพยากรณ์จริง แต่สิ่งที่พระพุทธองค์พยากรณ์ท่านพยากรณ์จากกำลังบุญ กำลังบารมี ไม่ใช่พยากรณ์จากดวงดาวบนท้องฟ้า วิถีของดวงดาวและโหราศาสตร์มีผลเฉพาะผู้ที่ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม แต่จะไม่มีผลต่อผู้มุ่งประพฤติธรรม จึงมักพบเสมอว่า บางคนถูกทำนายว่าจะเจอเรื่องร้ายๆ แต่เมื่อเร่งทำบุญเหตุการณ์ร้ายก็กลายเป็นดี อำนาจของบุญจึงอยู่เหนือวิชาโหราศาสตร์ทั่วไปจะพยากรณ์ได้
ทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามวิถีกรรมกำหนด และถ้าหากจะย้อนเวลาไปกลับไปอดีตอีกสัก ๑๐๐ ครั้ง เราก็ต้องเจอเหตุการณ์แบบที่ผ่านมาอีกเหมือนเดิมทั้ง ๑๐๐ ครั้ง เราจะไม่เศร้าโศกเสียใจกับความผิดพลาดในอดีต ถ้าหากได้ทำความเข้าใจในเรื่องทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว
ผมเคยถามอาจารย์ว่า ถ้าหากผมมีความตั้งใจที่จะประพฤติปฏิบัติธรรม ตั้งใจที่จะทำแต่สิ่งดี ๆ แต่หากวิถีกรรมกำหนดให้เจอเรื่องไม่ดีผมก็เลี่ยงไม่ได้หรือ อาจารย์บอกว่า ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติธรรม อยู่ในศีลในธรรม แสดงว่าชีวิตเราถูกกรรมกำหนดให้มาในเส้นทางที่ดี แม้จะเจออุปสรรคตามวิถีอกุศลกรรมส่งผลบ้างในบางครั้ง แต่อนาคตจะต้องดีแน่นอน
ครั้งหนึ่งที่ผมประสบกับวิกฤติของชีวิต ผมก็ได้อ่านหนังสือ “ความสำเร็จที่มาจากพระพุทธเจ้า” ของอาจารย์ศิริพงษ์ อัครศรียุกต์ ผมอ่านทบทวนย้อนไปย้อนมาในเรื่อง “ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว” ประกอบกับการติดตามหลวงพ่อในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ทำให้ผมรอดจากวิกฤติครั้งนั้นมาได้ผมจึงขอกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่อและอาจารย์ศิริพงษ์ อัครศรียุกต์ มา ณ ที่นี้
มีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่มาก แต่ผมบรรยายไม่หมด ผมต้องการถ่ายทอดพอเป็นข้อสังเกตและแนวคิดเท่านั้น ซึ่งจากประสบการณ์ส่วนตัวผมที่ผ่านมา ผมได้นำประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน ทำให้เรื่องที่น่าเครียดน่ากังวลทั้งหลายผ่านไปได้
ผมขอยกตัวอย่างแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่น ผมมีความกังวลว่า ผมจะได้เดินทางไปยังสถานที่บางแห่งหรือไม่ จะได้ไปโดยวิธีใด ผมก็ใช้คำว่า ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ถึงเวลาก็รู้เองว่าจะได้ไปหรือไม่อย่างไร หรือบางทีผมก็กังวลกับการจัดกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย ผมก็ได้ใช้แนวคิดนี้ว่า ถึงวันและเวลาที่จะจัดกิจกรรม ทุกอย่างก็จะดำเนินไปตามวิถีกรรมกำหนดของแต่ละชีวิตที่มาเจอกัน ทำให้กิจกรรมนั้นผ่านลุล่วงไปอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน
การคิดเช่นนี้ไม่ใช่ทำให้เราปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม แต่เราต้องตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทั้งงานทางโลกทางธรรม เมื่อเราได้พยายามทำอย่างดีที่สุดแล้ว ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามวิถีกรรมกำหนด
บ่อยครั้งที่เรามองไม่ออกว่า วันข้างหน้าเราจะเป็นอย่างไร เราจะเจออะไรบ้าง นอกจากจะอยู่กับปัจจุบันอย่างที่คุณโค้กบอก ถ้าเราเพียงแค่ลองนึกว่า “ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว” ก็จะทำให้เราคลายกังวลพร้อมที่จะเตรียมรับสถานการณ์ที่ถูกกำหนดไว้ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายอย่างไร
ในอีกแง่มุมหนึ่ง ถ้าเราคิดว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว เรื่องราวละครชีวิต เราก็ปล่อยให้มันแสดงไป แต่สิ่งที่แท้จริงที่ชาตินี้เกิดมาทั้งทีต้องทำให้ได้ก็คือ การเข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน นั่นคือชัยชนะที่แท้จริงของชีวิต
ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว จึงเป็นน้ำมนต์ชโลมใจในยามที่ชีวิตอ่อนล้า หรือเวลาที่ต้องการความหาญกล้าให้กับชีวิต
"ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว"
เฉกเช่นตอนนี้ที่ท่านกำลังถูกวิถีกรรมกำหนดให้มาอ่านบทความนี้อยู่ตอนนี้ เมื่ออ่านจบแล้วก็ช่วยทำกรรมปัจจุบันคือช่วยชี้แนะผู้เขียนด้วยว่าเห็นผิด พลาดประการใด จักขอบพระคุณยิ่งครับ
#36
โพสต์เมื่อ 20 August 2010 - 04:34 PM
แม้มันถูกกำหนดไว้แล้ว
แต่เราต้องแก้ไขได้
ผมอยากรู้วิธีแก้ไขนั้น
การปล่อยให้เป็นไปตามกรรม
คงไม่ใช่วิธีที่ถูก
เมื่อบุญเรามีพอ
แต่ส่งผลไม่ได้
ย่อมมีเหตุ
ผมอยากทราบสาเหตุและวิธีแก้ไขครับ
#37
โพสต์เมื่อ 20 August 2010 - 04:58 PM
อยากตอบคำถามที่ค้างคาใจของคุณตำรวจรักบุญ แต่พอจะตอบงานก็เข้าซะก่อน ไว้มีเวลาจะมาตอบแล้วกัน
อย่างไรก็ขอให้รักษาใจไว้ให้ดี มีอะไรอีกมากมายที่เราอาจมองข้ามไปเหมือนเส้นผมบังภูเขา หยิบออกไปเมื่อใดก็จะเห็นหนทางได้
บุญรักษา
#38
โพสต์เมื่อ 20 August 2010 - 05:32 PM
แต่ส่งผลไม่ได้
ย่อมมีเหตุ
ผมอยากทราบสาเหตุและวิธีแก้ไขครับ
เพื่อนกัลยาณมิตร ตอบไว้ในหลายความคิดเห็น ถึงสาเหตุและวิธีแก้ไข ที่มีหลายท่านใช้ได้ผลมาแล้ว
ส่วนว่า ถ้าทำตามแล้ว ยังไม่ได้ผลทันที ในตอนนี้
ก็มีหลายความเห็นบอกไว้แล้ว
ถ้ากรอบทัศนะคติเจ้าของกระทู้ยังแนวนี้
ที่คุณ ณ 072 บอกว่า เจ้าของกระทู้ต้องอดทน ความคิดเห็น #16
ผมว่า เพื่อนกัลยาณมิตร คงต้องใช้ ความอดทน ในการให้กำลังใจเจ้าของกระทู้แล้วล่ะครับ
#39
โพสต์เมื่อ 20 August 2010 - 09:18 PM
น้องเป็นกำลังใจให้ตลอดนะ
ช่วงนี้โทรศัพท์ใช้ไม่ค่อยได้อ่ะ.....
น้ำค้างกำลังจะสร้างพระประธานกับพระเพื่อน
พี่เปรมช่วยบอกบุญด้วยกันนะ.................*-*
......................................................
