ทำไมมารถึงมีฤิทธิ์มากมีกายมหาบุรุษสร้างบารมียังไง ?
#1
โพสต์เมื่อ 09 April 2010 - 03:24 PM
ผมเคยได้ฟังหลวงพ่อพูดในโรงเรียนว่า มารส่งทูตมาถามพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ใหม่ๆว่า ?
ท่านจะมาปราบเราหรือจะมาโปรดชาวโลก แล้วพระองค์ก็เข้าไปถามพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ
จนนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วนจนสรุปและตรัสเหมือนกันหมดว่าท่านสู้เขาไม่ได้และไม่ใช่หน้าที่ของท่าน
มารเขาสร้างบารมียังไงครับถึงได้มีฤิทธิ์มากมายนัก แถมยังมีกายมหาบุรุษ มีรัศมีแต่เป็นสีดำ
เขามีโลก มีหมู่คณะทำงานเป็นทีม สร้างบารมีเอาชีวิตเป็นเดิมพันมั้ย ?
และยังเป็นตัวที่สร้างนรก อีกด้วย(เก่งจัง) รู้เขารู้เรารบกี่ครั้งก็ชนะ
#2
โพสต์เมื่อ 09 April 2010 - 03:42 PM
#3
โพสต์เมื่อ 09 April 2010 - 03:50 PM
ความรู้บางอย่างรู้พอเป็นสังเขป ความเห็นส่วนตัวก็คือ อย่าไปถามคนอื่นเลย ถ้าคนตอบไม่รู้จริงอาจเป็นผลร้าย ฟังแต่คุณครูไม่ใหญ่ดีกว่า
#4
โพสต์เมื่อ 09 April 2010 - 04:32 PM
แน่ใจหรือว่า มารสร้าง
#5
โพสต์เมื่อ 09 April 2010 - 05:01 PM
#6
โพสต์เมื่อ 09 April 2010 - 06:10 PM
ความไม่รู้ทั้งหลายก็จะหมดสิ้นไป
เหมือนเข้าไปห้องที่มืดๆ แล้วเปิดไฟ
ดังนั้นบางสิ่งบางอย่างก็ไม่สามารถอธิบาย ให้คนหมู่มากเข้าใจและเห็นได้ปตามความเป็นจริง
นอกจากจะรู้เห็นด้วยตัวเอง
เราไปเปิดสวิกซ์ ไฟที่ กลางท้องกันเถอะครับ
เราพันธุ์ดีสุดขั้ว ชั่วลืมไปหมดแล้ว,จิตใจสูงส่งเหลือเกิน,มีปัญญา,มีมงคล,ทำที่ท่านได้ที่เรา
#7
โพสต์เมื่อ 09 April 2010 - 08:25 PM
#8
โพสต์เมื่อ 09 April 2010 - 10:36 PM
เครื่องมือของมารที่ทำให้สัตว์โลกเป็นทุกข์ คือ กิเลส
กิเลส คือ โลภ โกรธ หลง จะเห็นว่าเป็นเรื่องของใจทั้งนั้น
พอคนมีความโลภ คนก็พยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ของที่ชอบใจมา
พอคนมีความโกรธ คนก็พยายามทำลายทุกอย่างที่ไม่ชอบใจ
พอคนมีความหลง คนก็ทำแต่เรื่องไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์ ทำไม่ถูกวิธี ทำตรงข้าม หรือไม่ทำ
เวลาที่ฆ่ากัน ก็เป็นคนกับคน
เวลาที่ช่วยเหลือกัน ก็เป็นคนกับคน
ทุกอย่างอยู่ที่ความพยายามของคนทั้งนั้น
เพียงแต่มารอาศัยความโลภ โกรธ หลง เอาไปสิงไว้ในใจของสัตว์โลก ทำให้สัตว์โลกทำสิ่งที่ไม่ควรทำ
เรียกอีกอย่างว่ามารไม่ได้มากระทำอะไรกับสัตว์โลกโดยตรง แต่ยืมมือของสัตว์โลกด้วยกันนั่นเองทำลายกันเอง
ไม่ว่านรก สวรรค์ หรือพรหมโลก ล้วนเกิดขึ้นมารองรับการกระทำกรรมต่าง ๆ ของสัตว์โลกทั้งสิ้น
หรือเรียกง่าย ๆ ว่า นรกสวรรค์เหล่านั้น เกิดขึ้นเพราะแรงขับภายในใจของสัตว์โลกเอง
เพียงแต่ถูกเบี่ยงประเด็นด้วยกิเลส แทนที่จะสร้างแต่สถานที่ดี ๆ กลับต้องไปส้รางสถานที่ที่เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อมารไปซะงั้น
หากสัตว์โลกไม่มีใครกระทำความชั่วเลย นรกก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย เพราะไม่มีกรรมของผู้ใดไปสร้างมันขึ้นมา
แต่เพราะมีผังของนรกสิงสู่อยู่ในจิตใจของสัตว์โลกโดยทั่วไป นรกจึงเกิดขึ้นด้วยฝีมือของสัตว์โลกเอง แต่ถูกโปรแกรมด้วยไวรัสชื่อกิเลส
ไม่ว่าฝ่ายไหนก็เก่ง แต่เก่งแบบไหน ถนัดอย่างไร ก็อีกเรื่องหนึ่ง
แต่เรื่องอะไรก็ตามในโลกนี้ บางอย่างเขาศึกษากันทั้งชีวิตก็ไม่จบ
ฉะนั้น สงสัยอะไรก็สงสัยไป แต่ถ้าพอหายสงสัยบ้างแล้ว ก็ให้ปฏิบัติให้เยอะ ๆ
เพราะยิ่งปฏิบัติน้อยก็จะยิ่งสงสัยมาก
เมื่อไรใจหยุดนิ่งได้สนิทดีแล้ว ก็จะหายสงสัยทั้งหมด
อยากหายสงสัยแบบไหน แบบพอเกาให้หายคัน แต่แผลยังไม่หาย
หรือว่าอยากหายสนิทแบบไม่คันอีกเลย ก็ให้เลือกวิธีการดู
#10
โพสต์เมื่อ 10 April 2010 - 01:40 AM
#11
โพสต์เมื่อ 11 April 2010 - 02:50 AM
อยากขอถามว่า
1. มารตกนรกได้หรือไม่
2.มารอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมหรือเปล่า
3. มารเข้านิพพานได้อย่างไร ในเมื่อนิพพาน ต้องเป็นผู้หมดกิเลสถึงจะเข้าได้
ขอบคุณครับ
#13
โพสต์เมื่อ 11 April 2010 - 07:37 AM
ถ้าคุณหมายถึง เทวบุตรมารในตำราล่ะก็
1. เทวบุตรมาร สามารถตกนรกได้ครับ หากกรรมที่เคยทำไว้มาส่งผล
2. เทวบุตรมาร อยู่ภายใต้กฏแห่งกรรมครับ
3. เทวบุตรมาร ภายหลังก็ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ดังนั้น เมื่อจิตเลิกเป็นมารแล้วสั่งสมบารมีจนแก่รอบ ก็เข้านิพพานได้ครับ
ในอดีต พระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้าย ท่านก็เคยเกิดเป็นมารมาก่อนครับ (ถูกกิเลสมารเข้าสิงจิต แล้วถูกครอบงำ จนกลายเป็นมาร)
#14
โพสต์เมื่อ 11 April 2010 - 11:11 AM
แต่ตอนนี้นับว่าดีนะครับที่มีผู้สามารถใขข้อสงสัยได้ดีในระดับหนึ่งทีเดียว
#15
โพสต์เมื่อ 11 April 2010 - 03:46 PM
เรื่องเหล่านี้ หากเรามีบุญพอ มีธรรมมะที่ละเอียดพอ มีใจใสพอ เราก็จะได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ที่มากขึ้น ซึ่งผู้เล่าจะเป็นคนพิจารณาเองว่าผู้ฟังจะสามารถรับฟังได้แค่ไหน
เพราะหากได้ฟังในขณะที่ใจไม่ใส ธรรมมะไม่ละเอียด การได้รับฟังเรื่องที่ไม่สามารถใช้ปัญญาและเหตุผลทางโลกมาพิจารณาได้นั้น แทนที่ได้ฟังแล้วจะเป็นผลดี ยกใจให้สูงขึ้น กลับเป็นผลเสียไปได้
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมถึงไม่ค่อยมีคนตอบคำถามในเรื่องที่ละเอียด ซับซ้อน
หากอยากทราบเรื่องราวที่ละเอียดลึกซึ้ง ความซับซ้อนที่ซ่อนอยู่ภายใน ที่ต้องใช้ฌานในการมองเห็น เห็นเหตุและผลตามความเป็นจริง ก็พึงสั่งสมบุญด้วยการ ทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ ให้มากยิ่งๆ ขึ้น แล้วจะมีผู้มีบุญบารมีมาเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ได้ฟัง
โลกจินดา(ความคิดในเรื่องของโลก) เป็นอจินไตยไม่ควรคิด ผู้ที่คิด ก็จะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากเปล่า
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#16
โพสต์เมื่อ 11 April 2010 - 09:06 PM
ก่อนที่พระเจ้าจะเป็นพระเจ้าได้ ต้องแยกกิเลสออกจากร่างก่อน โดยแยกออกเป็น ร่างที่มีจิตใจดี กับร่างที่มีใจชั่วร้าย
พระเจ้าอยู่แต่บนสวรรค์ ส่วนอีกร่างคือร่างมารร้ายก็ออก ไปป่วนทั่วโลก
อันนี้คุยสนุกๆ ไม่ใช่เรื่องจริงของพญามาร ที่คุยๆกันนะจ๊ะ
#17
โพสต์เมื่อ 12 April 2010 - 12:57 AM
เรื่องเหล่านี้อธิบายได้หมดครับ...แต่ไม่มีตำรับ..ตำรารองรับนะครับ..(อธิบายไปแล้วถูกมองหน้างงๆ..แน่)
คนที่รู้เรื่องนี้ดีจึงไม่ยอมอธิบายครับ.. เพราะมันมากรูปแบบเหลือเกิน...จึงต้องใช้อุเบกขาอย่างเดียว..
ผมขอสรุปง่ายๆ ดังนี้ครับ
ซอฟแวร์ ฮาดแวร์ และพีเพิลแวร์ ทุกชนิดในทุกจักรวาล ทั้งโลกธาตุ เป็นทรัพย์สินของมารทั้งหมดครับ
เราเป็นเพียงผู้เข้ามาใช้ประโยชน์เท่านั้น (แต่เราออกไปจากพันธนาการ..หรือสิ่งนี้ไม่ได้ครับ)
สรุปแค่นี้ก็ทราบไหมครับว่ากำลังสู้กับใคร...(เจ้าของบ้าน..เจ้าของอาณาจักร..หรือเจ้าของคุกยัก)
#18
โพสต์เมื่อ 12 April 2010 - 02:57 AM
1. กิเลสมาร (มารคือกิเลส, กิเลสเป็นมารเพราะเป็นตัวกำจัดและขัดขวางความดี ทำให้สัตว์ประสบความพินาศทั้งในปัจจุบันและอนาคต — the Mara of defilement)
2. ขันธมาร (มารคือเบญจขันธ์, ขันธ์ 5 เป็นมาร เพราะเป็นสภาพอันปัจจัยปรุงแต่ง มีความขัดแย้งกันเองอยู่ภายใน ไม่มั่นคงทนนาน เป็นภาระในการบริหาร ทั้งแปรปรวนเสื่อมโทรมไปเพราะชราพยาธิเป็นต้น ล้วนรอนโอกาสมิให้บุคคลทำกิจหน้าที่ หรือบำเพ็ญคุณความดีได้เต็มปรารถนา อย่างแรง อาจถึงกับพรากโอกาสนั้นโดยสิ้นเชิง — the Mara of the aggregates)
3. อภิสังขารมาร (มารคืออภิสังขาร, อภิสังขารเป็นมาร เพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม นำให้เกิดชาติ ชรา เป็นต้น ขัดขวางมิให้หลุดพ้นไปจากสังขารทุกข์ — the Mara of Karma-formations)
4. เทวปุตตมาร (มารคือเทพบุตร, เทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรตนหนึ่งชื่อว่ามาร เพราะเป็นนิมิตแห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้ มิให้ล่วงพ้นจากแดนอำนาจครอบงำของตน โดยชักให้ห่วงพะวงในกามสุขไม่หาญ เสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดียิ่งใหญ่ได้ — the Mara as deity)
5. มัจจุมาร (มารคือความตาย, ความตายเป็นมาร เพราะเป็นตัวการตัดโอกาส ที่จะก้าวหน้าต่อไปในคุณความดีทั้งหลาย — the Mara as death)
Vism.211;
Thag A.II.16.46 วิสุทฺธิ.1/270;
เถร.อ. 2/24,383,441;
วินย.ฎีกา. 1/481
....................................................................................
ส่วนมารที่คุณได้ยินพระอาจารย์ท่านใดเล่ามา อันนั้นเป็นมารในความหมายวิชชาธรรมกายเบื้องสูงครับ
เป็นธาตุธรรมภาคมาร หรือ ต้นธาตุอกุสลาธรรมา ที่ละเอียดลึกซึ้งมากมายนัก
และก็ยังมี ต้นธาตุกุสลาธรรมา และต้นธาตุอัพยากตาธรรมา อันเป็นธาตุธรรมทั้งสามฝ่ายตามพระพุทธพจน์แท้ๆ แต่ลึกซึ้งมากตามแนววิชชาธรรมกายได้ค้นพบและเข้าถึง
ขอย้ำว่าเป็นพุทธพจน์แท้ๆ มีตำรับตำรารับรอง หลวงปู่สดสอนไว้ว่า "ตาดีก็เห็น ญาณดีก็รู้ มีตำรับตำรารับรอง" ดังนั้นสบายใจและมั่นใจได้ว่า เราเดินทาง และเรียนรู้ปฏิบัติมาถูกต้อง ไม่ได้ปฏิรูป หรือนอกพระธรรมวินัยใดๆทั้งสิ้น
สนใจได้ แต่อย่าพึ่งเก็บมาคิดจนสับสน นั่งธรรมะให้เห็นธรรมกายก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที หรือจะ pm มาคุยกับผมหลังไมล์ก่อนก็ได้นะครับ
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย