คุณพ่อสอนข้าพเจ้าตลอดเวลา “อย่าเบียดเบียนผู้อื่น” และพาลูกๆ เข้าวัด ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงคุ้นเคยกับคำว่า “ไปวัด” เหมือนหนึ่งข้าพเจ้ารู้จักคำว่า “ไปบ้าน” วัดที่ข้าพเจ้าคุ้นเคยเหมือนบ้านคือ วัดปากน้ำภาษีเจริญ ธนบุรี สมาชิกทุกคนในครอบครัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ(พระมงคลเทพมุนี) ทุกครั้งที่มีการทำบุญถวายภัตตาหาร เราทุกคนจะหยุดทำงานไปร่วมกันโมทนาบุญ วันนั้นข้าพเจ้าเป็นสุขใจที่สุด
วัดปากน้ำในสมัยนั้นเงียบสงบ ร่มรื่น สองฟากทางเดินเห็นแต่ต้นไม้ขึ้นเต็ม ส่วนมากก็จะเป็นขนุนและต้นมะพร้าว เวลาผ่านไปมามีความรู้สึกว่ากำลังเดินเล่นอยู่ในสวน หลังจากถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุแล้ว ถ้าพี่ๆหรือคุณพ่อคุณแม่เผลอ ข้าพเจ้ามักจะหนีออกมาวิ่งเล่นตามบริเวณดงมะพร้าว ซึ่งปลูกเป็นทางยาวโดยไม่สนใจกับผู้คนที่ไปนั่งห้อมล้อมหลวงพ่อ ฟังพระคุณเจ้าเทศนา ภาพที่ยังฝังใจอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าก็คือ วันที่ข้าพเจ้าได้รับแจกพระของขวัญจากมือหลวงพ่อ
ข้าพเจ้ายังจำได้แม้วันเวลาจะล่วงไปกว่าสิบปี วันนั้นเป็นวันพระ มีประชาชนไปฟังหลวงพ่อเทศนาในด้านการปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก พบจบเทศน์หลวงพ่อก็ให้ทุกคนนั่งหลับตาขัดสมาธิ ภาวนา “สัมมา อะระหัง” ในใจ แม้ขณะนั้นข้าพเจ้ายังเด็กอยู่อายุเพิ่ง 10ขวบก็เข้าไปนั่งกับเขาด้วย และเพราะความเป็นเด็กข้าพเจ้าจึงไปอยู่ท้ายแถวไม่ค่อยสนใจธรรมะเท่าใดนัก แต่เห็นเขานั่งก็นั่งไปอย่างนั้นเอง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าผู้คนในศาลาจำนวนเป็นร้อยเป็นพันที่นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่รอบๆตัวต่างอยู่ในความสงบสำรวม ความเงียบเข้าครอบคลุมราวกับว่าในสถานที่ปฏิบัติธรรมไม่มีผู้คนอยู่แม้แต่เพียงคนเดียว นานๆครั้งจึงจะมีเสียงขยับตัวเบาๆเปลี่ยนท่านั่ง สิบนาทีเห็นจะได้ที่ข้าพเจ้าทนนั่งหลับตา เจ้าตัวซุกซนที่ซ่อนอยู่ในวัยทารกก็เริ่มแผลงฤทธิ์ ทำให้อยากหนีออกไปวิ่งเล่นในดงมะพร้าวอย่างเคย ข้าพเจ้าค่อยๆลืมตากลัวคนอื่นรู้ แล้วเริ่มขยับตัวมองสำรวจไปทั่วๆจะหาทางถอยหนี
ข้าพเจ้าเห็นทุกคนนั่งหลับตาสงบนิ่งเหมือนรูปปั้น ทางด้านซ้ายเห็นผู้หญิงและอุบาสิกานั่งเต็มไปหมด ทางด้านขวาเป็นผู้ชายทั้งผู้สูงอายุและเด็กๆ ทางด้านหลังของหลวงพ่อมีพระภิกษุนั่งอยู่รอบๆ ท่านนั่งกายตรงไม่ขยับเขยื้อน ร่างกายได้สัดส่วนหลังไม่งองุ้มเหมือนภิกษุชราทั่วไป แม้ขณะนั้นท่านกำลังอาพาธ แต่ความสง่าของท่านก็ไม่ได้เสื่อมคลายไปเลย แทนที่จะคลานหนีออกไปวิ่งเล่นอย่างที่คิดไว้ ข้าพเจ้ากลับเปลี่ยนความตั้งใจ ค่อยๆคลานเข้าไปข้างหน้าใกล้ๆหลวงพ่อ ขณะที่ท่านกำลังหลับตาอยู่ข้าพเจ้ามองเอาๆไม่ยอมเบื่อ ข้าพเจ้าได้เห็นใบหน้าของท่านเป็นรูปไข่ หน้าผากกว้าง แสดงถึงความเป็นผู้ทรงปัญญาธรรมอันลึกซึ้ง ขณะนั้นท่านอายุ 70เศษ ริ้วรอยแห่งความชราภาพปรากฏอยู่ทั่วกาย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเมตตาปราณี ข้าพเจ้ายังจำได้ ใบหน้าของท่านมีกระขึ้นเต็มและไฝเม็ดใหญ่ที่แก้มซ้ายแขวาอย่างเด่นชัด
ก่อนเลิกจากการนั่งสมาธิ ทุกคนต่างก้มกราบหลวงพ่อพร้อมๆกัน ข้าพเจ้าก็เตรียมตัวคลานกลับที่เก่า จะเป็นเพราะบังเอิญหรืออะไรก็ไม่ทราบ หลวงพ่อหันมาเจอเข้าพอดี และท่านเรียกข้าพเจ้าเข้าไป และมอบพระของขวัญที่หลวงพ่อทำขึ้นให้หนึ่งองค์ ขณะที่คลานเข้าไปรับข้าพเจ้ารู้สึกกลัวๆกล้าๆ ที่กลัวเพราะหลวงพ่อจะตำหนิที่คลานเล่นไม่นั่งสมาธิ แต่ที่กล้าเพราะเห็นหลวงพ่อยิ้มให้ มีความรู้สึกอิ่มใจเคารพรักไปในตัวเสร็จ ข้าพเจ้าจ้องตาแป๋วดูนัยน์ตาท่าน ดวงตาสีเหล็กของท่านรวมทุกอย่างไว้ในตัวเสร็จ มีทั้งความรัก ความเมตตาปราณี ความเฉียบขาด และอะไรอีกหลายอย่างที่ข้าพเจ้าไม่สามารถจะบรรยายมาเป็นตัวอักษรได้ เมื่อรับพระของขวัญแล้วหลวงพ่อพูดยิ้มๆ “รักษาพระไว้ให้ดี ต่อไปเห็นธรรมะก็จะรู้จักค่าของพระของขวัญเอง”
จากนั้นไม่นานนักสิ่งที่ทุกคนไม่พึงปรารถนาก็มาถึง คุณพ่อกลับจากที่ทำงานในตอนเย็นและบอกกับทุกคนในบ้านว่า หลวงพ่อของเรามรณภาพแล้ว แม้ขณะนั้นข้าพเจ้าเพิ่งอายุได้สิบขวบ ไม่ประสีประสากับเรื่องตายเท่าใดนัก ยังรู้สึกว่าต่อไปข้างหน้าคงหาที่พึ่งอีกไม่ได้แล้ว
โปรดติดตาม...ตอนต่อไป