พรุ่งนี้ไปวัดปากน้ำ จะช่วยอธิษฐานให้อีกแรงนะคะ
แม้แรงบุญของน้องอาจไม่ยิ่งใหญ่.............*-*
แต่ด้วยรัก เคารพ ศรัทธา ต่อพี่คนนี้ที่ดูแลน้องอย่างดี
สม่ำเสมอ ไม่เคยทอดทิ้ง *-*ค่ะ
#40
โพสต์เมื่อ 21 August 2010 - 10:16 PM
เจริญพร (เรื่องที่จะตอบไว้นี้ค่อนข้างยาว แต่ขอให้อดทนติดตามอ่านจนจบ แล้วจะเข้าใจกลไกทั้งหมดของเรื่องนี้ ควร Coppy ไปอ่านในไฟล์เวิร์ดหรือโน้ตแพ็ดแล้วขยายตัวอักษรให้ใหญ่อ่านง่ายสบายตาจะดีกว่า ลดอาการปวดสายตาและปวดศีรษะ)
ตามหัวข้อที่ได้โพสต์มานั้น เพื่อนๆในกระทู้ได้มาตอบกันไปหมดแล้ว ทั้งจากประสบการณ์ส่วนตัว หรือที่พบเห็นมา รวมถึงหลักวิชชาที่ครูบาอาจารย์ได้สอนเอาไว้ด้วย ซึ่งถ้าโดยปกติแล้วเมื่อได้ปฏิบัติตามอย่างถูกวิธีก็จะเห็นผลตามนั้นภายในระยะเวลาตั้งแต่ เดี๋ยวนั้นเลยไปจนถึง...ปี ก็แล้วแต่กำลังบุญเก่าที่เคยสั่งสมมาในด้านนั้นๆเป็นหลัก
อย่างกรณีนี้เป็นเรื่องของทานบารมี กับ อธิษฐานบารมี บางคนบุญเก่าในด้านนี้มีมากก็จะส่งผลได้เร็ว เพราะเหมือนน้ำที่เกือบจะเต็มแก้วอยู่แล้ว พอเติมบุญด้านนี้อีกนิดเดียวก็เต็มแก้วส่งผลทันตาเห็น แต่ทว่าบางคนบุญเก่าในด้านนี้ยังน้อยยังพร่องอยู่ ก็เหมือนน้ำมีแค่ก้นแก้วหน่อยเดียว ก็ต้องสั่งสมบุญในชาตินี้หนักหน่วงหน่อย(หรืออาจต้องหลายชาติ) กว่าน้ำจะเต็มแก้ว แล้วบุญจึงจะส่งผลได้ดังใจปรารถนา
อีกประการหนึ่ง ลำดับการให้ผลของกรรมชั่วหรือกรรมดีนั้น ยังมีอีกหลายเหตุผลที่ไม่สามารถบอกได้ เพราะเรื่องกรรมและผลของกรรมนั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าเป็นเรื่องอจินไตย (คือ นึกคิดด้วยเหตุผลของปุถุชนไม่ได้)
ก็ใช่ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับคุณเพียงคนเดียว ยังมีอีกหลายคนในแวดวงพี่น้องนักสร้างบารมีของเราที่ต้องประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับคุณ และก็คาดหวังให้ทุกสิ่งทุกอย่างจะรวดเร็วทันใจและลงเอยแบบ Happy Ending
แต่ตราบใดที่ยังไปไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม คือยังไม่ชนะเขาแบบ 100% ทุกคนก็ยังต้องตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์นี้กันทั้งสิ้น ตั้งแต่เราซึ่งยังเป็นปุถุชนธรรมดา ไปจนถึงเหล่าพระโพธิสัตว์ พระอริยเจ้า กระทั่งพระอรหันต์ผู้ซึ่งหมดกิเลสแล้ว รวมถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่เว้น
หลวงพี่ขอแยกตอบทีละประเด็นพร้อมยกตัวอย่างให้เห็นก่อนแล้วกัน คาดว่าน่าจะทำให้เข้าใจความจริงอะไรบางอย่างที่มองข้ามไปได้บ้าง
*ประเด็นที่ 1 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ปัญหาในโลกนี้มี 2 แบบ 1.แก้ไขได้ 2.แก้ไขไม่ได้(หรือแก้ไขได้แต่ก็ต้องรอเวลา ซึ่งอาจต้องเวลากันทั้งชาติหรือหลายๆชาติจึงจะแก้ได้) ที่แก้ไขยังไม่ได้เป็นเพราะวิบากกรรมยังรุนแรงและแซงคิวกรรมอื่นๆอยู่
ตัวอย่างเช่น
-พระเจ้าอชาติศัตรูฆ่าพระบิดาซึ่งเป็นพระโสดาบัน ถึงจะรู้วิธีการแก้ไขและจะแก้ไขด้วยการทำบุญมหาศาลอย่างไร ก็ต้องไปที่อเวจีมหานรกก่อน กรรมเบาบางแล้วจึงจะสามารถรอคิวการส่งผลของกรรมดีอื่นๆต่อไป
-พระอรหันต์รูปหนึ่งต้องประสบกับความหิวโหยมาตั้งแต่เกิด จนกระทั่งได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อวิบากกรรมยังไม่หมดท่านก็ต้องรับกรรมจนกระทั่งถึงวันมรณภาพเลย เพราะท่านไม่เคยได้ทานอาหารได้อิ่มเลยสักวันตั้งแต่เกิดมา จนกระทั่งวันสุดท้ายที่จะเข้านิพพานถึงได้ฉันแบบอิ่มเป็นมื้อแรกของท่านแล้วก็มรณภาพเข้าพระนิพพานเลย เพราะในอดีตชาติเคยทำลายลาภสักการะของพระอรหันต์รูปหนึ่งด้วยความอิจฉาริษยา...(ติดตามอ่านเรื่องเต็มได้ในความเห็นถัดไปด้านล่างต่อจากความเห็นนี้ แล้วจะเข้าใจมากขึ้น เพราะจะพบว่า ขนาดว่าพระสารีบุตรที่บำเพ็ญบารมีมา 1 อสงไขยกับอีกแสนมหากัปป์ เมื่อจะยื่นมือเข้าไปช่วยพระรูปนี้ ยังพลอยได้รับผลกระทบจากวิบากกรรมของพระรูปนี้ไปด้วย... และจะทำให้เข้าใจยิ่งขึ้นว่า วิบากบาปศักดิ์สิทธิ์นั้น น่าสะพรึงกลัวเพียงใด จะได้ไม่ประมาทไปทำกรรมไม่ดีเข้า เพราะมันจะติดตัวผู้นั้นไปจนกว่าจะเข้าพระนิพพานเหมือนกับพระอรหันต์รูปนี้เป็นต้น)
-พระมหาโมคคัลลานะอัครสาวกเบื้องซ้ายผู้เป็นเลิศกว่าใครในด้านมีฤทธิ์ เมื่อถึงคราวกรรมตามมาส่งผลท่านพยายามแก้ไขอย่างไร หลีกเลี่ยงอย่างไร อธิษฐานจิตอย่างไร ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ ทำได้แต่ถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายท่านก็ต้องยอมรับผลกรรมที่เคยทำไว้แต่โดยดีอย่างมีสติและอุเบาขาธรรม ใจท่านไม่ตกและไม่โทษว่าทำไมผลบุญไม่ช่วย ต้องยอมให้โจรบุกเข้าทุบตีร่างกายท่านจนแหลกละเอียด (ก็บุญขนาดหมดกิเลสเข้าถึงกายธรรมอรหัตผลแล้ว ได้เป็นถึงอัครสาวกเบื้องซ้ายด้วย อธิษฐานแก้ไขวิบากกรรมชนิดนี้ทุกวันก็ยังแก้ไม่ได้เลย จนต้องยอมรับผลกรรมที่ในอดีตได้ทุบตีพ่อแม่ไว้นั่นเอง แล้วเราบุญบารมีก็แค่นี้และยังไม่ได้เข้าถึงกายธรรมอรหัตผลจะรอดจากวิบากกรรมบางชนิดที่กำลังส่งผลอยู่ไปได้อย่างไร)
-พระสารีบุตร ตั้งแต่ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ท่านก็อยากให้โยมแม่ของท่านเข้าวัดฟังธรรม เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา หมดกิเลสอย่างท่าน แต่วิบากของโยมแม่ในเรื่องนี้ยังไม่พร้อมจะทำให้สำเร็จได้ ท่านก็ต้องอดทนรอจนถึงวันที่ท่านจะมรณภาพเข้าพระนิพพานจึงตรวจดูด้วยญาณของท่านพบว่า ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่โยมแม่จะได้บรรลุเป็นพระโสดาบันจากการฟังธรรมจากท่านเป็นวันสุดท้าย แล้วท่านก็ไปโปรดโยมแม่ในสภาพที่ร่างกายอาพาธเจียนตาย (บารมีขนาดอัครสาวกเบื้องขวาก็ยังต้องรอเวลาเลยนะ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงช่วยใคร ท่านก็ต้องตรวจดูวาระของผลกรรมของผู้นั้นว่าถึงเวลาจะช่วยได้แล้วหรือไม่ ถ้ายังท่านก็ต้องรอเวลาต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาของมัน เหมือนกับที่เราบางท่านขอบารมีครูบาอาจารย์ให้ช่วยเรื่องต่างๆนั้น ท่านก็ต้องตรวจดูว่าถึงเวลาที่จะช่วยได้หรือยัง ถ้ากรรมยังแรงหรืออ่อนแต่ว่าถี่ยิบท่านก็ต้องรอเวลาเหมือนกัน จึงจะช่วยเราได้ และจะบอกว่าบุญไม่ช่วยก็ไม่ได้ เพราะบุญทำหน้าที่หาทางช่วยเราตลอดเวลา 24 น. แต่บาปก็หาทางกันไม่ให้บุญช่วยเราได้ตลอด 24 น.เหมือนกัน ดังนั้นแทนที่จะโทษว่าบุญไม่ช่วย หรือน้อยใจว่าทำไมบุญไม่ยอมส่งผลสักที ก็ให้ไปโทษเจ้าบาปนั่นแทน เพราะมันนั่นแหละตัวดี ตัวล้างผลาญความดี คอยเข้าสิ่งจิตบั่นบอนกำลังใจการทำความดีของเราทุกอนุวินาที ตัวทำให้ผลแห่งกรรมแสดงผลเป็นความอยุติธรรมตลอดเวลาจนคนไม่มั่นใจในการทำความดี ฯลฯ)
-ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ขนาดเป็นพระโสดาบันแล้ว ถึงคราววิบากกรรมตามทันมาตัดรอนทรัพย์สมบัติท่านได้ เหลือเพียงแต่ข้าวต้มผักดองถวายพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ ท่านก็รักษาใจไม่ให้ตกเลย อดทนทำดีเรื่อยไป สุดท้ายพอกรรมอ่อนกำลังลง บุญได้ช่อง ท่านก็กลับมาร่ำรวยเหมือนเดิม สร้างทานบารมีได้ต่อไปจนหมดอายุขัย จากโลกนี้ไปอย่างมีชัยชนะ
-พระเดชพระคุณหลวงพ่อของพวกเรา ท่านมีบุญบารมีมากกว่าเราเป็นไหนๆ ท่านก็ยังต้องอดทนรับผลกรรม ต้องอดทนต่อโรคเท้าบวม(ขนาดหมอพยากรณ์ว่าต้องตัดขาทิ้ง) โรคเบาหวาน และเรื่องไม่เป็นเรื่องที่อีกมากมายที่คนบางประเภทมุ่งร้ายต่อท่าน แต่ท่านก็อดทนทำดีเรื่อยไป ไม่ได้ใจตกโทษว่าผลบุญทำไมไม่ช่วย หรือทำไมส่งผลช้าไม่ได้ดั่งใจเลย แต่ทุกวันนี้ท่านกลับยิ่งสร้างบุญให้มากยิ่งขึ้น และยังคอยเป็นกำลังใจให้กับลูกๆนักสร้างบารมีให้มีความอดทนและเข้มแข็งต่อการทำความดียิ่งๆขึ้นไป แม้ว่ามันจะไม่ได้ดั่งใจก็ตาม (นี่ถ้าท่านเกิดคิดว่า ผลบุญไม่ช่วยให้ขาหายบวมสักที หรือเกิดคิดว่าเราทำดีเพื่อมวลสรรพสัตว์ขนาดนี้ ถึงเวลาเขาเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่สมปรารถนาอะไรขึ้นมา จะด้วยวิบากอะไรก็แล้วแต่แล้วนึกต่อว่าท่าน ท่านคงอยากเข้าป่าไปบำเพ็ญบารมีลำพังให้เข้มข้นเลยดีกว่า เอาลำพังตัวเองรอดดีกว่า เพราะการที่ท่านยังอยู่กับพวกเราท่านก็ต้องใช้บุญทุ่มบุญมหาศาลตามพวกเราที่ยังมาไม่ถึงหมู่คณะให้ได้มารู้จักเส้นทางสายกลาง มารู้จักและเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมกายในตัว และยังเอาบุญช่วยลูกๆทุกวันและตลอดเวลาเท่าที่ท่านจะสามารถทำได้ ถ้าหากท่านเกิดท้อใจขึ้นมาแล้วปลีกวิเวก พวกเราก็อดได้สร้างบุญใหญ่ๆตามท่านไป และคงต้องเผชิญกับวิบากกรรมอย่างหนักหน่วงอีกมากมายโดยปราศจากผู้มีบารมีมาคอยผ่อนหนักให้เป็นเบา)
-พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งเข้านิโรธสมาบัติตลอด 7 วัน พอลืมตาออกจากนิโรธเท่านั้น กรรมเก่าที่รอทำร้ายท่านก็ตามมาส่งผลทันที ทำให้ท่านต้องนิพพาน เพราะวิบากกรรมดลใจให้นายพรานเข้าใจผิดคิดว่าท่านเป็นเนื้อจึงยิงลูกศรเข้าใส่ถูกหัวใจของพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านต้องรับทุกขเวทนาทางกาย แต่จิตใจไม่ได้เป็นทุกข์ มีสติและถามนายพรานกลับด้วยจิตเมตตาว่า ท่านยิงลูกศรใส่เราทำไม นายพรานก็ตอบไปตามความจริง และขอขมาโทษท่าน ท่านก็รับโดยดุษฎี แล้วหลับตาถอดกายเข้าพระนิพพาน (ถ้าเป็นเราเพิ่งทำความดีมาหยกๆ หรือเพิ่งนั่งสมาธิมาดีๆ แล้วต้องมาเจอเหตุการร้ายๆ ถึงขั้นต้องเสียชีวิตอย่างพระปัจจเจกพุทธเจ้ารูปนี้ เราจะคิดอย่างไรกันบ้าง โทษว่าบุญไม่ช่วย หรือทำไมต้องเป็นเรา...วิบากกรรมจึงน่ากลัวถึงเพียงนี้)
-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราก็ยังต้องอดทนรับผลกรรมที่เคยทำไว้ในอดีตเช่นกัน อย่างมีพรรษาหนึ่งตลอด 3 เดือนเต็มที่ท่านกับพระสาวก 500 รูปต้องอดทนฉันข้าวเมล็ดแข็งที่เขานำไว้ให้สำหรับม้ากินมาประทังชีวิตเลย เหตุเพราะมารดลใจให้ชาวบ้านลืมมาถวายภัตตาหารท่าน (แม้พระพุทธองค์จะมีฤทธิ์มาก มีบุญบารมีมาก เป็นถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังต้องวางอุเบกขากับวิบากกรรมบางประเภทที่ตามมาส่งผล ในเรื่องนี้ก็เช่นกัน แม้ว่าพระโมคคัลลานะท่านได้เสนอว่าจะใช้ฤทธิ์พลิกเอาง้วนดินขึ้นมาถวายพระองค์และพระสาวกได้ขบฉัน แต่พระพุทธองค์ทรงเห็นแล้วว่า ถึงจะหลีกเลี่ยงวิบากกรรมในครั้งนี้ไปได้จริง แต่ยังไงมันก็จะตามมาในอีกไม่ช้าและจะทำให้ผู้อื่นพลอยได้รับผลกระทบตามท่านไปด้วยมากยิ่งกว่าในครั้งนี้ ท่านจึงยอมรับผลกรรมนั้นไป และเพื่อจะได้เป็นแบบอย่างให้กับอนุชนรุ่นหลัง ให้อดทนต่อผลแห่งวิบากกรรม ตั้งใจละชั่ว ทำดี ทำใจให้ใส ยิ่งๆขึ้นไป)
*ประเด็นที่ 2 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อวิชชาหรือความไม่รู้นั้นน่ากลัวมากที่สุดกว่าสิ่งใด เพราะมันจะทำให้ผู้ถูกครอบงำเป็นมิจฉาทิฏฐิได้ตลอดเวลา
ยกตัวอย่างเช่น
-ความไม่รู้ถึงขั้นตอนการทำงานของผลบุญและบาป ว่ามันส่งผลสลับซับซ้อนและเหนือจินตนาการกว่าที่เราจะคาดคิดด้นเดาได้เพียงใด ทั้งยังมีการแทรกแซงการให้ผลของวิบากกรรมที่เรารู้จักกันในนามว่า "วิบากมาร"อีก จึงหลายครั้งที่ทำให้อวิชชาได้ช่อง เข้าครอบงำความคิดของเราให้เป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคลได้ในพริบตาเดียว
ขออธิบายขั้นตอนการทำงานของวิบากกรรมทั้งฝ่ายบุญและบาปพอเป็นสังเขปดังต่อไปนี้
กิเลส เป็นตัวทำให้เราสร้างกรรม แล้วเซฟเป็นวิบาก(ผลของกรรม) และกลายเป็นผังสำเร็จติดอยู่ที่ศูนย์กลางของดวงธรรมที่ทำให้กลายเป็นมนุษย์
ในดวงธรรมที่ทำให้เป็นกลายมนุษย์นี้ วิบากกรรมเมื่อถูกเซฟเข้าไปติดอยู่ที่ศูนย์กลางก็จะมีลักษณะเป็นดวงกลม ที่เรียกว่า ดวงบุญหรือดวงบาป ถ้าเป็นดวงบาปก็จะมีสีดำ(สีดำนี้จะเข้มข้นตามดีกรีของบาปที่ทำไว้ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของบาปและเจตนาที่ทำลงไป) ถ้าเป็นดวงบุญก็จะมีสีขาวใส(สีขาวใสนี้จะเข้มข้นตามดีกรีของบุญที่ทำไว้ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของบุญและเจตนาที่ทำลงไป)
ในดวงบุญและดวงบาปจะถูกบันทึกเป็นภาพของการกระทำกรรมนั้นๆไว้ทั้งหมด ทุกอย่างถูกเซตและเซฟเอาไว้เป็นภาพเป็นเรื่องเป็นราวไปเลยทีเดียว กรรมที่ทำลงไป ไม่ว่าจะเป็นมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม ไม่ไม่ว่าดีหรือชั่ว จะถูกบันทึกเป็นภาพเหตุการณ์ทั้งสิ้น แล้วบุญกับบาปจะเข้ามาทำหน้าที่ปรุงแต่งกรรมนั้นๆต่อไปว่าจะให้ผลเป็นวิบากออกมาในลักษณะใด และจะส่งผลไปนานแค่ไหน
การบันทึกข้อมูลลงในดวงบุญและดวงบาปนั้น จะถูกบันทึกไว้เป็น 3 ชั้น ชั้นที่ 1 จะส่งผลในปัจจุบัน ชั้นที่ 2 ส่งผลในภพชาติต่อไปชาติที่ 2 ชั้นที่ 3 ส่งผลในชาติที่ 3 เรื่อยไปจนกว่าแรงกรรมจะหมดไปหรือจนกว่าจะถึงเข้านิพพาน
แต่การทำบาป 1 ครั้ง จะก่อเกิดเป็นดวงบาปมากมาย เพราะว่า 1 ขณะดวงจิต ก่อเกิดเป็น 1 ดวงบาป 1 วินาที จิตเกิดๆดับๆ ๆๆๆๆ เป็นแสนโกฏิขณะจิต = แสนโกฏิดวงบาป = ล้านล้านดวงบาป (เหมือนการกระพริบของไฟ 1 วินาที 50-2,000 ครั้ง) สัตวนรกจึกเกิด-ตายๆๆๆๆๆ นับไม่ถ้วน
และในกลาง 1 ดวงบาป จะมีภาพอยู่ 2 ส่วน ซึ่งอยู่ในทั้ง 3 ชั้นที่กล่าวมาข้างต้น คือ 1.เหตุในการประกอบกรรม และ2.ผลที่จะได้รับจากการประกอบกรรม
ใน 1 วันของการสร้างบารมี การปล่อยใจให้เป็นบุญหรือเป็นบาปนั้นมีความสำคัญมาก เพราะสิ่งที่บันทึกเข้าไปในตัวของเราละเอียดทุกขั้นตอน
เราลองคิดดูสิว่า ในการทำกรรมทั้งดีและชั่วของเราภายใน 1 วันนั้น จะก่อเกิดเป็นกี่ดวงบุญและกี่ดวงบาป และใน 1 ชาติจะเป็นเท่าไหร่ และถ้านับรวมทั้งอสงไขยชาติที่เราเกิดมาในสังสารวัฏ ก็นับกันไม่ไหวเลยทีเดียว มันก็จะกลายเป็นจำนวนเท่ากับ อสงไขย ยกกำลังเรื่อยไป (นับได้อสงไขยแล้วนับให้กลายเป็น1 แล้วนับไปอีก อสงไขย ทับทวีไปจนหาที่สุดไม่ได้)
และขณะที่บุญกำลังทำหน้าที่เข้าไปกลั่นแก้ผังบาปเก่าๆที่สะสมมาเนิ่นนานนับไม่ถ้วนนั้น กรรมใหม่ที่เราทำ ทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม ยังเพิ่มปริมาณดวงบุญหรือดวงบาปเข้ามาอีกมากมายนับไม่ถ้วนเช่นกัน แล้วเรามีบุญมากพอไหม และแรงพอไหม ที่จะไปลดทอนกำลังของบาปที่เคยก่อไว้
อีกทั้งการจะเข้าไปแก้ไขวิบากกรรมของฝ่ายบาปนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ ไม่ใช่วิสัยของคนธรรมดาสามัญ และไม่ใช่วิสัยของฝ่ายภาคโปรดที่จะทำได้(ที่ทำได้คือ สอนให้รู้แล้วอย่าไปทำ หรือรู้แล้วเร่งทำดีรีบหลบเข้านิพพาน หนีวัฏฏะไปเลย บาปนั้นตามไปเล่นงานไม่ได้อีกต่อไป)
การจะแก้ไขได้ ต้องออกไปนอกระบบใบไม้ในกำมือ เป็นใบไม้นอกกำมือ ออกนอกกรอบออกไปเป็นชั้นๆๆๆ จนถึงตัวผู้เขียนโปรแกรม แต่ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะใบไม้ในกำมือก่อนเท่านั้น ว่าเขาเซตกันมาเป็นโปรแกรมอย่างไร ก่อนจะไปเรียนถึงวิธีการแก้ไขโปรแกรม ที่พ้นออกไปจากวิชชามรรคผลอีกทีหนึ่ง ที่หลวงปู่ท่านเรียกว่า "วิชชารบ"
ส่วนหมู่สัตว์ทั้งหลายที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยมต่อไปอีกในสังสารวัฏ ก็คงไม่พ้นการตามราวีของบาปไปได้ แต่จะได้มากหรือได้น้อยก็มีข้อแม้อยู่ คือ ให้ละชั่ว ทำแต่ดี ทำใจให้บริสุทธิ์ แล้วบาปก็จะเล่นงานได้น้อยหน่อย
แต่พญามารย่อมไม่ยอมให้เราอยู่กันอย่างเป็นสุขสมหวังในที่ที่เขาครอบครองอยู่ได้ดั่งใจหรอก เพราะได้ส่ง มารทั้ง 5 ฝูง คือ กิเลสมาร ขันธมารเทวบุตรมาร มัจจุมาร และอภิสังขารมาร เข้ามาก่อกวนทั้งร่างกายและจิตใจของสรรพสัตว์ บีบคั้นให้ทำกรรมชั่ว เพื่อจะได้นำไปเซตและเซฟเป็นวิบากบาปศักดิ์สิทธิ์ติดตัวตามเล่นงานเราต่อไป ขัดขวางการทำความดีของเราต่อไป
อีกทั้งยังมีการแทรกแซงการทำงานของระบบการส่งผลของกรรมอีก ที่เรียกว่า วิบากมาร คือ พอกรรมชั่วอ่อนกำลังลงใกล้จะหมดไป วิบากมารก็เข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวขยาย เพิ่มปริมาณ ทับทวี ให้ดวงบาปที่ใกล้จะหมดไปกลับมีกลับเพิ่มกลับเป็นเข้ามาอีก เหมือนเชื้อโรคที่ดื้อยาไม่ยอมหมดไปง่ายๆ
อาหารของวิบากมารก็คือ มิจฉาทิฏฐิ(ความเห็นผิด)อันเกิดจากอวิชชา(ความไม่รู้)เข้ามาบดบังใจ แล้วทำให้ มีความคิด คำพูด และการกระทำ ที่เป็นบาปขึ้นมา แล้วเอาไปขยายเพิ่มเติมทับทวี กับวิบากบาปเดิมที่มีอยู่ให้มีกำลังมากขึ้น กลายเป็นวิบัติบาปศักดิ์สิทธิ์ที่มีอานุภาพมากขึ้น แก้ไขได้ยากยิ่งขึ้น ใช้เวลาแก้นานยิ่งขึ้น
ดังนั้น ให้ทำตามหลักวิชชาที่ครูบาอาจารย์ท่านได้สั่งสอนเอาไว้ว่า ให้หมั่นทำแต่ความดี ทำบุญและระลึกถึงบุญให้สม่ำเสมอ และรักษาใจให้ผ่องใส ซึ่งดูเผินๆก็เหมือนไม่มีอะไร แต่แท้ที่จริงนั้น เป็นการป้องกันไม่ให้วิบากมารเข้าแทรกแซงการทำงานของผลบุญของเราได้
เราทั้งหมดต้องอดทน อดทน แล้วก็อดทน เพราะการเดินทางในสังสารวัฏของเรายังอีกยาวไกลกว่าจะไปถึงที่สุดแห่งธรรม ขอให้เรารู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมวิธีการทำงานของวิบากมารเอาไว้ แล้วเราจะได้ไม่เสียทีเขา
ในภพมนุษย์ที่เรากำลังเสวยวิบากอยู่นี้ เป็นเพียงแค่เศษ(ผลเบา)ของวิบาก สำหรับส่วน(ผลหนัก)ของวิบากยังต้องชดใช้อยู่ในอบายภูมิทั้ง 4 ไม่มีสิทธิ์เกิดมาเป็นมนุษย์ได้หรอก แต่ขนาดแค่เศษๆยังทำให้เราทุกข์มากมายถึงเพียงนี้ ตั้งแต่ปุถุชนไปจนถึงพระอริยเจ้า ก็ประมาทกันไม่ได้หรอกนะ
โปรดทราบเถิด ว่าดวงบุญและครูบาอาจารย์ท่านกำลังกลั่นแก้ผังให้เราอยู่ไม่เว้นแม้แต่เพียงวันเดียว โดยเฉพาะวันอาทิตย์ที่ท่านมานำนั่งสมาธิให้พวกเรา กายหยาบก็พูดแนะนำการทำสมาธิไป ส่วนในละเอียดท่านก็เอาพวกเราทั้งหมดเข้ากลางไปกลั่นแก้ปรับปรุงและเติมบุญให้ แก้ 1 คนก็ไม่รู้กี่อสงไขยดวงบาปแล้ว พอแก้ให้เสร็จ เราดันใจหมองขุ่นมัวไปกับเรื่องราวต่างๆ วิบากมารก็เข้าแทรก ดวงบาปที่เพิ่งจะหมดกำลังไปก็กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ พอมาวัดทีก็ต้องมากลั่นแก้กันใหม่ เพียงหนึ่งคนยังต้องตามแก้กันขนาดนี้ ถ้าล้านคน หรือถ้าทั้งโลก ทั้งจักรวาล แสนโกฏิจักรวาล มีสรรพสัตว์นับไม่ถ้วน ต้องใช้บุญบารมีแก้ไขกันมากมายมหาศาลทีเดียว เพราะฉะนั้นขนาดว่าท่านเอาเราไปกลั่นแก้แล้ว วิบากยังตามมาเล่นงานเราได้ นั่นก็แสดงว่า วิบากของเรามันก็ไม่ใช่น้อยๆก็แล้วกัน
หยุดน้อยเนื้อต่ำใจ หงุดหงิดใจ อันจะกลายเป็นอาหารส่งให้กับวิบากมารได้แล้ว ให้สอนตนเองว่า แม้ว่าในชาตินี้ผลบุญยังไม่ได้ช่องส่งผลให้เราสมปรารถนาดังใจ แต่เราจะขอทำแต่ความดีไม่เลิกลา จะสร้างบุญบารมีเรื่อยไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ และจะขอจากโลกนี้ไปอย่างผู้มีชัยชนะ อย่างมีรอยยิ้มเป็นอนุสรณ์แห่งความดีทิ้งไว้บนโลกใบนี้ เพราะการกระทำเยี่ยงนี้ย่อมได้รับการสรรเสริญทั้งจากตนเองและวิญญูชน และไม่มีใครสามารถจะมาตำหนิเราได้เลยไม่ว่ากรณีใดๆ
สุดท้ายนี้ หลวงพี่ก็ขออธิษฐานและเป็นกำลังใจให้กับคุณเจ้าของกระทู้และคุณผู้อ่านทั้งหลายที่อาจกำลังเผชิญกับสถานการณ์คล้ายๆเช่นนี้อยู่ ให้มีขวัญกำลังใจฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ และไม่ละทิ้งการทำความดี สร้างบารมีไปจนกว่าจะละโลกใบนี้ไปอย่างผู้มีชัยชนะกันทุกท่านทุกคนเทอญ
หมายเหตุ ที่เล่าเรื่องมาทั้งหมดนี้ นำมาจากความทรงจำที่ได้ร่ำเรียนมาบ้าง ได้ยินได้ฟังมาจากครูบาอาจารย์และท่านผู้รู้บ้าง แล้วเล่าไปตามลำดับโดยใช้ภาษาจากความเข้าใจส่วนตัว โดยมุ่งเจตนาให้ทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่านเจอ ได้รู้และเข้าใจในเรื่องการทำงานและการส่งผลของบุญและบาปมากยิ่งขึ้น และเมื่อได้เข้าใจแล้ว จิตใจจะได้เข้มแข็ง มีกำลังใจต่อการทำความดี ไม่สั่นคลอนในการทำความดี เพียงเพราะภาพลวงตาของพญามาร โดยมิได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่นอย่างใดนอกไปจากนี้ หากมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปประการใด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ และถ้าคิดว่ามีประโยชน์ก็ขอให้แนะนำให้คนอื่นๆได้ทราบกันต่อไป...
เจริญพร
ป.ล. หลวงพี่จะช่วยอธิษฐานให้อีกแรง
เรื่อง พระโลสกติสสเถระ
ลสกชาดกที่ ๑ (จากพระไตรปิฎกและอรรถกถาภาษาไทย 91 เล่ม/ เล่มที่ 56 หน้า2-15)
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภ พระโลสกติสสเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า " โย อตฺถกามสฺส" ดังนี้.
ก็พระเถระผู้มีชื่อว่า โลสกะ นี้ คือใคร (มีประวัติเป็นมา
อย่างไร) ?
ท่านเป็นบุตรของชาวประมงคนหนึ่ง ในแคว้นโกศล เป็น
ผู้ทำลายตระกูลวงศ์ของตน ไม่มีลาภ มาบวชในหมู่ภิกษุ.
ได้ยินมาว่า ท่านจุติจากที่ที่ท่านเกิดแล้ว ถือปฏิสนธิใน
ท้องของหญิงชาวประมงนางหนึ่ง ณ หมู่บ้านชาวประมงตำบล
หนึ่ง ซึ่งอยู่ร่วมกันถึงพันครอบครัว ในแคว้นโกศล. ในวันที่
ท่านถือปฏิสนธิ ชาวประมงทั้งพันครอบครัวนั้น พากันถือข่าย
เที่ยวหาปลา ในลำน้ำและบ่อบึง ไม่ได้แม้แต่ปลาตัวเล็ก ๆ สัก
ตัวหนึ่ง. และนับแต่วันนั้นมา พวกชาวประมงเหล่านั้น ก็พากัน
เสื่อมโทรมทีเดียว. เมื่ออยู่ในท้องมารดานั้นเล่า บ้านชาวประมง
เหล่านั้น ก็ถูกไฟไหม้ถึง ๗ ครั้ง ถูกพระราชาปรับสินไหมเจ็ด
ครั้ง. โดยนัยนี้ ชาวประมงเหล่านั้น จึงถึงความลำบากโดยลำดับ.
พวกเขาคิดกันว่า เมื่อก่อนเรื่องทำนองนี้ไม่เคยมีแก่พวกเราเลย แต่บัดนี้พวกเราพากันย่ำแย่ ในระหว่างพวกเราต้องมีตัวกาลกรรณี
คนหนึ่ง พวกเราจงแบ่งเป็นสองพวกเถิด. ดังนี้แล้ว แยกกันอยู่
ฝ่ายละ ๕๐๐ ครอบครัว. แต่นั้นมารดาบิดาของเขาอยู่กลุ่มใด
กลุ่มนั้นก็แย่ กลุ่มนอกนี้เจริญ พวกที่แย่นั้น ก็แยกกลุ่มกันอีก
โดยแยกกันออกเป็น ๒ กลุ่มอีก แยกกันไปโดยทำนองนี้ กระทั่ง
ตระกูล (ของเขา) นั่นแหละ เหลือโดดเดี่ยว (เพียงตระกูลเดียว)
เขาทั้งหลายจึงรู้ว่า คนเหล่านั้นเป็นกาลกรรณี ก็รุมกันโบยตีไล่
ออกไป. ครั้งนั้นมารดาบิดาของเขา เลี้ยงชีพมาโดยแร้นแค้น
พอท้องแก่ก็คลอด ณ ที่แห่งหนึ่ง. ธรรมดาท่านผู้เป็นสัตว์ เกิดมา
ในภพสุดท้าย ใครไม่อาจทำลายได้ เพราะมีอุปนิสัยแห่งอรหัตผล
รุ่งเรืองอยู่ในหทัยของท่าน เหมือนดวงประทีปภายในหม้อฉะนั้น.
มารดาเลี้ยงเขามา จนถึงในเวลาที่เขาวิ่งเที่ยวไปมาได้ ก็เอากะโล่
ดินเผาใบหนึ่งใส่มือให้พลางเสือกไสด้วยคำว่า ลูกเอ๋ย เจ้าจงไป
สู่เรือนหลังนั้นเถิดดังนี้แล้วหลบหนีไป. จำเดิมแต่นั้นมา เขาก็อยู่
อย่างเดียวดาย เที่ยวหากินไปตามประสา หลับนอน ณ ที่แห่งหนึ่ง
ไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้ปรนนิบัติร่างกาย ดูเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น
เลี้ยงชีวิตมาได้โดยลำเค็ญ. เขามีอายุครบ ๗ ขวบ โดยลำดับ
เลือกเม็ดข้าวกินทีละเม็ด เหมือนกา ในที่สำหรับเทน้ำล้างหม้อ
ใกล้ประตูเรือนแห่งหนึ่ง.
ครั้งนั้น พระธรรมเสนาบดี เที่ยวบิณฑบาตอยู่ใน
เมืองสาวัตถี เห็นแล้วรำพึงว่า เด็กคนนี้น่าสงสารนัก เป็นชาวบ้าน ไหนหนอ แผ่เมตตาจิตไปในเขาเพิ่มยิ่งขึ้น จึงเรียกว่า มานี่เถิด
เด็กน้อย. เขามาไหว้พระเถระแล้วยืนอยู่ ลำดับนั้น พระเถระ
ถามเขาว่า เจ้าเป็นชาวบ้านไหน พ่อแม่ของเจ้าอยู่ที่ไหน ?
เขาตอบว่า ท่านขอรับ กระผมไร้ที่พึ่ง พ่อแม่ของกระผม
พูดว่า เพราะกระผมทำให้ท่านต้องลำบาก จึงทิ้งกระผมหนีไป.
พระเถระถามว่า เออก็เจ้าจักบวชไหมละ ?
เขาตอบว่า ท่านขอรับ กระผมอยากบวชนัก แต่คนกำพร้า
อย่างกระผมใครจักบวชให้.
พระเถระกล่าวว่า เราจักบวชให้.
เขากล่าวว่า สาธุ ท่านขอรับ โปรดอนุเคราะห์ให้กระผม
บวชเถิด. พระเถระจึงให้ของเคี้ยว ของบริโภคแก่เขาแล้วพาไป
วิหาร อาบน้ำให้เอง ให้บรรพชา จนอายุครบจึงให้อุปสมบท ใน
ตอนแก่ท่านมีชื่อว่า " โลสกติสสเถระ" เป็นพระไม่มีบุญ มี
ลาภน้อย. เล่ากันว่า แม้ในคราวอสทิสทาน ท่านก็ไม่เคยได้ฉัน
เต็มท้อง ได้ขบฉันเพียงพอจะสืบต่อชีวิตไปได้เท่านั้น เพราะเมื่อ
ใครใส่บาตรท่านเพียงข้าวต้มกระบวยเดียว บาตรก็ปรากฏเหมือน
เต็มเสมอขอบแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น คนทั้งหลายก็สำคัญว่า บาตร
ของภิกษุรูปนี้เต็มแล้ว เลยถวายองค์หลัง ๆ . บางอาจารย์กล่าว
ว่า ในเวลาถวายยาคูในบาตรของท่าน ข้าวยาคูในภาชนะของ
คนทั้งหลาย ก็หายไป ดังนี้ก็มี. แม้ในปัจจัยอื่นมีของควรเคี้ยว
เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. โดยสมัยต่อมาท่านเจริญวิปัสสนา แม้จะดำรงในพระอรหัตต์ อันเป็นผลชั้นยอด ก็ยังคงมีลาภน้อย
ครั้นเมื่ออายุสังขารของท่านล่วงโรยทรุดโทรมลงโดยลำดับ ก็
ถึงวันเป็นที่ปรินิพพาน.
ท่านพระธรรมเสนาบดี คำนึงอยู่ ก็รู้ถึงการปรินิพพาน
ของท่าน จึงดำริว่า วันนี้พระโลสกติสสเถระ นี้จักปรินิพพาน
ในวันนี้ เราควรให้อาหารแก่เธอจนพอ ดังนี้แล้ว พาท่านเข้าไป
สู่เมืองสาวัตถี เพื่อบิณฑบาต เพราะพาท่านไปด้วย พระเถระ
เลยไม่ได้แม้เพียงการยกมือไหว้ ในเมืองสาวัตถีอันมีผู้คนมากมาย.
พระเถระจึงกล่าวว่า อาวุโส เธอจงไปนั่งคอยอยู่ที่โรงฉันเถิด
ดังนี้แล้วส่งท่านกลับ. พอพระเถระมาจากที่นั้นเท่านั้น พวกมนุษย์
ก็พูดกันว่า พระผู้เป็นเจ้ามาแล้ว นิมนต์ให้นั่งเหนืออาสนะ ให้
ฉันภัตตาหาร. พระเถระก็ส่งอาหารที่ได้แล้วนั้นไป โดยกล่าวกับ
คนเหล่านั้นว่า พวกเธอจงให้ภัตรนี้แก่พระโลสกติสสเถระ คนที่
รับภัตรนั้นไป ก็ลืมพระโลสกติสสเถระ พากันกินเสียเรียบ. จน
เวลาที่พระเถระเดินไปถึงวิหาร พระโลสกติสสเถระ ก็ไปนมัสการ
พระเถระ พระเถระหันกลับมายืนถามว่า อาวุโส คุณได้อาหาร
แล้วหรือ ? ท่านตอบว่า ไม่ได้ดอกครับ. พระเถระถึงความสลดใจ
ดูเวลา กาลก็ยังไม่ล่วงเลย. พระเถระจึงกล่าวว่า ช่างเถิดผู้มี
อายุ คุณจงนั่งอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ครั้นให้พระโลสกติสสเถระ
นั่งรอในโรงฉันแล้ว ก็ไปสู่พระราชวังของพระเจ้าโกศล
พระราชารับสั่งให้รับบาตรของพระเถระ ทรงกำหนดว่า มิใช่กาล แห่งภัตร จึงรับสั่งให้ถวายของหวาน ๔ อย่าง จนเต็มบาตร.
พระเถระรับบาตรกลับไปถึง จึงเรียกพระโลสกติสสเถระว่า
มาเถิด ผู้มีอายุ ติสสะ ฉันของหวาน ๔ อย่างนี้เถิด แล้วถือบาตร
ยืนอยู่. ท่านพระโลสกติสสเถระยำเกรงพระเถระจะไม่ฉัน. ลำดับ
นั้น พระเถระกล่าวกะท่านว่า มาเถิดน่า ท่านผู้มีอายุติสสะ ผม
จะยืนถือบาตรไว้ คุณจงนั่งฉัน ถ้าผมปล่อยบาตรจากมือ บาตร
ต้องไม่มีอะไร. ลำดับนั้น ท่านพระโลสกติสสเถระ เมื่อ
พระธรรมเสนาบดีผู้เป็นอรรคสาวกยืนถือบาตรไว้ให้ จึงนั่งฉันของหวาน
๔ อย่าง. ของหวาน ๔ อย่างนั้น ไม่ถึงความหมดสิ้น ด้วยกำลัง
แห่งฤทธิ์ของพระเถระ พระโลสกติสสเถระ ฉันจนเต็มความ
ต้องการ ในเวลานั้น ในวันนั้นเอง ท่านก็ปรินิพพานด้วย
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับในสำนักของ
ท่าน ทรงรับสั่งให้กระทำการปลงสรีระ เก็บเอาธาตุทั้งหลาย
ก่อพระเจดีย์ บรรจุไว้.
ในเวลานั้น ภิกษุทั้งหลาย ประชุมกันในธรรมสภา นั่ง
สนทนากันว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริง ท่านพระโลสกติสสเถระ
มีบุญน้อย มีลาภน้อย อันผู้มีบุญน้อย มีลาภน้อย
เห็นปานดังนี้ บรรลุอริยธรรมได้อย่างไร. พระบรมศาสดาเสด็จ
ไปธรรมสภา มีพระดำรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้พวกเธอ
ประชุมกันด้วยเรื่องอะไรเล่า ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้
ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย โลสกติสสะผู้นี้ ได้ ประกอบกรรม คือความเป็นผู้มีลาภน้อย และความเป็นผู้ได้อริยธรรม
ของตน ด้วยตนเอง เนื่องด้วยครั้งก่อนเธอกระทำอันตราย
ลาภของผู้อื่น จึงเป็นผู้มีลาภน้อย แต่เป็นผู้บรรลุอริยธรรมได้
ด้วยผลที่บำเพ็ญวิปัสสนา คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังนี้แล้ว
ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า
กัสสปะ ภิกษุรูปหนึ่ง อาศัยกุฎุมพีผู้หนึ่งอยู่ในอาวาสประจำ
หมู่บ้าน เป็นผู้เรียบร้อย มีศีล หมั่นบำเพ็ญวิปัสสนา. ครั้งนั้น
มีพระขีณาสพองค์หนึ่งอยู่ในป่าหิมพานต์ ได้มาถึงบ้านที่อยู่ของ
กุฎุมพีผู้อุปัฏฐากภิกษุนั้นโดยลำดับ. กุฎุมพีเลื่อมใสในอิริยาบถ
ของพระเถระ จึงรับบาตร นิมนต์เข้าสู่เรือน ให้ฉันภัตตาหาร
โดยเคารพ สดับพระธรรมกถาเล็กน้อย แล้วไหว้พระเถระ กล่าว
ว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นิมนต์พระคุณเจ้าไปสู่วิหารใกล้
บ้านของกระผมก่อนเถิด ต่อเวลาเย็น พวกกระผมจึงจะไปเยี่ยม
พระเถระจึงไปสู่วิหาร นมัสการพระเถระเจ้าอาวาส ทักถาม
กันแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร. ท่านเจ้าอาวาสก็ทำปฏิสันถารกับท่าน
แล้วถามว่า ผู้มีอายุ คุณได้รับภัตตาหารแล้วหรือ ?
ท่านตอบว่า ได้แล้วครับ.
คุณได้ที่ไหนเล่า ?
ได้ที่เรือนกุฎุมพีใกล้ ๆ วิหารนี้แหละ. ครั้นบอกอย่างนี้
แล้วก็ถามถึงเสนาสนะของตน จัดแจงปัดกวาด เก็บบาตรจีวรไว้ เรียบร้อย พลางก็นั่งระงับยับยั้งอยู่ด้วยความสุขในฌาน ด้วย
ความสุขในผลสมาบัติ. พอเวลาเย็น กุฎุมพีก็ให้คนถือเอาพวง
ดอกไม้ และน้ำมันเติมประทีปไปวิหาร นมัสการพระเถระเจ้า
อาวาส แล้วถามว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ มีพระเถระอาคันตุกะ
มาพักรูปหนึ่งมิใช่หรือ ? ท่านตอบว่า จ้ะ มีมาพัก. คฤหบดี
ถามว่า เดี๋ยวนี้ท่านพักอยู่ที่ไหนขอรับ ? ตอบว่า ที่เสนาสนะโน้น.
กุฎุมพีไปสู่สำนักของท่าน นั่ง ณ ที่สมควร ฟังธรรมกถาจนถึง
ค่ำ จึงบูชาพระเจดีย์ และต้นโพธิ์ จุดประทีปสว่างไสว แล้ว
นิมนต์ภิกษุทั้งสองให้รับบาตรในวันรุ่งขึ้น แล้วกลับไป. ฝ่าย
พระเถระผู้เป็นเจ้าอาวาส คิดว่า กุฎุมพีนี้ ถูกพระอาคันตุกะ ยุ
ให้แตกกับเราเสียแล้ว ถ้าเธอจักอยู่ในวิหารนี้ไซร้ ที่ไหนกุฎุมพี
จะนับถือเรา เกิดความไม่พอใจในพระเถระ คิดว่า เราควรแสดง
อาการ ไม่ให้เธออยู่ในวิหารนี้ ดังนี้แล้ว ในเวลาที่ท่านมาปรนนิบัติ
ก็ไม่พูดด้วย. พระเถระผู้ขีณาสพ ทราบอัธยาศัยของภิกษุผู้เป็น
เจ้าอาวาสแล้วคำนึงว่า พระเถระนี้ไม่ได้ทราบถึงการที่เรา ไม่มี
ความห่วงใยในตระกูล ในลาภ หรือในหมู่ แล้วกลับไปที่อยู่ของ
ตน ยับยั้งอยู่ด้วยความสุขในฌาน และความสุขในผลสมาบัติ.
ถึงวันรุ่งขึ้น ท่านเจ้าอาวาสก็ตีระฆังด้วยหลังเล็บ เคาะประตู
ด้วยเล็บ แล้วไปสู่เรือนของกุฎุมพี. กุฎุมพีรับบาตร นิมนต์ให้
นั่งเหนืออาสนะที่ปูลาดไว้ แล้วถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
พระอาคันตุกะเถระไปไหนเสียเล่า ? ท่านเจ้าอาวาสตอบว่า ข้าพเจ้า ไม่ทราบความประพฤติของพระผู้ใกล้ชิดสนิทสนมของคุณ ฉัน
ตีระฆัง เคาะประตู ก็ไม่อาจปลุกให้ตื่นได้ เมื่อวานฉันโภชนะ
อันประณีตในเรือนของคุณแล้ว คงอิ่มอยู่จนวันนี้ บัดนี้ก็ยังนอน
หลับอยู่นั่นเอง เมื่อท่านจะเลื่อมใส ก็เลื่อมใสในภิกษุผู้มีสภาพ
เห็นปานนี้ทีเดียว. ฝ่ายพระเถระผู้ขีณาสพ กำหนดเวลาภิกษาจาร
ของตนแล้ว ก็ชำระสรีระของตนแล้ว ทรงบาตรจีวร เหาะไปใน
อากาศ (แต่) ได้ไปเสียในที่อื่น.
