อยากรู้ว่ายุคที่มนุษย์อายุยืนเป็นอสงไขยมนุษย์จะตัวโตขนาดไหนแล้วมีมากน้อยแค่ไหนเยอะเหมือนคนในยุคปัจจุบันรรึเปล่าแล้วต้องทำบุญมายังไงถึงได้ไปเกิดในยุคนั้นแล้วในยุคนั้นพวกเราไปอยู่ไหนครับ
ยุคที่มนุษย์อายุยืนเป็นอสงไขย
เริ่มโดย kalyanamit, Jan 14 2008 10:04 PM
มี 8 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 14 January 2008 - 10:04 PM
#2
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 06:38 AM
สำหรับอายุของมนุษย์ที่พระโพธิสัตว์เลือกลงมาตรัสรู้นั้น จะต้อง
1. ไม่มากกว่า 1 แสนปีครับ เพราะถ้าอายุมนุษย์นานกว่านั้น มนุษย์จะสบายเกินไปและสอนยาก เช่น สอนละคนเราต้องแก่นะ ไม่จีรัง มนุษย์อาจจะเถียงว่า ผมอยู่มาแสนกว่าปีแล้วไม่เห็นแก่ตรงไหนเลย
2. ไม่น้อยกว่า 1 ร้อยปี เพราะถ้าอายุมนุษย์น้อยกว่า 100 ปี กิเลสมนุษย์นั้นจะกล้ามาก สอนอย่างไรก็ไม่ค่อยฟัง
แต่ถ้าอยู่ในช่วงระหว่าง 100 ถึง แสนปี ก็เลือกลงมาได้ตลอดครับ ที่นี่ถามว่า ท่านใดจะต้องมาตอนอายุมนุษย์อายุมาก ท่านมาตอนใดอายุน้อย ก็ต้องขึ้นกับว่า บารมีของท่านเต็มเปี่ยมในระดับอายุมนุษย์ขนาดไหน ท่านก็ลงมาในช่วงเวลานั้นแหละครับ ยกเว้นว่า ท่านใดสร้างบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว แต่ยังไม่อยากลงมา อยากสร้างบารมีต่อๆไปอีก ก็ต้องเป็นอนิยตโพธิสัตว์ครับ คือ ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์ ถ้าได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ก็เท่ากับเวลาได้ถูกกำหนดแน่นอนตายตัวไปแล้ว แปรผันเป็นอื่นไม่ได้ครับ
1. ไม่มากกว่า 1 แสนปีครับ เพราะถ้าอายุมนุษย์นานกว่านั้น มนุษย์จะสบายเกินไปและสอนยาก เช่น สอนละคนเราต้องแก่นะ ไม่จีรัง มนุษย์อาจจะเถียงว่า ผมอยู่มาแสนกว่าปีแล้วไม่เห็นแก่ตรงไหนเลย
2. ไม่น้อยกว่า 1 ร้อยปี เพราะถ้าอายุมนุษย์น้อยกว่า 100 ปี กิเลสมนุษย์นั้นจะกล้ามาก สอนอย่างไรก็ไม่ค่อยฟัง
แต่ถ้าอยู่ในช่วงระหว่าง 100 ถึง แสนปี ก็เลือกลงมาได้ตลอดครับ ที่นี่ถามว่า ท่านใดจะต้องมาตอนอายุมนุษย์อายุมาก ท่านมาตอนใดอายุน้อย ก็ต้องขึ้นกับว่า บารมีของท่านเต็มเปี่ยมในระดับอายุมนุษย์ขนาดไหน ท่านก็ลงมาในช่วงเวลานั้นแหละครับ ยกเว้นว่า ท่านใดสร้างบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว แต่ยังไม่อยากลงมา อยากสร้างบารมีต่อๆไปอีก ก็ต้องเป็นอนิยตโพธิสัตว์ครับ คือ ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์ ถ้าได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ก็เท่ากับเวลาได้ถูกกำหนดแน่นอนตายตัวไปแล้ว แปรผันเป็นอื่นไม่ได้ครับ
พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#3
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 12:34 PM
ต้องทำบุญอย่างไร ถึงจะได้มาเกิดในยุคนั้น อ๋อ ก็ทำทุกๆ บุญแล้วอธิษฐานขอไปเกิดในยุคนั้น น่ะแหละครับ แต่ขอแนะนำว่า ควรอธิษฐานให้ตั้งใจทำความดีตลอดไม่ว่าจะเกิดยุคไหนจะดีกว่า เพราะถึงแม้ไปเกิดในยุคที่ดี แต่ถ้าเกิดมาไม่ได้ตั้งใจทำความดี ภพชาติต่อไปก็ย่ำแย่ทันทีครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#4
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 02:01 PM
QUOTE
อยากรู้ว่ายุคที่มนุษย์อายุยืนเป็นอสงไขยมนุษย์จะตัวโตขนาดไหนแล้วมีมากน้อยแค่ไหนเยอะเหมือนคนในยุคปัจจุบันรึเปล่า
- เหนือจินตมยปัญญา แม้รู้ก็อาจไม่เกิดประโยชน์มากQUOTE
แล้วต้องทำบุญมายังไงถึงได้ไปเกิดในยุคนั้นแล้ว
- ดังที่คุณหัดฝันแนะนำQUOTE
ในยุคนั้นพวกเราไปอยู่ไหนครับ
- เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอยู่ โดยเฉพาะวงบุญพิเศษ- ยุคนั้นมนุษย์ยังมีศีล5 เหมือนทวีปอื่น แม้ไม่มีโรคภัย(เว้นแต่โรคหิว โรคง่วง) ภพต่อไปจะเป็นสุขคติภูมิก็ตาม แต่ถัดจากนั้นไม่แน่ เพราะความประมาทในความไม่มีโรคและประมาทในมรณภัยยังมีอยู่
- การมีอายุอสงไขยปีนั้น ย่อมไม่เกิดประโยชน์ หากเกิดมาแล้วไม่รู้เป้าหมายของชีวิต เพราะยุคนั้นไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม(แต่อาจมีพระเจ้าจักรพรรดิบังเกิด)
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC
#5
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 02:31 PM
หากจะอ้างอิงตามหลักพุทธศาสนาแล้ว คงต้องท้าวความกันตั้งแต่ เมื่อโลกถูกทำลายด้วยไฟบรรลัยกันต์ ไฟนี้แผดเผาไปถึงสวรรค์ชั้นพรหม ดังนั้นแม้นแต่เทวดาทั้งหลายก็โดนผลกระทบนี้ด้วย เหล่าเทวดาบางพวกจึงต้องประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อให้ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ที่สูงขึ้นไปกระทั่งถึงพรหมโลกจึงรอดพ้นจากการทำลายด้วยไฟบรรลัยกันต์นี้ได้ พอโลกเย็นตัวลงจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่าง้วนดินขึ้น มีกล่าวไว้ว่ามีกลิ่นหอมยิ่งกว่าดินเผาหลายเท่า กลิ่นนี้ขจรขจายไปถึงพรหมโลก เหล่าบรรดาพรหมที่เริ่มหมดอายุขัยได้กลิ่นง่วนดินจึงเกิดความอยาก จึงได้ลงมายังพื้นโลกและกินง้วนดิน จากการที่กินง้วนดินเข้าไป ทำให้พรหมที่หมดอายุขัยเกิดกายหยาบขึ้น และในที่สุดก็กลับไปยังพรหมโลกอีกไม่ได้ จึงได้กลายเป็นมนุษย์ยุคแรกนับแต่นั้นมา
ดังนั้น มนุษย์ในยุคแรกหลังจากโลกเย็นตัวลงนั้น กายจะใหญ่โตเท่าพรหม และจะมีอายุขัยเฉลี่ยเท่ากับพรหมโลกนั่นคือ1อสงไขย ไม่ใช่อสงไขยปีในพรหมโลกนะครับ แต่เป็นอสงไขยปีในเมืองมนุษย์ และมีจำนวนเท่ากับชาวพรหมที่สิ้นอายุขัยใรยุคนั้น นี่เป็นในยุคแรกนะครับ แต่ยุคหลังๆมานั้นผมจนด้วยเกล้าที่จะคิดครับ หุหุ แต่คิดว่าคงไม่แตกต่างจากยุคแรกๆสักเท่าไหร่นัก
อันนี้ผมลองใช้สติปัญญาอันน้อยนิดของผมคิดเล่นๆนะครับ ผมเคยได้ลองทดสอบดู โดยการปั้นก้อนดินสักก้อนขนาดเท่าลูกเทนนิสแล้วโยนลงไปในเตาถ่าน ที่มีไฟลุกอยู่ หลังจากไฟมอด ผมลองเอาก้อนดินนั้นขึ้นมาดูปรากฏว่าขนาดของก้อนดินโตขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย วัดดูแล้วมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพิ่มขึ้นประมาณ1-2มิล นี่ขนาดแค่เอาใส่ลงในเตาไฟระยะเวลาไม่ถึงชั่วโมงนะครับ หากลองมาคิดเทียบดูกับโลกที่โดนไฟบรรลัยกันต์เผาไหม้อยู่นานถึง64อันตรกัป ลองคิดดูแล้วกันนะครับว่าโลกจะใหญ่โตแค่ไหน
ดังนั้น มนุษย์ในยุคแรกหลังจากโลกเย็นตัวลงนั้น กายจะใหญ่โตเท่าพรหม และจะมีอายุขัยเฉลี่ยเท่ากับพรหมโลกนั่นคือ1อสงไขย ไม่ใช่อสงไขยปีในพรหมโลกนะครับ แต่เป็นอสงไขยปีในเมืองมนุษย์ และมีจำนวนเท่ากับชาวพรหมที่สิ้นอายุขัยใรยุคนั้น นี่เป็นในยุคแรกนะครับ แต่ยุคหลังๆมานั้นผมจนด้วยเกล้าที่จะคิดครับ หุหุ แต่คิดว่าคงไม่แตกต่างจากยุคแรกๆสักเท่าไหร่นัก
อันนี้ผมลองใช้สติปัญญาอันน้อยนิดของผมคิดเล่นๆนะครับ ผมเคยได้ลองทดสอบดู โดยการปั้นก้อนดินสักก้อนขนาดเท่าลูกเทนนิสแล้วโยนลงไปในเตาถ่าน ที่มีไฟลุกอยู่ หลังจากไฟมอด ผมลองเอาก้อนดินนั้นขึ้นมาดูปรากฏว่าขนาดของก้อนดินโตขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย วัดดูแล้วมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพิ่มขึ้นประมาณ1-2มิล นี่ขนาดแค่เอาใส่ลงในเตาไฟระยะเวลาไม่ถึงชั่วโมงนะครับ หากลองมาคิดเทียบดูกับโลกที่โดนไฟบรรลัยกันต์เผาไหม้อยู่นานถึง64อันตรกัป ลองคิดดูแล้วกันนะครับว่าโลกจะใหญ่โตแค่ไหน
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#6
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 04:24 PM
เห็นด้วยคร้าบบบบบบบบ
#7
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 05:04 PM
เเต่ผมเคยถามเทวดาที่เคยอยู่บนดาวดึงส์เเต่ช่วงหลังรับหน้าทีต่อที่ชั้นจาตุที่เกิดเมื่อพุทธันดรก่อนเเละยังไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ว่า ไม่ว่ายุคไหนก็ร้อยกว่าปีนี้เเหละ ถ้าเทวดาบนสวรรค์อายุนานมากเเน่ๆเเต่ยังไงก็ตามอายุข้างบนเเป๊บเดียวเเต่อายุบนมนุษย์ผ่านไปนานที่เดียว ผมถามผ่านคนที่สื่อกับกายละเอียดได้
จะเชื่อหรือไม่ก็ไม่ว่าคร๊าบ
จะเชื่อหรือไม่ก็ไม่ว่าคร๊าบ
#8
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 05:36 PM
อยากอยู่ในยุคนั้น เพื่อ ? นิพพานได้ง่ายกว่า รึป่าว คะ หรือว่า อายุยืนเกินไปจนเกิดความประมาทในการใช้ชีวิต
#9
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 09:54 PM
เกิดใน พุทธกาล ดีกว่ามั้งครับ