ฟังหลวงพ่อแล้วกลุ้ม
#1
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 09:23 PM
แต่หลวงพ่อบอกให้มาทำกฐินก่อน
แล้วจะขายได้
แล้วจะหาทรัพย์ที่ไหนมาถวายได้เล่า
คราวที่แล้วเอาคอมพิวเตอร์กับทีวี ไปจำนำ
เอามาทำกฐินฝูงลิงก็ลงมากระทืบกระจกรถจนแตก
หมดค่าซ่อมไปครึ่งหนึ่ง
แถมตกบุญไปหลายบุญเพราะไม่มีอุปกรณ์ทำงานให้หมู่คณะ
คราวนี้อยากทำให้ได้ตามที่ปวารนา จะทำยังไงดีครับ
#2
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 09:47 PM
1. ให้คุณกลับไปบ้านตั้งใจ เลือกทำเลที่เหมาะๆ ที่จะนั่งได้สักบริเวณหนึ่งในบ้าน
2. ปัดกวาดเช็คถูบริเวณนั้นให้สะอาด
3. อาบน้ำอาบท่าทานข้าวให้เรียบร้อย (ยกเว้นศีลแปดก็ทานแบบศีลแปด)
4. มาที่ที่นั่งที่เตรียมไว้ แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า "วันนี้ จะนั่งสมาธิให้เข้าถึงธรรม ถ้าไม่ได้จะไม่ยอมลุกจากที"
5. ลงมือนั่งสมาธิให้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน
6. เมื่อเข้าถึงพระธรรมกายภายในได้แล้ว คำแนะนำของใครๆ ว่าจะได้ทรัพย์มาอย่างไร ก็ไร้ความจำเป็น เพราะองค์ความรู้ทุกอย่างที่ปรารถนาจะผุดขึ้นมา ภาษาพระท่านเรียกว่า ผุดรู้
ไปลองทำดูนะครับ
#3
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 10:04 PM
ถ้าคุณเข้าถึงแล้วรบกวนดูให้หน่อยครับ
#4
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 10:05 PM
"จะขายที่ดิน ไปเลย ไปที่ๆดินที่จะขาย ไปบอกกล่าวแม่พระธรณี จุดธูปห้าดอก บอกว่าให้ขายให้ได้"
คำสอน แม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม
สู้ครับ
#5
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 10:15 PM
#6
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 10:38 PM
แต่วิธีนี้ถูกหลักวิชารึเปล่า
ไม่ได้จะต่อรองเรื่องบุญ ยังไงก็ทำเต็มที่อยู่แล้ว
แต่ถ้าขายได้ก่อน ก็จะทำเต็มกอง++ได้
ก็จะปลื้มมากกว่า
ทุกวันนี้ ทำบุญอะไรก็ไม่ค่อยปลื้ม
เพราะยังทำไม่ได้อย่างใจน่ะครับ
ไม่ใช่ขอให้รวยก่อนแล้วทำบุญ
แต่อยากให้มีทรัพย์จะได้มีทำบุญ
มันคนละความหมายนะ
ขอบอกบุญหน่อยนะครับ
พรุ่งนี้(3ก.ย,)ผมจะทำบุญเลี้ยงพระธรรมทายาท
วัดเขาพรหมสวรรค์ จำนวน36รูป เนื่องในวันพ่อ(ของผม)
ใครจะร่วมบุญติดต่อทางข้อความส่วนตัวนะครับ
#8
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 10:53 PM
ลองถามตัวเองดูนะคะว่า ถ้าพรุ่งนี้คุณต้องตาย วันนี้ ณ เวลานี้คุณจะเลือกทำบุญอะไร จะเลือกทำอะไร ที่ถ้าหากไม่ได้ทำแล้ว จะเสียใจไปจนถึงภพหน้า
กรุณาซื่อสัตย์ต่อตัวเองด้วยนะคะ
