อยากทราบเคล็ดลับการนั่งสมาธิให้เห็นดวงแก้ว
#1
โพสต์เมื่อ 02 September 2008 - 08:30 PM
ครับอยากรู้จริงพระอยากทราบว่าตายแล้วเป็นยังไงโดยเห็นด้วยตนเอง
ถ้าใครมีผลการปฏิบัติถึงขั้นนี้ช่วยบอกและแนะนำวิธีการด้วยนะครับ
หรือจะติดต่อส่วนตัวที่ [email protected] ชื่ออานนท์ครับ
ขออนุโมทนาบุญกับผู้ที่มีเมตตาช่วยเหลือนะครับ
สาธุ
#2
โพสต์เมื่อ 03 September 2008 - 01:09 AM
http://www.dmc.tv/pa...na_Sukserm.html
หรือถ้าดู DMC ก็ดูหลวงพ่อในรร.อนุบาลฝันในฝัน จะมีผู้ที่นั่งได้ดวงปฐมมรรค หรือได้พระธรรมกาย ส่งผลการปฏิบัติธรรมมาถวายหลวงพ่อ และหลวงพ่อจะอ่านเป็นธรรมทานออกอากาศ
และเทคนิคง่ายๆ ในการเข้าถึงดวงปฐมมรรค
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=1554
จะไปเที่ยวนรก สวรรค์ได้ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการทำทาน รักษาศีล และสมาธิ สมาธิก็ต้องนั่งให้ได้ดวงปฐมมรรคก่อน แล้วก็ต้องนั่งต่อให้ได้พระธรรมกาย เมื่อนั้นจึงจะเป็นขึ้นของการทำวิชชาธรรมกาย จะไปไหนก็ได้ นรก สวรรค์
ถ้าจะให้ลองอุปมาอุปมัยกับเรื่องทางโลก ก็คงได้แบบนี้
การทำวิชชาธรรมกายได้นั้นเปรียบเหมือนเรียนมหาลัยระดับปริญญาเอก
การนั่งแล้วได้พระธรรมกายนั้นคงเปรียบได้กับระดับปริญญาโท
การนั่งแล้วได้ดวงปฐมมรรคนั้นคงเปรียบได้กับระดับปริญญาตรี
การนั่งแล้วตกศูนย์อย่างต่อเนื่องนั้นคงเปรียบได้กับระดับมัธยม
การนั่งแล้วได้สามารถหยุดนิ่งได้นั้นคงเปรียบได้กับระดับประถม
การนั่งแล้วยังฟุ้ง ยังอยากโน่น อยากนี่ แต่ก็พยายามนั่งทุกวัน นั้นคงเปรียบได้กับระดับอนุบาล
การนั่งแล้วยังฟุ้ง ยังอยากโน่น อยากนี่ ยังคิดถึงหน้าฟง หน้าแฟน แถมยังนั่งได้วันละไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง นั่งมั่งไม่นั่งมั่ง นั้นคงเปรียบได้กับระดับเตรียมอนุบาล
ไม่ทราบว่าผู้ถามลองประเมินตัวเองดูแล้ว ตอนนี้อยู่ระดับไหน?
การจะก้าวไปศึกษาระดับปริญญาเอก ก็คงต้องเริ่มต้นเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ชั้นประถม ไปเรื่อยๆ
บางคนอาจจะเลื่อนชั้นเร็ว บางคนเลื่อนชั้นช้า ก็ขึ้นอยู่กับความขยันในการเรียน เอาใจใส่มากแค่ไหน(ในการพยายามทำใจหยุดนิ่ง)
ถ้าใจร้อนอยากได้เร็วๆ นะคะ
ก็มีข้อคิดนิดนึงค่ะ
เคยลองนับเวลาดูไม๊คะ ว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราใช้เวลาในการศึกษาทางโลกมากแค่ไหน
ระดับประถม เวลา 6 ปี
ระดับมัธยม เวลา 6 ปี
ระดับมหาลัย-ปริญญาตรี เวลา 4 ปี
ยังไม่นับที่บางคนเรียนระดับอนุบาลด้วย
รวมเวลาทั้งหมดที่เราใช้ไปในการศึกษาเล่าเรียนเรื่องทางโลก ที่เรียนแล้วก็ยังไม่สามารถนำมาแก้ปัญหาชีวิตได้(ไม่งั้นคงไม่มีข่าวนักศึกษา หรือคนจบปริญญาโท ฆ่าตัวตาย แถมบางคนเป็นอาจารย์ด้วยซ้ำ)
เราใช้เวลาไปทั้งหมดเท่าไหร่ 16 ปี
แต่ละวันเราต้องเรียนวันละกี่ชั่วโมง ต้องทำการบ้าน ต้องท่องหนังสือ เราใช้เวลาประมาณเอาคร่าวๆ 5-10 ชั่วโมง
เราใช้เวลาในการเรียนหนังสือทางโลกวันละ 5-10 ชั่วโมง จำนวน 5 วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 16 ปี
