คิดเล่นๆ 1 อสงไขย์ ก่อนพระศรีอารย์ จะประสูติ
#31
โพสต์เมื่อ 29 August 2010 - 11:07 PM
ที่ผมและหลายท่านคำณวน
ระยะเวลาจากวันนี้ถึงยุคนั้น=200อสงไขยปี
ที่หลวงพ่อพูดว่าอสงไขยเศษหมายความว่าถึงเวลาอะไร
คำณวนนับอย่างไร จึงจะถูกต้องตรงกัน
หรือผมคำณวนผิดครับ ผิดอย่างไร รบกวนช่วยอธิบายทีครับ
#32
โพสต์เมื่อ 30 August 2010 - 08:02 AM
ไม่ใช้เด็ดขาดนะครับ
จักรพรรดิที่หลวงปู่จะอัญเชิญ เป็นจักรพรรดิ ที่อยู่วงบุญพิเศษเขตใน วิมานติดกับหลวงปู่ เท่าคุณยายนะครับ
อิอิ
ผิดพลาดประการใดขออภัยนะครับ
เราพันธุ์ดีสุดขั้ว ชั่วลืมไปหมดแล้ว,จิตใจสูงส่งเหลือเกิน,มีปัญญา,มีมงคล,ทำที่ท่านได้ที่เรา
#33
โพสต์เมื่อ 30 August 2010 - 11:00 AM
บุญบันเทิง
#34
โพสต์เมื่อ 30 August 2010 - 06:31 PM
#35
โพสต์เมื่อ 30 August 2010 - 08:06 PM
คิดแบบ 100 ปีอายุลดลง 1 ปี(ช่วงไขยลง) และคิดแบบ 100 ปีอายุเพิ่มขึ้น 1 ปี(ช่วงไขยขึ้น) ไม่ได้นะโยม
ต้องคำนวณกันใหม่แล้ว แต่ให้ศึกษาจากพระสูตรนี้ดูก่อนนะ แล้วถ้าใครมีเวลาก็ลองคำนวณใหม่ (ระวังปวดหัวนะโยม...)
เข้าไปดูได้ที่นี่ ที่่เพื่อนสมาชิกของเราเคยนำมาโพสต์ไว้นานแล้ว http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=3941
เจริญพร
#36
โพสต์เมื่อ 30 August 2010 - 09:21 PM
พระศรีอาริย์ ชาติที่จะตั้งใจทำทานก่อน 1 ชาติ สามารถไปเกิดตอนอายุมนุษย์กำลังเริ่มไขขึ้นก็ได้น่ะครับ ตั้งแต่อายุ หมื่นปี จนกระทั่งอสงไขยปี มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นครับ
#37
โพสต์เมื่อ 30 August 2010 - 09:28 PM
ถ้าเป็นตามพระสูตรก็จะใกล้เคียง1อสงไขยปี
ตามที่หลวงพ่อว่า
หรือใครคำณวนได้ชัดเจนกว่านี้มั้ยครับ
#38
โพสต์เมื่อ 30 August 2010 - 09:35 PM
#39
โพสต์เมื่อ 30 August 2010 - 10:10 PM
#40
โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 10:48 AM
#41
โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 11:44 AM
เรื่องนี้ เมื่อ 5 ปีก่อน ผมเคยได้ยินหลวงพ่อถามพระมหาในโรงงานอนุบาลฝันในฝันน่ะครับ โดยท่านถามว่า เรื่องราวของการขึ้นลงของอายุมนุษย์ในตำรามีอ้างอิงอยู่ 2 แห่งที่ไม่เหมือนกันใช่ไหม พระมหาบอกว่า ใช่ครับ
โดยตำรำแห่งที่หนึ่ง อ้างอิงแบบที่คุณตำรวจคำนวณมา คือ ทุกๆ ร้อยปี อายุมนุษย์จะขึ้นลง 1 ปี ในขณะที่ตำราอีกแห่ง
ก็บอกว่า ทุกๆ ร้อยปี อายุมนุษย์จะขึ้นลง 2 เท่า เช่น ปัจจุบันอายุ แสนปี พอผ่านไป 100 ปีอายุจะกลายเป็น 2 แสนปี
เป็นต้น
แล้วหลวงพ่อถามพระมหาต่อว่า แล้วแบบไหนถูกกันล่ะ พระมหาท่านก็นิ่งไปสักครู่
หลวงพ่อจึงสรุปว่า งั้นไปค้นตำราเพิ่มเติมมาให้ก็แล้วกัน แต่จากวันนั้น มาถึงวันนี้ ผ่านมา 5 ปีแล้ว (เท่าที่ผมทราบ
เนื่องจากหลังๆ งานยุ่ง เลยไม่ได้ฟังฝันในฝันทุกวันเหมือนเมื่อก่อน) ยังไม่ได้ยินข้อมูลเพิ่มเติมน่ะครับ
ถ้าเป็นไปตามเงื่อนไขที่สอง ระยะเวลาก็คงจะเหมือนกับที่หลวงพี่ท่านบอกกระมังครับ
#42
โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 01:02 PM
และในบางตำรา ใช้คำพูดไม่ชัดเจน ทำให้อ่านแล้วจะเข้าใจผิดได้ว่า พระศรีอริยเมตไตรย์จะลงมาตรัสรู้ในช่วง ไขยขึ้น
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#43
โพสต์เมื่อ 06 September 2010 - 09:17 PM
#44
โพสต์เมื่อ 06 September 2010 - 09:28 PM
ผมว่าถ้าอยากทำอย่างนั้น บวชเถอะ
#45
โพสต์เมื่อ 07 September 2010 - 07:02 PM
กราบนมัสการเจ้าค่ะ
ขออนุญาตหัวเราะเจ้าค่ะ
5555555
โยมขอกราบเรียนว่า เห็นด้วยเจ้าค่ะ....