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ได้คำตอบจากคำถามข้างบนแล้ว ให้ทำ(ปฏิบัติ)ตามสิ่งที่เลือกนั้น(อย่างเคร่งครัด อย่างเร่งด่วน) ห้ามบ่ายเบี่ยง หรือหาเหตุผลร้อยแปดมาอ้าง หรือพูดว่า "ค่อยทำ" ไม่ว่ากรณีใดๆ
ปล. ด้วยความปราถนาดี(จริงๆๆๆ และวันนี้ถือศีลแปด)
ปล.2 เวลาจะเคลื่อนย้ายทรัพย์มาทำบุญ ให้สวดมนต์ อาราธนารูปหลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยาย ไว้ที่หน้ารถ หรือที่เหมาะสมที่สามารถเห็นหน้าท่านได้ พร้อมทั้งเอาใจไปไว้ที่กลางท้อง และ ท่อง "สัมมา อะระหัง" ตลอดการเดินทาง ถ้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้อย่างที่กล่าวข้างต้น ให้ขอความช่วยเหลือจากผู้ที่สามารถทำได้ให้เดินทางมาเป็นเพื่อนด้วย และให้เพื่อนเป็นผู้ถือทรัพย์นั้น
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#9
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 11:09 PM
นั่งสมาธิเยอะๆๆๆๆๆๆๆ ขนาดไหน วันละสัก 2-3 ชั่วโมงนะครับ
แล้วขอดวงแก้วยายนะครับ อธิฐานไปเลยครับถี่ๆ ทุก สิบนาที ถี่มากๆๆๆ จะดีครับ ใจจรดจ่อสุดๆ
แล้วทำใจสบายๆ นะคับ อย่ากังวล นิ่งๆ สบายๆ ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องไปกังวลถึงผลที่จะเกิดขึ้น
ทำไปอธิฐานไป ถี่ๆ แต่ไม่ต้องอธิฐานตอนนั่งสมาธินะคับ
ถี่ๆๆ มากๆ ใจจรด นิ่งจ่อ อยู่ศูนย์กลางกายเลยนะคับ
รับรอง ได้!!
#10
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 11:18 PM
เงินประกันชีวิตจะถูกนำไป
ถวายหลวงพ่อก่อนวันกฐิน
ปัจจัยก็พอมีครับ แต่สำเร็จไม่เต็มกองนี่สิ
ถึงหาได้เต็มกอง ก็ไม่เต็มแผ่น มันไม่ถึงใจครับ
การนั่งสมาธิแบบไม่ถึงธรรมไม่ลุกจากที่นั้น
รู้สึกคุณยายเคยบอกว่า สำหรับผู้มีบารมีแก่กล้า
คือได้เห็นดวงบ้างแล้ว
คนที่บารมีอ่อนอย่าไปทำ ถ้าทำไม่ได้
จะมีผลในทางไม่ดี อย่างมากสำหรับผู้อธิฐานอย่างนั้น
พระพุทธเจ้ากล้าอธิฐานอย่างนั้น เพราะก่อนบรรลุธรรม
ท่านได้สมาบัติแปด ถึงกายอรูปพรหมแล้ว
หลวงปู่อธิฐานได้ เพราะท่านเห็นดวงปฐมมรรค
ในตอนก่อนเพลแล้ว
คนเช่นเราอย่าเพิ่งเลยครับ มันอันตราย อันตรายยังไง ไม่บอก
#11
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 11:30 PM
ผมไม่เชื่อว่าลูกหลวงพ่อจะไม่เคยเจอ เพราะหากใครไม่เจอก็ยังร้อน
แม้เราบางคนยังไม่เข้าถึงความสว่างยังมืดอยู่ แต่เราทุกคนต่างก็ตั้งใจเอาชีวิตเป็นเดิมพันกันทั้งสิ้น จนพูดได้เลยว่า
ไม่เคยทุกข์ร้อนเรื่องการทำบุญ
เพราะเราทุกคนต่างเข้าใจ หลักของบุญและบาป
ด้วยการเชื่อฟังครูบาอาจารยืมาตลอดเส้นทาง ไม่นอกลู่นอกทาง
ที่สำคัญเราสามัคคีกัน เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน เชื่อใจซึ่งกันและกันเพราะเรามองไปที่เป้าหมาย ไม่ใช่มองแค่ที่พักระหว่างทาง
ผมว่าเหล่านี้ เป็นความจริง
เพราะขาดแม้เพียงวันเดียว ใจเราจะหยาบ ทำให้ผังวิตกกังวลได้ช่อง
#12
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 12:54 AM
มั่นใจในอานุภาพครูบาอาจารย์ แบบหายสงสัยเลยครับ
ที่สร้างบารมีอยู่นี่ก็เพราะบอกกับตัวเองว่า
ครูบาอาจารย์จะช่วยๆ พอถึงกำหนดไม่ได้ดังปราถนา แล้วก็ผ่านไป
หลานหลวงปู่ๆต้องช่วยให้สำเร็จ ได้แน่ ถึงเวลาไม่สำเร็จ แล้วก็ผ่านไป
ถึงเวลานั่งสมาธิ ก็นั่งนิ่งดี เวลารับบุญก็เอาชีวิตทำ เวลาทำทานก็เทกระเป๋า
แต่อธิฐานอะไรไม่เคยได้เลย
เป็นยังงี้มาตลอด20ปี เนี่ย ใครบอกได้มันยังไง ผมทำอะไรผิดตรงไหน
หรือผิดที่ผมยังไม่เข้าถึงธรรมกาย เลยไม่สมหวังซักที
หรือควรทำยังไง
#13
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 01:17 AM
ขอไม่กล่าวเรื่องการนั่งสมาธินะคะ เพราะทุกท่านทราบกันอยู่แล้วว่าสำคัญ
ขอกล่าวเฉพาะหลักการสร้างมหาทานบารมี...หากคุณทำเต็มที่ เต็มกำลังแล้ว ความปิติย่อมเกิด
ไม่เต็ม ไม่เข้าเป้า ไม่เป็นไรค่ะ...เต็มที่ เต็มกำลัง คุณตำรวจก็จะเต็มอิ่ม เต็มใจเองนะคะ กราบอนุโมทนาบุญค่ะ
หลายๆท่านเริ่มจากปวารณากันที่ตารางเมตร บางท่านเป็นกอง บางท่านเป็นแผ่น จนกระทั่งเป็นห้องและเป็นชั้น
อย่างไรก็ตาม เราต้องเริ่มนับ 1 2 3.... ไปเรื่อยๆ เช่นกันใช่หรือเปล่าคะ...ถ้าอย่างนั้น...ไม่ว่าเป้าของเราจะเท่าไหร่...
เรามาเริ่มนับ 1 กันก่อน อาทิตย์ต้นเดือนนี้เลยค่ะ ถวายก่อน สำเร็จก่อน เพราะจะมีพิธีรับผ้าไตรด้วย...
เริ่มเลยค่ะ ไม่ต้องรอ..อย่ารอจนครบเป้า...เพราะไม่รู้เราจะทำได้หรือเปล่า...
มีเท่าไหร่ ก็เริ่มทำไป...ใจใสๆ ยิ้มๆ สบายๆ...เต็มอิ่ม เต็มใจ เบิกบานในบุญแน่นอนค่ะ....
ขอให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์นะคะ...สาธุค่ะ
#14
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 01:32 AM
ทำเต็มที่ จะให้เต็มแค่ไหนล่ะ
มากกว่านี้ก็ประกันชีวิตแล้วล่ะครับ
#15
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 01:45 AM
เต็มที่ คือ ทั้งทำเองสุดกำลังทรัพย์ และ ทั้งชักชวนญาติสนิท มิตรสหาย คนรู้จัก ไม่รู้จัก บอกให้หมดค่ะ
ไม่มีเวลาไปหา ไม่มีเวลาไปบอก ก็โทรบอกได้นะคะ คุณตำรวจคงงานยุ่งอาจไม่มีเวลา ก็อาศัยช่วงว่างโทรแจ้งข่าวนะคะ
หลายท่านที่ไม่มีกำลังทรัพย์ ไม่มีงาน ไม่มีรายได้ ก็ทำหน้าที่ชักชวนผู้อื่นกันไป เต็มที่ เต็มเป้า กันมาหลายท่านแล้วค่ะ...
อย่ากลุ้มเรื่องวิธี หรือ เป้า เลยนะคะ...ทำตามกำลังทรัพย์ของแต่ละท่านด้วยความเต็มใจ กระแสบุญก็หลั่งไหลมาหาเราแล้วค่ะ....
สำคัญที่ว่า คุณได้ทำหรือไม่...ถ้าได้ทำ...คุณตำรวจจะหายกลุ้มเร็วๆนี้แน่นอนค่ะ ^_____^
#16
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 02:26 AM
ภาชนะต้องสะอาด: กาย วาจา ใจ
เมื่อรักษาศีลดีแล้วก็เท่ากับว่า รักษาสิ่งแวดล้อมและตัวเราเองให้สะอาด (CLEAN AND CLEAR)
เมื่อภาชนะสะอาดรองรับธรรมะขาว ๆ ใส ๆสะอาดบริสุทธิ์
เปรียบประดุจน้ำฝนหลั่งจากฟ้ามารองรับไว้ในโอ่งที่สะอาดจริงเมื่อน้ำนิ่งจะมองเห็น
ทุกอย่างไปตามความเป็นจริงแม้นว่าเข็มเล็กสักเล่มหนึ่งตกลงไปที่ก้นโอ่งก็ยังมองเห็นได้ชัดเจน
ตรงกันข้ามหากภาชนะไม่สะอาดปราศจากการดูแลรักษาให้ดีแล้ว(กาย วาจา ใจ)
แล้วเอาไปรองรับน้ำฝนที่ใสบริสุทธิ์(ธรรมะ) น้ำนั้นแม้จะดูเหมือนนิ่งทิ้งไว้ทั้งคืนก็หาเห็น
เข็มไม่ หรือแม้แต่ก้อนอิฐใหญ่ ๆ ก็มองไม่เห็นเพราะมันเป็นน้ำขุ่น น้ำสกปรกตามภาชนะไปแล้ว
และยิ่งเติมด้วยธรรมะดำ ก็ไม่ต้องแหลงกันละนะมึนลูกเดียว เปลืองบุญทุกครั้งทุกคนที่ใช้
ไปในทางซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอทางใจเพราะจิตไม่ฝึกให้ดีจึงไม่มีสุข (จิตที่ฝึกดีแล้วย่อม
นำสุขมาให้...นี่เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา)
..........................................."สุโข ปุญฺญสฺส อจฺจโย
การสั่งสมบุญนำสุขมาให้" .......................................
.................................แสงสว่างจากกระบอกไฟฉายจะสว่างได้เมื่อกำลังแบตมีพอ
เพียงและกระบอกไฟฉายดีด้วย(ไม่ขึ้นสนิมหรือสวิชชำรุดฯลฯ เป็นต้น) บุญก็เช่นกัน หากเรามีกำลังบุญ
พอแล้ว เรายังต้องทำตัวให้เป็นดั่งกระบอกไฟฉายที่ดีมีคุณภาพด้วย เปิดโอกาสให้บุญได้ช่องส่งผลได้
เพราะบุญเป็นพลังงานพิเศษ และอยู่เบื้องหลังความสุขความสำเร็จทุกอย่าง ยายบอกว่าหาบุญได้และ
ใช้บุญให้เป็น ทำตามท่านสอน ร้อยทั้งร้อย ล้านทั้งล้านไม่ผิดหวัง ฟังคำครูให้เข้าใจ ตรองคำครูให้ดี
แล้วปฎิบัติตามคำครู เพราะเรามีครูดีอยู่แล้ว ......... ลั้น ลั้น ล้า ลัน ลัน ลา..........
.......................................................................................................จบ
ต่อไปนี้ลอกมาจากหลวงพ่อคุณครูไม่เล็ก
"การที่เราจะเพิ่มพูนคุณธรรมให้กับตัวเอง เพิ่มบุญบารมีให้กับตัวเองในภายภาคหน้าเราจึงจำเป็นต้อง
ย้อนกลับมาดูกิจวัตรประจำวันของเรา ดูลักษณะงานของเราต้องเกี่ยวข้อง ดูผู้บังคับบัญชาของเรา ดู
เพื่อนและลูกน้องร่วมงาน ดูเลยไปจนกระทั่งงานที่จะขยายตัวต่อไปในอนาคต ดูให้เข้าใจละเอียดทุกสิ่ง
ทุกอย่าง เพราะสิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเรา " หากดูไม่ละเอียด ขาดการพิจารณา
แล้ว ถึงจะอยู่ในวัดนานถึง ๑๐๐ปี คุณธรรมก็จะไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร" และยิ่งถ้าไปจับแง่คิด
ในกิจวัตรต่าง ๆผิด ๆ เข้าไปด้วย นอกจากคุณธรรมจะไม่ก้าวหน้าแล้ว อาจจะมีโอกาสถอยหลังได้
อีกด้วย".................นี่เป็นคำสอนจากหนังสือ แด่นักสร้างบารมี ๒ หน้า๑๑๓ - ๑๑๔ โดยครูไม่เล็ก.
..........
(เกี่ยวไม่เกี่ยวขอเอี่ยวด้วย อโหสินะ อิ อิ)
#17
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 02:31 AM
หลวงพ่อเคยบอกว่า ศรัทธาจะเต็ม100 ต่อเมื่อเข้าถึงธรรม
ผมฟังหลวงพ่อ ตรองตาม แล้วพิสูจน์ทุกครั้งตามหลัก กาลามสูตร โดยทำ2อย่างคับคือ
1ทำให้ถูกวิธี 2มีความเพียรถึง
หลวงพ่อแนะ และนำคือทำให้ดู ท่านไม่ได้บอกให้ผมเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาคับ เพราะหลักพุทธศาสนาคือหลักเหตุและผล สิ่งที่ท่านสอนเป็นหลัก
ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นหากทำถูกวิธี และมีความเพียรถึง ย่อมได้รับผลเสมอไม่จำกัดกาลเวลา เหมือนบทพระธรรมคุณ อกาลิโก
และ เอหิปัสสิโก คับ
ผมพบอานุภาพ(1ในปาฏฺิหารย์3 อนุสาสนีปาฏิหาริย์) ของท่านดังนี้คับ
คำสอนท่านในการนั่งสมาธิ เป็นจริง คือ ความสุขภายในมีจริง และเข้าถึงได้จริง อันนี้เป็นศรัทธาอันดับแรกของผมเลยคับ ทำให้เริ่มเชื่อในพระไตร
ปิฏกที่พระพุทธเจ้าสอนว่า สุขอื่นยิ่งกว่าหยุดนิ่งไม่มี
เมื่อมีศรัทธาภายในใจด้วยตนเอง ไม่ได้ศรัทธาเพียงเพราะครูบาอาจารย์ แล้วต่อยอดด้วยการอ่าน และฟังธรรมจากหลวงพ่อทัตตะมาเรื่อยๆ จะ
ค่อยๆเข้าใจเองคับ ตัวอย่างคือ แม้อ่านมงคลชีวิตจบหลายรอบ แต่ถ้ากลับมาอ่านอีกรอบหลังจากพบความสุขภายในแล้ว จะเข้าใจลุ่มลึกได้มาก
ขึ้น ที่คิดว่ารู้แล้วกลับมาทราบภายหลังว่าเรายังไม่รู้ หรือรู้แต่ยังไม่กระจ่างคับ
การทำทานเช่นกฐิน ผมคิดว่า เป็นการสร้างบารมีคือนิสัยที่ดีๆคับ เป็นการสละความตระหนี่ออกจากใจ การทำเต็มที่ของผมคือสละความตระหนี่ให้
เต็มที่ ตั้งเป็าหมายคืออธิษฐานบารมีเอาไว้ เมื่อทำเต็มที่จะถึงเป็าหรือไม่อีกเรื่องคับ
เหมือนสุเมธดาบสสอนตนเองว่า เราจักทำทานบารมีเหมือนตุ่มที่เทน้ำจนหมด ท่านอธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้า แต่ท่านก็ไม่ได้เป็นในชาติที่ท่านสละชีวิตเป็นทาน ขนาดยอมตายนอนเป็นสะพานให้พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระอรหันต์เป็นแสนๆ ท่านก็ไม่ได้ท้อใจ แต่ท่านเชื่อและรู้ว่า หากเราตั้งใจสร้างบารมีอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เราจักต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งได้อย่างแน่นอน สุดท่ายท่านก็ได้เป็นจริงๆ
หรือเหมือนพระมหาชนก ว่ายน้ำในมหาสมุทร มองไม่เห็นฝั่งแต่ท่านเชื่อมั่น มุ่งมั่น ไม่ท้อถอย สุดท้ายก็สำเร็จคับ
ผมคิดเองนะคับว่า พระโพธิสัตว์ท่านเชื่อมั่นในตนเองคับว่า หากทำถูกต้องตามหลักธรรมคือถูกวิธี และมีความเพียรถึงแล้ว เราจักต้องสำเร็จในสิ่งที่เราปรารถนาอย่างแน่นอน ท่านไม่ได้แค่เอาคำพยากรณ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่ตั้งอย่างเดียวคับ สรุปคือ เอาธรรมเป็นที่ตั้งคับ
ผมว่าความอัศจรรย์ที่สุดในชีวิตที่ได้รับคือ ได้รู้ความจริงของชีวิต ทางออกจากทุกข์ ความสุขที่แท้จริง ความเข้าใจชีวิตและสรรพสิ่ง แค่นี้ผมว่าผมโชคดีแล้วคับ ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่าความรู้นี้ เพราะบารมีผมยังไม่มากพอที่จะสอนตัวเอง ค้นเองได้หมด ดังนั้นเมื่อมีผู้รู้มาให้ความรู้ ผมคว้าคับ
ผมอธิษฐาน+ประกอบเหตุ โดยใช้วิธีปลูกกล้วยแบบหลวงพ่อทัตตะคับ ปลูกวันนี้ยังไม่ได้กินแน่ๆ แต่ถ้าเรารดน้ำ พรวนดินไปเรื่อยๆ เวลาถึงได้กินแน่นอน วันนี้ปลูกได้1ต้น พรุ่งนี้อีกต้น ปลูกไปหลายๆเดือนก็เป็นสวนใหญ่ๆได้นะคับ
ตุ่มที่ยังไม่ได้ใส่น้ำ กว่าจะเต็มต้องค่อยๆเติมน้ำและใช้เวลาคับ แต่สำหรับตุ่มของบางคน ในอดีตเค้าทำเต็มที่มาก่อน น้ำในตุ่มเลยมีเยอะกว่าเรา เติมอีกไม่ก็หยดก็เต็ม
ดังนั้นหากเราประกอบเหตุเติมน้ำไปเรื่อยๆ เต็มแน่นอนคับแถมได้วิริยะบารมีไปด้วย
ทำทาน ได้บุญเสมอทุกครั้งครับแม้ว่าจะเข้าเป้าไม่เข้าเป้า และได้บารมีเพิ่มขึ้น
หากทำใจใสๆ+รักษาศีลอุดรูรั่วของใจ จะได้บุญมากไม่หกหล่นคับ
ลองดูดีๆนะคับ ผมว่าคุณโชคดีกว่า เพื่อนมนุษย์อีกหลายพันล้านคนเลยทีเดียว
#18
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 02:41 AM
#19
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 10:25 AM
บอกบุญไปเรื่อยๆ ครับ อธิฐานจิตดีๆ... อีกอย่างขอให้คิดบวกเข้าไว้ครับ อย่าเปิดช่องให้แทรกได้ นึกถึงบุญอย่างเดียว
#20
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 11:49 AM
มีอานุภาพมากกกก (ยืนยัน) แต่ไม่ใช่เพราะดวงแก้วอย่างเดียวนะ เขาแค่เป็นส่วนช่วย"ทีสำคัญมาก"
เรื่องมีรายละเอียดจะลองส่งไปออกอากาศ
สิ่งที่น่าจะหายไปคือ ศรัทธา และ ความเชื่อมั่น หรือเปล่าคะ
มีแต่ไม่เต็มเปี่ยม ทำให้สายบุญสะดุด อุปสรรค ก็แทรกได้ทั้งที่ใจเป็นกุศลดีอยู่แล้ว
วิจิกิจฉา เป็นหนึ่งในนิวรณ์ 5 ทีเดียวนะ มันสำคัญทีเดีียวแหละ ในความเห็นของดิฉันนะ
ถามมาตอบไปอย่างกัลยาณมิตรนะคะ (ตามแต่ เท่าที่ปัญญาดิฉันมีนะคะ คุณตำรวจ)
คำอธิษฐานจะสำเร็จประกอบด้วยหลายๆ อย่าง หนึ่งในนั้นคือ บารมีในเรื่องสัจจบารมี
และความบริสุทธิ์แห่งศีลข้อที่ 4 จึงจะทำใ้ห้วาจาศักดิ์สิทธิ์
เมื่อคราวอธิษฐานอะไร ก็หนุนให้สำเร็จได้ง่ายมากขึ้น
คนที่มีสัจจบาีีรมีน้อย มีความบริสุทธิ์ของศีลข้อ 4 ไม่มาก
คราวพูดอะไร ก็ยากจะเป็นจริง อธิษฐานอะไร ก็อ่อนกำลัง
พูดอะไรใครก็ไม่ค่อยเชื่อ ลูกน้องก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง หรือ ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง หรือ ทำๆ ไปอย่างนั้นๆ
ก็ตามกำลังบุญของเจ้าของที่มี
หลวงพ่อจึงให้ อารารธนาศีลทุกวัน อย่างน้อยให้เราได้ยินเสียงตนเอง
เพื่อเพิ่มสัจจบารมี วาจาศักดิ์สิทธิ์
และ ลดความโลเล ไม่รักษาสัจจะ เปลี่ยนแปลง ได้เนืองๆ ของเราเอง
(เล่าจะประสบการณ์ส่วนตัว)
การเข้าถึงพระธรรมกาย นิวรณ์ 5 ต้องหายไปหมด แม้ชั่วคราว
การเข้าถึงไม่ได้หมายความว่าจะดูอะไรให้ใครได้นะคะ เพราะพระธรรมกายมีความละเอียดไม่เท่ากัน
และ กำลังสมาธิขนาดจะดูได้อย่างที่หลวงพ่ออธิบายนั้น ไม่ใช่พระธรรมกายที่เข้าถึงกันไปหลายๆ ท่านแล้ว
ต้องมีความละเอียดมากกว่านั้นมาก ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
(ลองถามหลวงพ่อดูสิคะ ท่านตอบได้ทุกคน แม้ถามผ่านทีวี ! )
(วิจิกิจฉาส่วนตัว : ลิงจริงๆ เลยหรอ มันมาจากไหน เอาพวกมากระทืบได้ขนาดนั้นหนอ?? คู่เวรป่าวอะ )
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#21
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 12:25 PM
เอ้า แล้วถ้าชาติในอดีตทำบุญมาน้อย แต่ทำบาปมาเยอะ แต่อยากสำเร็จในชาตินี้ล่ะจะทำอย่างไร
ก็ต้องทำดังที่ผมแนะนำไงล่ะครับ คือ ทำสุดยอดของบุญ คือ ใจผ่องใส
คุณตำรวจอาจจะบอกว่า ตอนนี้ใจคุณตำรวจก็ใสแล้วนี่นา คำตอบของผมก็คือ ยังใสไม่จริง
เพราะหากจริง ก็จะต้องเข้าถึงธรรมนะสิครับ
คุณตำรวจอาจถามว่า แล้วผม(หัดฝัน)เข้าถึงแล้วหรือ จึงมาแนะนำ
ผมยังไม่เข้าถึงหรอกครับ แต่ผมไม่ได้รุ้สึกว่า ผมจะต้องทำบุญเป็นเอ็มให้ได้ในตอนนี้
ผมมีเท่าไหร่ ผมก็ทำเต็มที่ไปเรื่อยๆ ทำที่ทำได้ การปฏิบัติธรรมของผมก็ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ยังไม่ปฏิบัติแบบขั้นยิ่งยวด
แต่เมื่อคุณตำรวจถามว่า จะทำบุญเป็นเอ็มในเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร ผมก็เลยแนะนำว่า ได้เมื่อเราปฏิบัติธรรมขั้นยิ่งยวดจนเข้าถึงไงล่ะครับ
ฉันใดก็ฉันนั้น แล้วผมรู้ได้อย่างไรว่าจะได้ผล
คำตอบคือ เคยฟังคุณอนันต์เล่าเรื่องน่ะครับว่า ตอนมีหนี้วันละล้าน แก้ปัญหาอย่างไร คุณอนันต์เล่าว่า หลายคนเห็นคุณอนันต์ ใกล้ชิดหลวงพ่อ น่าจะมีทีเด็ด แต่คุณอนันต์บอกเลยครับว่า ไม่มีทีเด็ดอะไรเลย หลวงพ่อมีแต่บอกให้ไปนั่งหลับตา ทำอย่างเดียวเท่านั้นเองครับ
#22
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 01:03 PM
เหมือนอุปมาว่า เป็นวิศวะกรฝ่ายวิจัย ประดิษฐ์สินค้าออกมาขาย แต่ดันไม่จ้างแผนกขาย
ออกมาเดินขายเอง ผลที่ได้ คือ ขายได้ แต่ขายได้ไม่มาก เพราะต้องมาวิจัยและ ปรับปรุงสินค้าต่อ
หากว่า วิจัยไป มีคนช่วยขายไป สินค้าที่ได้ย่อม มีมากขึ้นและ จำหน่ายได้มากขึ้น พอเข้าใจนะครับ เพราะคนเรามันไม่ได้เก่งทุกอย่าง
เหมือนที่เขาบอกว่า จงทำในสิ่งที่ตนเองถนัด หากไม่ถนัดจงให้คนอื่นทำ
#23
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 02:30 PM
เคสของ "คนดื้อ" มีอยู่มากมายในกรณีศึกษากฏแห่งกรรม
ท่านให้ความรู้
ท่านแนะนำ
ท่านให้วิธีการ
ท่านตอบคำถาม
หลายๆ คนพิสูจน์แล้วถึงวิธีการเหล่านั้น ดังที่ได้เห็นและทราบกันอยู่เนืองๆ
ที่เหลือ....คือการนำไปปฏิบัติ
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#24
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 02:50 PM
#25
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 03:59 PM
...เห็นหลายกระทู้ของคุณตำรวจ ผมเข้าใจหมดแหละ รู้ว่าเจออะไรและกำลังรู้สึกยังไง แต่ไม่มีทางลัดครับ บอกได้เลย ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งเป็นไปด้วยบุญและบารมี และอีกส่วนหนึ่งเป็นไปด้วยตั้งใจและอธิษฐาน อย่างไหนได้ช่วงเวลา ได้ช่อง อย่างนั้นส่งผลก่อน อย่างอื่นหมดสิทธิ์ครับ ยิ่งถ้าประกอบกิเลสคือ อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากพ้น อยากสิ้น ฯลฯ ใจหมองครับ รวมใจหมองทั้งสิ้นยิ่งคิดยิ่งห่างไกลความสำเร็จ มันยากตรงนี้แหละ ถ้าอยากพ้นต้องหยุด อยากได้ต้องหยุด อยากหลุดพ้นก็ต้องหยุด ถ้าไม่หยุด ทุกอย่างจบ
#26
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 05:26 PM
#27
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 11:07 PM
- เรามากันเป็นหมู่คณะ เป็นสายบุญเชื่อมต่อกับมหาปูชนียาจารย์ ก่อนทำอธิษฐานซ้อนท่านไว้ในกลาง มั่นคงมั่นใจ ให้ผังละเอียดสัมฤทธิ์ เหลือแต่การดำเนินการให้ไปถึงผังนั้น(สร้างฝันให้เป็นจริง)
#28
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 11:27 PM
เคยพยายามสร้างทีม กำลังเข้ารูปเข้ารอย
ดันโดนย้ายที่
อีกอย่างภารกิจที่ได้รับ มักเป็นภารกิจเฉพาะ
ที่ผมเท่านั้นทำได้
#29
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 11:48 PM
1. รักการปฏิบัติธรรมเป็นชีวิตจิตใจ
2. มีมโนปณิธานที่แน่นแฟ้น
3. มีความเคารพ
4. มีวินัย
5. ทำงานเป็นทีม
- ลุยคนเดียว ก็โดดเดี่ยว โอกาสเหนื่อยล้าและล่าถอยต่อเป้าหมายง่าย
แนะนำ(แบบที่หลวงพ่อฯแนะคุณอนันต์สมัยก่อน)....อันดับแรกถ้าทำอะไรไม่ได้...ก็ลุยเดี่ยว...ล้างหน้าล้างตา อาบน้ำให้ชื่นใจ เอาเวลาไปนั่งหลับตา ทำอย่างถูกหลักวิชา จนใจใส เอาใจออกจากความคิด ทำจิตให้สงบ แล้วจะพบทางออก เพราะใจจะดึงภาพที่เราไปเกาะเกี่ยวให้เห็น ทบทวน ลดทิฐิมานะในเรื่องการทำงานคนเดียว พอใจนิ่งใสสว่างแล้วจะเกิดกำลัง ความพร้อม สร้างกำลังใจและหาเพื่อนร่วมทีมใหม่ เพื่อทำการใหญ่ให้สัมฤทธิ์...อุปสรรคมีไว้ข้าม...ช้าหรือเร็วอยู่ที่เรา เริ่มที่เรา...
#30
โพสต์เมื่อ 04 September 2010 - 12:27 AM
แต่เพราะคนอื่นมีหน้าที่ที่ต้อง ทำเป็นทีม
แต่สิ่งที่มักได้มอบหมายคืองานเฉพาะทาง
ต้องรู้รอบ และมีประสบการณ์
ซึ่งคนอื่นทำอย่างเราไม่ได้
แม้จะอยู่ในทีม แต่ก็แยกจากทีม