ทำไมเราถึงรอได้ เราอดทนเรียนไปเรื่อยๆ ที่ละขั้น สะสมไปเรื่อยๆ
ถ้าเราลองให้เวลากับการศึกษาทางธรรม เช่นการนั่งสมาธิ อย่างที่เราให้เวลากับการศึกษาทางโลก การทำวิชชาธรรมกายนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินฝันเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ทำไมเวลาที่เรามาศึกษาทางธรรม อย่างการนั่งสมาธิ เราจึงเร่งร้อนอยากจะนั่งให้ได้วันนี้ พรุ่งนี้ ปีนี้ไม่ได้ ขอปีหน้าได้ไหม
พอนั่งไปได้ซัก 5 ปี 10 ปี บางคนเห็นว่าตัวเองไม่พัฒนาไปถึงไหนเลยก็เริ่มท้อแท้เสียแล้ว
บางคนก้าวหน้านิดหน่อยก็ท้อเหมือนกัน
สำหรับคนที่นั่งแล้วก้าวหน้านิดหน่อยแล้วท้อ คงเป็นความรู้สึกของตัวเองที่เหมือนไม่ได้เลื่อนชั้น อย่างการเรียนหนังสือทางโลก ปีนี้ป.หนึ่ง ปีหน้า ป.สอง
ลองสมมุติตัวเองดูซิคะ ว่าตอนนี้เราได้เลื่อนชั้น
พอเราได้เลื่อนชั้นแล้ว เราต้องทำอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง
เรียนหนักขึ้นไหม? กับชั้นเรียนที่สูงๆ ขึ้น (นั่งมาก ขึ้นไม๊ หยุดนิ่งมากขึ้นไม๊)
คนที่นั่งมา 5 ปี 10 ปี แต่ไม่เคยก้าวหน้า เคยลองถามตัวเองบ้างไหม เราเคยทำการบ้านบ้างไม๊ ท่องหนังสือบ้างไม๊ ขาดเรียนหรือป่าว(นั่งทุกวันไม๊ ศีลครบบริบูรณ์ไม๊ ใจมีเมตตาต่อเพือนมนุษย์ไม๊คือใจใสไม๊)
สาธุ
ปล. กระทู้นี้ เขียนไปเขียนมาเลยได้แนวคิดใหม่ ที่จะฝากไปถึงผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน ที่กำลังเพียรพยายาม หรือที่กำลังท้อแท้ ลองเปลี่ยนความคิดใหม่ดูซิคะ ลองคิดและทำตัวเองให้มีความรับผิดชอบ มีวินัยต่อการเรียน รับรองว่าผลการเรียนต้องก้าวหน้าแน่ๆ สาธุ สาธุ ค่ะ
ปล.2 นี่เป็นข้อคิดเห็นจากข้าพเจ้า ซึ่งหวังว่าคงมีประโยชน์ต่อเพื่อนนักปฏิบัติธรรมที่ได้ผ่านเข้ามาอ่านไม่มากก็น้อย
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#3
โพสต์เมื่อ 03 September 2008 - 07:59 AM
#4
โพสต์เมื่อ 03 September 2008 - 08:09 AM
#5
โพสต์เมื่อ 03 September 2008 - 11:28 AM
อย่างไรก็ตาม คงต้องสั่งสมความดีไปเรื่อยๆ ผมเคยได้ยินผู้ที่ได้ธรรมะละเอียด (ซึ่งเป็นคนที่รู้จักกันดี)
ท่านบอกว่า ดวงบารมีท่านประมาณ เท่าผลส้มเท่านั้น ซึ่งต้องสั่งสมอีกยาวนานนัก ถึงเต็มเปี่ยม
โอ้โห เราฟังแล้วตกใจเลย เพราะดูแล้วว่า ท่านเก่งขนาดนี้ บารมียังขนาดนี้เอง แล้วเราละ บารมี
คงอยู่แค่ปลายไม้ขีด ซึ่งยังไม่มั่นคง มีโอกาสพลาดพลัง หลุดวงโคจรได้ตลอด ดังนั้น ผมว่า ก่อนที่
จะได้สิทธิไปดูนรก สวรรค์ ฯ คงต้องไต่ขึ้นไปให้จบชั้นปริญญาโทก่อน แล้วไปเรียน ปริญญาเอก
#6
โพสต์เมื่อ 03 September 2008 - 11:47 AM
#7
โพสต์เมื่อ 03 September 2008 - 05:27 PM
อุปมาได้แจ่มดีครับ
เฮ้อ ยังต้องประคองตัว รักษาสถานภาพให้เป็นนักเรียนอนุบาล
แต่ก็ลงไประดับเตรียมอนุบาล บ้างเหมือนกัน ฉะหนุกดี
#8
โพสต์เมื่อ 03 September 2008 - 08:09 PM
ให้ลืมให้หมดครับ หลับตานิ่งๆเฉยๆ แค่นั้นพอครับ
ส่วนเรื่องที่จะไปรู้ไปเห็นอะไรนั้น หลวงปู่บอกว่า "ไปทำหยุดทำนิ่งให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาพูดกัน"
#9
โพสต์เมื่อ 04 September 2008 - 09:48 AM
#10
โพสต์เมื่อ 04 September 2008 - 11:05 AM
ขั้นแรก ให้ใจทำงาน 2 อย่าง คือ บริกรรมนิมิต และบริกรรมภาวนาควบคู่กันไป แล้วเดินใจไปตามฐานทางเดินของใจทั้ง 7 ฐาน เราจะเข้าบ้านจะเข้าห้องนอนก็ต้องเข้าทางประตู เปรียบศูนย์กลางกายคือห้องนอน ประตูคือการเดินใจไปตามฐานต่างๆ ทั้ง 7 ฐาน แล้วเราก็เข้าสิบเข้าศูนย์ได้นั่นเอง วิธีนี้ทำให้เราเห็นดวงปฐมมรรคเร็วขึ้น แต่มีเคล็ดลับนะครับต้องคุยในรายละเอียดกันอีกที เมื่อใจทำงาน 2 อย่างและเดินใจไปตามฐานทางเดินของใจทั้ง 7 ฐาน เมื่อถึงฐานที่ 7 ให้เราบริกรรมภาวนาและบริกรรมนิมิตเช่นนั้นไม่สัดส่ายไปเรื่องอื่นใด เมื่อใจหยุดได้ถูกส่วนก็เห็นดวงปฐมมรรค นี่เป็นการฝึกปฏิบัติเองปฏิบัติเฉพาะตัว แต่จะให้ได้ผลเร็วขึ้น ท่านว่าฝึกกับวิปัสสนาจารย์ที่ชำนาญท่านจะช่วยให้เราเห็นธรรมได้เร็วขึ้นนะครับ
ขั้นสอง เมื่อเห็นดวงปฐมมรรคแล้วก็ฝึก 18 กาย เข้ากายในกายไปจนกระทั่ง เดินวิชชา 18 กายได้คล่องแคล่ว ทั้งอนุโลมและปฏิโลม อนุโลมคือเดินหน้าไปเป็นลำดับทั้ง 18 กาย ปฏิโลมคือเดินถอยจากกายธรรมมาถึงกายโลกีย์ตามลำดับทั้ง 18 กาย ปฏิบัติจนกระทั่งอนุโลมปฏิโลมกายในกายได้คล่องแคล่วเป็นวสีดีแล้ว เห็นกายในกายใสอยู่เนืองๆ ใจก็หยุด นิ่ง แน่น ได้ดีก็ให้ฝึกในขั้นต่อไป
ขั้นต่อไป ให้เราฝึกเข้านิพพานไปพบเห็นพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพาน ทั้งนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็น เพื่อให้พระองค์ช่วยแก้ไขธาตุธรรมให้เรา แล้วจึงฝึกวิชชาอื่นๆ เช่นการไปดูนรก-สวรรค์ เป็นต้นต่อไป
ที่กล่าวมานี้เพียงแค่ระดับประถมศึกษานะครับ การเห็นดวงปฐมมรรค เพียงแค่ระดับอนุบาล การเดินวิชชา 18 กายได้ เพียงแค่ระดับประถมศึกษา อย่าล่าช้าต่อการเรียนครับ วิชชาธรรมกาย เมื่อเห็นดวงปฐมมรรคได้จึงจะเริ่มสู่การเรียนภาคปฏิบัติอย่างแท้จริงเท่านั้น
การที่เราให้เวลากับตัวเองนั้น เราต้องฉลาดในการฝึกปฏิบัติ มิใช่ให้เวลาไปชั่วนาตาปีก็ไม่พัฒนาจากของเก่าเลย วิชชาธรรมกายนั้นจะเรียนให้ถูกหลักจริงๆ ท่านต้องเข้าถึงดวงปฐมมรรคให้เร็วที่สุด วิธีการนั้นมีหลากหลายกันไป แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบของหลวงปู่วัดปากน้ำนั่นเอง ผมขอกล่าวว่าวิชชาธรรมกายเรียนตลอดชีวิตก็ไม่มีทางเรียนจบคือเรียนไม่หมด เป็นการศึกษาตลอดชีวิตนะครับ ความรู้ที่ได้จากการเข้าถึงธรรมกายและเรียนรู้ไปตามหลักสูตรที่หลวงปู่ท่านวางเอาไว้นั้น เราจะเรียนอย่างไรก็ไม่มีวันจบสิ้นดอกครับ เพียงแต่เราต้องรีบเร่งขวนขวายเรียนรู้อย่าปล่อยเวลาให้เนิ่นช้าไปก็เท่านั้นเอง...
#11
โพสต์เมื่อ 04 September 2008 - 11:25 AM
เจ้าของกระทู้ ต้องฝึก หยุด ให้หยุด ได้ซะก่อน
รู้จักรสชาตอของ หยุด ใหได้ซะก่อน
เข้าทางสายกลาง ที่ฐาน ๗ ให้ได้ซะก่อน
เข้าถึงดวงปฐมรรค ให้ได้ซะก่อน
เรื่องอื่นค่อย ว่ากันครับ
#12
โพสต์เมื่อ 05 September 2008 - 09:06 PM
ทำให้สมองปลอดโปร่งคิดง่ายและเร๊วขึ้นคะ
#13 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 05 February 2011 - 12:33 PM