กุฎุมพีนิมนต์พระเถระเจ้าอาวาส ฉันข้าวปายาสที่ปรุง
ด้วยเนยใส น้ำผึ้ง น้ำตาลกรวดแล้ว รมบาตรด้วยของหอม ใส่
ข้าวปายาสจนเต็ม แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระเถระนั้น
เห็นจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า พระคุณเจ้าจงนำข้าวปายาสนี้ไป
ให้ท่านด้วยเถิด. แล้วถวายบาตรไป. พระเถระเจ้าอาวาสไม่ห้าม
เสียทันที คงรับบาตรมา เดินไปคิดไป ถ้าภิกษุนั้นได้ข้าวปายาส
นี้ไซร้ ถึงเราจะจับคอฉุดให้ไป ก็จักไม่ไป ก็ถ้าเราจักให้
ข้าวปายาสนี้แก่มนุษย์ กรรมของเราก็จักปรากฏ หากเททิ้งลงใน
น้ำเล่า เนยใสก็จักปรากฏเหนือน้ำได้ ถ้าทิ้งบนแผ่นดิน ฝูงกา
จักรุมกันกิน กรรมของเราก็จักปรากฏ ควรทิ้งข้าวปายาสนี้
ที่ไหนดีหนอ เห็นนากำลังไหม้อยู่แห่งหนึ่ง ก็คุ้ยถ่านขึ้น เท
ข้าวปายาสลงไป กลบด้วยก้อนถ่าน แล้วจึงไปวิหาร ครั้นไม่เห็น
ภิกษุรูปนั้น จึงคิดได้ว่า ชะรอยภิกษุนั้นจักเป็นพระขีณาสพ รู้
อัธยาศัยของเราแล้ว จักไปเสียที่อื่นเป็นแน่ โอ เพราะท้องเป็น เหตุเราทำกรรมไม่สมควรเลย. ทันใดนั้นความเสียใจอย่าง
ใหญ่หลวงก็เกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น. จำเดิมแต่วันนั้นไปทีเดียว ท่าน
ก็กลายเป็นมนุษย์เปรต อยู่มาไม่นาน ก็ตายไปเกิดในนรก.
ภิกษุนั้นหมกไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี เศษของผลกรรม
ยังนำให้ไปเกิดเป็นยักษ์ถึง ๕๐๐ ชาติ ไม่เคยได้กินอาหารเต็ม
ท้องสักวันเดียว. (จนถึงวันจะตายจึงได้กินอิ่ม) คือได้กินรกคน
เต็มท้องอยู่วันหนึ่ง. (ถัดจากเกิดเป็นยักษ์) ก็ไปเกิดเป็นหมา
๕๐๐ ชาติ แม้ในกาลที่เป็นหมานั้น ก็ได้กินรากเต็มท้องวันเดียว
เท่านั้น. ส่วนในกาลที่เหลือไม่เคยได้กินเต็มท้องเลย ตลอดเวลา
ที่เป็นหมา ๕๐๐ ชาติ จุติจากเกิดเป็นหมา ก็มาเกิดใน
ตระกูลคนเข็ญใจตระกูลหนึ่ง ในแคว้นกาสี. ตั้งแต่วันที่เขาเกิด ตระกูล
นั้นก็ยิ่งยากจนหนักลงไปทีเดียว. แม้แต่น้ำและปลายข้าวครึ่งท้อง
ก็ไม่เคยได้. เขาได้มีนามว่า มิตตพินทุกะ. พ่อแม่ของเขาไม่
สามารถจะทนทุกข์อันเกิดแต่ความอดอยากได้ ก็พูดว่า ไปเถิด
อ้ายลูกกาลกรรณี ไล่ตีเขาให้ออกไป. มิตตพินทุกะไม่มีที่พำนัก
ท่องเที่ยวไปจนถึงเมืองพาราณสี. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสวย
พระชาติเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ บอกศิลปะแก่มาณพ ๕๐๐.
ในเวลานั้น ชาวเมืองพาราณสีให้ทุนแก่คนเข็ญใจ ให้ศึกษาศิลปะ
แม้เด็กมิตตพินทุกะนี้ ก็ได้ศึกษาศิลปะในสำนักของพระโพธิสัตว์.
มิตตพินทุกะเป็นเด็กหยาบคาย ไม่เชื่อฟังโอวาท เที่ยวชกต่อย
เกะกะไป แม้พระโพธิสัตว์จะสั่งสอนก็ไม่เชื่อโอวาท. อาศัย เหตุนั้น ความเจริญเติบโตของเขาจึงเป็นความโง่เขลา. ครั้งนั้น
เขาเกิดทะเลาะกับพวกเด็ก ๆ ทั้งไม่เชื่อฟังคำสอน เลยหนีเที่ยว
ไปถึงบ้านชายแดนตำบลหนึ่ง รับจ้างเขาเลี้ยงชีวิต. เขาได้เสีย
กับหญิงเข็ญใจคนหนึ่งในหมู่บ้านนั้น. นางเกิดบุตรกับเขา ๒ คน.
พวกชาวบ้านได้มอบงานส่งข่าวให้ทำว่า เจ้าพึงบอกข่าวดี ข่าว
ร้ายแก่พวกเรา ให้ค่าจ้างและปลูกกระท่อมให้อยู่ที่ประตูบ้าน.
ก็เพราะอาศัยมิตตพินทุกะนั้นเป็นต้นเหตุให้พวกชาวบ้านชายแดน
นั้น ถูกราชทัณฑ์เจ็ดครั้ง ไฟไหม้บ้านเจ็ดครั้ง. บ่อน้ำพังเจ็ดครั้ง.
พวกเขาจึงปรึกษากันว่า แต่ก่อนเมื่อมิตตพินทุกะผู้นี้ยังไม่มา
พวกเราไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้เลย บัดนี้นับแต่มิตตพินทุกะมาอยู่
แล้ว พวกเราแย่ลงไปตาม ๆ กัน จึงช่วยกันรุมตี ขับเขาออกไป.
เขาก็พาลูก ๒ คน (และเมีย) ไปที่อื่น ผ่านเข้าไปสู่ดงที่อมนุษย์
ยึดครองแห่งหนึ่ง พวกอมนุษย์รุมกันจับลูกและเมียของเขาฆ่า
กินเนื้อเสียในดงนั้นเอง.
ตัวเขาเองหนีรอดไปได้ ท่องเที่ยวไปเรื่อย ๆ ลุถึงท่าเรือ
แห่งหนึ่ง ชื่อคัมภีระ ประจวบเป็นวันที่เขาจะปล่อยเรือทีเดียว
ก็สมัครเป็นกรรมกรลงเรือไป เรือแล่นไปในสมุทรได้ ๗ วัน
ถึงวันที่ ๗ หยุดอยู่กลางทะเล เหมือนใครมาฉุดดึงไว้. ชาวเรือ
เหล่านั้นก็จับสลากกาลกรรณีกัน สลากกาลกรรณีตกถึง
มิตตพินทุกะคนเดียวถึงเจ็ดครั้ง. พวกชาวเรือจึงโยนลูกบวบไม้ไผ่ ให้เขาแพหนึ่ง แล้วช่วยกันจับมือมิตตพินทุกะโยนลงทะเลเสีย
พอโยนมิตตพินทุกะลงทะเลแล้ว เรือก็แล่นต่อไปได้.
มิตตพินทุกะนอนเหนือแพไม้ไผ่ลอยไปในทะเล ด้วยผลที่
ได้รักษาศีลไว้ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า จึง
ได้พบเทพธิดา ๔ นาง อันอยู่ในวิมานแก้วผลึกหลังหนึ่งในทะเล
เสวยสุขสำราญอยู่ในสำนักเทพธิดาเหล่านั้นตลอด ๗ วัน. ก็นาง
เหล่านั้นเป็นเปรตมีวิมานอยู่ เสวยสุขได้ ๗ วัน เสวยทุกข์ ๗ วัน
หมุนเวียนไป เมื่อนางจะไปเสวยทุกข์ ๗ วัน ก็สั่งมิตตพินทุกะ
ไว้ว่า ท่านจงอยู่ที่นี่อย่าไปไหน จนกว่าพวกฉันจะมา แล้วก็พา
กันไป ครั้นนางพากันไปแล้ว มิตตพินทุกะ ก็ลงนอนในแพไม้ไผ่
ลอยต่อไปข้างหน้า ได้เทพธิดา ๘ นางในวิมานเงิน เทพธิดา
เหล่านั้น ก็เป็นเปรตมีวิมานเช่นเดียวกัน มิตตพินทุกะลอยต่อไป
ได้เทพธิดา ๑๖ นางในวิมานแก้วมณี แล้วก็ลอยต่อไป ได้เทพ
ธิดา ๓๒ นางในวิมานทอง เขามิได้ฟังคำของเทพธิดาเช่นเดียวกัน
จึงลอยต่อไปข้างหน้า ก็ได้พบเมืองยักษ์เมืองหนึ่งอยู่ในระหว่าง
เกาะ ในเมืองนั้น มียักษินีตนหนึ่ง แปลงกายเป็นแม่แพะเที่ยวอยู่
มิตตพินทุกะไม่ทราบว่า แม่แพะเป็นยักษินี คิดแต่ว่าเราจักกิน
เนื้อแพะ โดดจับมันที่เท้า นางยักษ์ก็ยกมิตตพินทุกะขึ้นสลัด
ไปด้วยอานุภาพของยักษ์ มิตตพินทุกะถูกนางยักษ์สลัดข้าม
ทะเลไป ตกที่พุ่มไม้หนามพุ่มหนึ่ง ข้างคูเมืองพาราณสี แล้วก็
กลิ้งตกลงไปที่แผ่นดิน ก็ในครั้งนั้นแม่แพะของพระราชาหลายตัว เที่ยวหากินอยู่เหนือคันคูนั้น ถูกพวกโจรลักไป พวกคนเลี้ยงคิด
กันว่า พวกเราต้องจับโจรให้ได้ พากันซุ่มอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง
มิตตพินทุกะกลิ้งตกลงมายืนอยู่ที่พื้นดินได้แล้ว เห็นแม่แพะ
เหล่านั้นก็คิดว่า เราจับแม่แพะตัวหนึ่งในเกาะแห่งหนึ่ง กลางทะเล
ถูกมันดีดกระเด็นมาตกที่นี่คราวนี้ ถ้าเราจับแม่แพะตัวหนึ่งที่เท้า
มันคงดีดเรากระเด็นกลับไปถึงสำนักเทพธิดาผู้มีวิมานอยู่ในทะเล
ดังก่อน เขาเข้าใจเอาเองอย่างนี้ โดยไม่ไตร่ตรองให้แยบคาย
ดังนี้แล้วก็โดดจับแม่แพะตัวหนึ่งที่เท้า พอมันถูกเขาจับเท้า
เท่านั้น ก็ร้องเอ็ดอึง พวกคนเลี้ยงแพะก็พากันกรูเข้ามาโดยรอบ
ต่างร้องว่า คอยมานานแล้ว ไอ้ขโมยกินแม่แพะในราชสกุลนี้
ไอ้นี่เอง ดังนี้แล้วรุมซ้อม แล้วจับมัดพาไปสู่พระราชวัง. ในขณะ
นั้น พระโพธิสัตว์ แวดล้อมไปด้วยมาณพ ๕๐๐ ออกจากเมือง
ไปอาบน้ำ เห็นมิตตพินทุกะก็จำได้ จึงพูดกะคนเหล่านั้นว่า
พ่อคุณทั้งหลาย คนผู้นี้เป็นลูกศิษย์ของเรา พวกท่านจับเขาเพราะ
เหตุไร ? คนเหล่านั้นตอบว่า พระคุณท่านขอรับ เขาเป็นคนร้าย
ขโมยแม่แพะของหลวง จับแม่แพะตัวหนึ่งที่เท้า เหตุนั้น พวกผม
จึงจับเขา พระโพธิสัตว์ขอร้องว่า ถ้าเช่นนั้นจงให้เขาเป็นทาส
ของพวกเราเถิด เขาจักได้อาศัยพวกเราเลี้ยงชีวิตไป. คนเหล่านั้น
รับคำว่า ดีแล้วขอรับ พระคุณท่าน พลางปล่อยเขา แล้วก็พากัน
ไป. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ จึงไต่ถามมิตตพินทุกะว่า ตลอด
เวลาที่หายหน้าไปนั้น เจ้าไปอยู่ที่ไหนเล่า ? มิตตพินทุกะก็เล่า เรื่องที่ตนกระทำทั้งหมดให้ฟัง พระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า คนที่ไม่
กระทำตามถ้อยคำของผู้ที่หวังดี ย่อมได้ทุกข์อย่างนี้ แล้วกล่าว
คาถานี้ ความว่า
" บุคคลผู้ใด เมื่อท่านผู้หวังดี เอ็นดูจะ
เกื้อกูล สั่งสอน มิได้กระทำตามที่ท่านสอน
บุคคลนั้นย่อมเศร้าโศก เหมือนมิตตพินทุกะ
จับขาแพะแล้วเศร้าโศกอยู่ฉะนั้น" ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถกามสฺส ความว่า ผู้
ปรารถนาอยู่ซึ่งความเจริญ.
บทว่า หิตานุกมฺปิโน ความว่า ผู้อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์
เกื้อกูล.
บทว่า โอวชฺชมาโน ความว่า ตักเตือนสั่งสอนอยู่ ด้วยจิต
อันอ่อนโยน.
บทว่า น กโรติ สาสนํ ความว่า ไม่กระทำตามคำสั่งสอน
คือเป็นคนว่ายาก ว่ากล่าวไม่ได้
บทว่า มิตฺตโก วิย โสจติ ความว่า ผู้นั้นย่อมเศร้าโศก
ตลอดกาลเป็นนิตย์ เหมือนมิตตพินทุกะผู้นี้ จับขาแพะแล้ว ย่อม
เศร้าโศก คือลำบากอยู่ฉะนั้น. พระโพธิสัตว์แสดงธรรมด้วย
คาถานี้ ซึ่งมีอรรถาธิบายดังพรรณนามานี้.
พระเถระนั้น เคยได้อาหารเต็มท้องในอัตภาพทั้ง ๓ อย่าง
นี้ คือ ครั้งเป็นยักษ์ได้กินรกอิ่มวันหนึ่ง ครั้งเป็นหมาได้กิน อาเจียนอิ่มวันหนึ่ง ครั้งสุดท้ายในวันปรินิพพาน ได้ฉันของหวาน
๔ อย่างอิ่ม ด้วยอานุภาพของพระธรรมเสนาบดี ขึ้นชื่อว่า การ
กระทำอันตรายแก่ลาภของผู้อื่น พึงทราบว่า มีโทษใหญ่หลวง
อย่างนี้.
ก็พระโพธิสัตว์ผู้เป็นอาจารย์ และมิตตพินทุกะในครั้งนั้น
ก็ไปตามกรรม.
พระบรมศาสดา ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระโลสกติสสเถระนั้น ได้กระทำความเป็นคนมีลาภน้อย และความเป็น
ผู้ได้อริยธรรมให้แก่ตนด้วยตนเอง อย่างนี้แล ครั้นทรงนำ
พระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า
มิตตพินทุกะในกาลนั้น ได้มาเป็นพระโลสกติสสเถระในกาลนี้
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ในกาลนั้น คือเราตถาคตฉะนี้แล.
#41
โพสต์เมื่อ 22 August 2010 - 02:26 AM
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#43
โพสต์เมื่อ 22 August 2010 - 07:16 PM
#44
โพสต์เมื่อ 22 August 2010 - 09:27 PM
แต่ที่ต้องการคำตอบคือ
ถ้าจะขายให้ได้ทันสร้างบารมีต้องทำยังไง
ก็ผมเคยอธิฐาน(เรื่องอื่น)ตามหลักวิชชาแล้ว
ก็ยังไม่เคยสมหวังอะไร
ถ้าท่านเคยทำได้ก็ลองอธิฐานให้หน่อยครับ
ทหารที่ขาดเสบียงมานานปี
กองทัพกำลังจะรบใหญ่
กำลังก็ไม่มี อาวุธก็ไม่มี จะเอาอะไรไปสู้เขา
สู้ไปก็ตายเปล่าเท่านั้น
#45
โพสต์เมื่อ 23 August 2010 - 11:54 PM
และเขาออกไปแสดงฝีมือในสถานการณ์นั้นพอดี เขาจึงกลายเป็นวีรบุรุษ
บางคนเป็นคนดีมีฝีมือ แต่สถานการณ์ไม่เป็นใจ เขาก็ไม่ได้เป็นวีรบุรุษ แต่กลายเป็นคนดีที่โลกไม่ต้องการ
๑. ปฏิรูปเทศวาสะ อยู่ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยให้เราได้แสดงฝีมือ
๒. อัตตสัมมาปณิธิ เราดำเนินชีวิตดีมีความรู้ความสามารถพร้อมที่จะเปล่งประกายเมื่อสถานการณ์เป็นใจ
๓. ปุพเพกตปุญญตา หมั่นทำบุญไว้สม่ำเสมอ พลังบุญก็จะจัดสรรให้สถานการณ์เป็นใจ
ดังคำกล่าวที่ว่า “ยามบุญมากาไก่กลายเป็นหงส์ ยามบุญลงหงสาเป็นกาไก่”
นี่คือการเริ่มต้นที่ดีเท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนความสำเร็จอีกครึ่งหนึ่งมาจากความพยายามทำตามคำอธิษฐานนั้น
ความสำเร็จเกิดจากความพยายามของมนุษย์ก็จริง แต่สถานการณ์ก็ต้องเป็นใจด้วย ดังคำกล่าวที่ว่า “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ”
บทความ : พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต)
http://www.buddhadha...mo=3&art=392687
#46 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 30 June 2011 - 02:46 PM
2 พี่ตำรวจถือศีลได้อย่างสะอาดหมดจดไหมคะ วันธรรมดา ศีล5 วันพระ ศีลอุโบสถ(ศีล8) ห้ามขาด
3 พี่ตำรวจได้นั่งสมาธิหรือนั่งฌาณ บ้างไหมคะ วันละ2ครั้ง ครั้งละ 2 ช.ม. แบบนิ่งๆ พยายามดับความเจ็บโดยไม่ขยับตัว
ลองทำให้ได้ตามนี้นะคะ แค่ 3 ข้อ แต่เป็น3ข้อที่ ร้อยคนจะทำได้สัก1คน ดิฉันลองทำดู ได้ผลว่าปัญหาต่างๆดีขึ้นมากเลยคะ พยายามเข้านะคะ
ป.ล. ข้อ1 ถ้าไม่มีเงินจิงๆก็ำทำธรรมทานก็ได้นะคะ(ชนะทานทั้งปวง) หรือ ซื้อข้าวของดีๆมาถวายให้พ่อ/แม่ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ของเราซึ่งเป็นลูกก็ได้นะคะ
#47 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 01 July 2011 - 03:47 PM
ชินบุตร คือ พระสงฆ์ ส่วนชิโนดม คือ ผู้ที่สูงสุด ..... แปลว่า พระสงฆ์ที่สูงสุด พอจะมีท่านใดอธิบายให้เข้าใจได้ไหมฮะว่ายังไง
ผมทิ้งคำถามไว้ 3 สัปดาห์แล้ว ทำไมไม่มีใครมาตอบล่ะครับ
หวังว่าคงไม่ไร้สาระนะครับ เพราะคำแปลบทสวดมนต์อื่นๆ ก็ยังแปลได้
#48
โพสต์เมื่อ 28 June 2016 - 12:06 PM
โดยเฉพาะ หลวงพี่ปิง (Ping) ที่ได้โปรดให้ความรู้ไว้มากมายจริงๆ ขอให้ผลบุญนี้สะท้อนกลับไปสู่ท่านนับประมาณมิได้เลยนะคะ สาธุเจ้าคะ