กราบนมัสการลาเจ้าค่ะ
_/l\_
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#46
โพสต์เมื่อ 10 September 2010 - 12:14 PM
- มีสามีภรรยาอยู่คู่หนึ่ง เคยเกิดเป็นสามีภรรยากันมานานหลายกัปแล้ว ในชาตินั้นสามีภรรยาคู่นี้ได้สร้างบุญใน พระพุทธศาสนา เช่นทำทาน สร้างวัด สร้างพระเจดีย์ บูชากราบไหว้เจดีย์ มักนำเครื่องสักการะไปกราบไหว้พระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
- หลังจากนั้นด้วยบุญนี้จึงทำให้ไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสวรรค์เป็นเวลานาน โดย เริ่มจากสวรรค์ชั้น “ดาวดึงส์” เมื่อจุติจาก “ดาวดึงส์” ก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้น “ยามา” เมื่อจุติจากชั้น “ยามา” ก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้น “ดุสิต” เมื่อจุติจาก “ดุสิต” ก็ไปเกิดบนชั้น “นิมมานรดี” เมื่อจุติจาก “นิมมานรดี” ก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้น “ปรนิมมิตวสวัตตี”
- และเมื่อจุติจาก “ปรนิมมิตวสวัตตี” ก็ลงมาเกิดใน “นิมมานรดี” และลดหลั่นลงมาถึง “ดาวดึงส์” และลงมา “จาตุมหาราชิกา” แล้วก็วนกลับไปกลับมา 7 รอบ
- แล้วจึงลงมาเกิดเป็น “พระราชา” และ “พระราชินี” ในแคว้นใหญ่ โดยเป็น “เอกราช” อีกเป็น “พันครั้ง” แล้วก็มาเป็นพระเจ้าประเทศราชอีกจำนวนมากๆครั้ง
- จนเวลาผ่านไปแสนกัป ด้วยความประมาทในชาติที่เป็นพระราชาเรื่อยมา ได้ใช้แต่บุญเก่า จึงทำให้บุญลดถอยลง อ่อนลงจนกระทั่งปัจจุบันมาอยู่ในระดับเป็น “เชื้อพระวงศ์” ของประเทศหนึ่ง
- ในระหว่างที่เป็นพระราชา ชาติท้ายๆ ยังมี “กรรม” เกี่ยวกับการ “ช่วงชิง” ทางการเมือง คล้ายๆกับที่กำลังประสบอยู่ในปัจจุบันนี้ เพราะกำลังบุญอ่อนลง ไม่เหมือนตอนมีบุญมากที่เขา “เชิญ” ให้เป็น (บุญมาก “เชิญ” บุญอ่อน “ชิง”)
- ในอดีตชาติช่วงที่บุญอ่อนและต้องช่วงชิงนั้น ก็เคยได้ไปกดขี่ญาติพี่น้องและคุกคามถึงขั้นเนรเทศด้วย แต่กรรมยังไม่ส่งผลในชาตินี้ เพราะยังมีบุญที่พอทำอยู่บ้างในระหว่างเวียนว่ายตายเกิด มาค้ำจุนไว้จึงอยู่ในระดับ “ถูกกด” เอาไว้
- จริงๆแล้วจะต้องถูก “ปลงพระชนม์” หรืออย่างน้อยก็ถูกเนรเทศ แต่บุญยังคุ้มครองเอาไว้ ได้แค่ถูก “กด” และถูก “กัน” ไม่ถึงกับถูกทำร้ายถึงชีวิต
- ดังนั้นก็ไม่ควรจะน้อยใจ เพราะในชาติหลังๆตอนเป็นพระราชาประเทศราชก็ ฆ่า คุกคาม และกด กันเขาเอาไว้เยอะ จึงต้องมาเกิดในยุคที่ประเทศมีสงคราม “ช่วงชิง” อำนาจกัน
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป