ขอถามเกี่ยวกับอาบัติของสงฆ์
#1
โพสต์เมื่อ 26 April 2008 - 05:02 PM
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ทรงกำหนดอาบัติที่ว่า ห้ามภิกษุน้ำกามไหลยกเว้นแต่อุบัติเหตุ
ห้ามถูกเนื้อต้องตัวผู้หญิง และ ห้ามอยู่ในที่ลับตา 2ต่อ2 กับมาตุคามด้วยครับ
๑.กุศลธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีขาวใส กายในกายขาวใสทั้งหมด เรียกว่าภาคพระ ภาคขาว ภาคบุญ
๒.อกุศลาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีดำ กายในกายดำทั้งหมด เรียกว่า ภาคมาร ภาคดำ ภาคบาป
๓.อัพยากตาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอัพยากตา เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีตะกั่วตัด กายในกายสีตะกั่วตัดทั้งหมด เรียกว่า ภาคกลาง ภาคไม่บูญไม่บาป
ทั้ง ๓ ธาตุธรรมนี้ ย่อมมีต้นธาตุ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมตลอดสาย
ต้นธาตุถือเป็นผู้บัญชาการในธาตุธรรมนั้นๆ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมในนิพพาน
#2
โพสต์เมื่อ 03 May 2008 - 05:07 PM
๑. ภิกษุใดประกอบซึ่งเมถุนกรรมแม้ในเดรัจฉานเพศเมีย ต้องอาบัติปาราชิก
๒. ภิกษุใดทำการประหัตประหารมนุษย์ แม้จักทำด้วยตนเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำให้ หรือใช้ความพยายามในการพรรณนาซึ่งคุณของความตายให้แก่ผู้อื่น และมนุษย์ผู้นั้นได้กระทำซึ่งการปลงชีวิตของตนให้ตกล่วง ต้องอาบัติปาราชิก
๓. ภิกษุใดทำการลักขโมยสิ่งของที่มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไปด้วยความเจตนาจงใจ ต้องอาบัติปาราชิก
๔. ภิกษุใดอวดอุตริมนุษย์ธรรม (หมายถึง การอวดอ้างซึ่งคุณวิเศษที่ไม่มีในตนเอง) ต้องอาบัติปาราชิก
และเตรสสังฆาทิเสสาสิกขาบท ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด ๑๓ สิกขาบท แต่สำหรับภิกษุผู้บวชใหม่ท่านจะเน้น ๕ สิกขาบทแรก อันได้แก่
๑. ภิกษุมีจิตกำหนัด แกล้งทำให้นำอสุจิเคลื่อนด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่นอนหลับฝันไป ต้องสังฆาทิเสส
๒. ภิกษุลูบคลำกายของสตรีเพศด้วยจิตกำหนัด ต้องสังฆาทิเสส
๓. ภิกษุกล่าวโอมสวาท พูดจาเกี้ยวหยาบต่อสตรีเพศ ต้องสังฆาทิเสส
๔. ภิกษุพรรณาคุณของกามต่อสตรี ด้วยหมายให้สตรีนั้น บำเรอกามแก่ตน ต้องสังฆาทิเสส
๕. ภิกษุประกอบความเพียรอันชักนำ (เป็นพ่อสื่อ) ให้บุรุษและสตรีเป็นสามีภรรยากัน ต้องสังฆาทิเสส
ซึ่งพระวินัยทั้ง ๙ ประการนี้มีความจำเป็นต่อภิกษุบวชใหม่อย่างมากทีเดียว ก็ขอให้ผู้ที่มีความประสงค์จะบรรพชาอุปสมบทในบวรพระพุทธศาสนา พึงจดจำและบากบั่นในการบวชให้มั่น คือ ขอให้ตั้งใจบวชเป็นจริงๆ เพราะการเป็นสมณะ หากประพฤติตนดี ก็มีคุณมาก หากประพฤติชั่ว องค์พระพิชิตมารก็ตรัสตรงกันข้าม สมดังพระพุทธดำรัสที่ว่า
*คำว่า "ลูบคลำไม่ดี" ในที่นี้ หมายถึง การประพฤติชั่วทั้งๆ ที่ยังครองเพศแห่งความเป็นสมณะ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"