ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

---อานิสงส์การทำบุญด้วยทอง---


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 15 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 eq072

eq072
  • Members
  • 504 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 September 2008 - 08:15 AM

ที่มา http://www.84000.org/anisong/39.html

โหเห็นได้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านสุดยอดจริง ๆ ครับ ยอมเลย
คลิกเข้าไปอ่านเองดีกว่าครับ

สุดแท้แล้วแต่จะจับคิดแบบโยนิโสมนสิการดีกว่าครับ

โยนิโสมนสิการ จึงหมายถึง "การทำไว้ในใจโดยแยบคาย, การพิจารณาโดยแยบคาย" นั่นคือ ความเป็นผู้ฉลาดในการคิด คิดอย่างถูกวิธีถูกระบบ พิจารณา ไตร่ตรองสาวไปจนถึงสาเหตุหรือต้นตอของเรื่องที่กำลังคิด คือคิดถึงรากถึงโคนนั่นเอง แล้วประมวลความคิดรอบด้านจนกระทั่งสรุปออกมาได้ว่าสิ่งนั้นควรหรือไม่ควร ดีหรือไม่ดี เป็นวิถีทางแห่งปัญญา เป็นธรรมสำหรับกลั่นกรองแยกแยะข้อมูลหรือแหล่งข่าว

---อานิสงส์การทำบุญด้วยทอง 2---
1. เมื่อเกิดไปในภพใดชาติใด สมบัติใดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเลิศที่สุดเท่าที่มนุษย์พึงมีในยุคนั้นเราจะเป็นผู้ครอบครองสมบัตินั้น เพราะได้ทำบุญด้วยทองคำซึ่งขึ้นชื่อว่า เป็นธาตุที่เลิศที่สุด

2.สามารถเข้าถึงฐานะแห่งความเป็นมหาเศรษฐี ที่ถึงพร้อมด้วยโภคทรัพย์สมบัติอันมากมาย เพราะได้บริจาคทรัพย์ไว้ในพระพุทธศาสนา และเนื้อนาบุญอันเลิศ

3.เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติอันงดงามตั้งแต่เกิดจนสิ้นอายุขัยเพราะทำบุญด้วยทองคำ ซึ่งเป็นธาตุที่งามอยู่ในตัวเองตั้งแต่เริ่ม และมีความงามเป็นอมตะ ไม่หมองคล้ำ ผุกร่อน แม้กาลเวลาจะผ่านไปเป็นพัน ๆ ปี

4.เกิดในตระกูลสูง เข้าถึงฐานะอันสูงส่ง เป็นที่เคารพนับถือเกรงใจของเหล่ามนุษย์และเทวา เพราะขึ้นชื่อว่าบูชาบุคคลที่ควรบูชา ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุด

5.เป็นผู้มีบุตร บริวาร ให้ความเคารพกตัญญู อยู่ในโอวาท เพราะได้ทำทานด้วยความเคารพ ความกตัญญูที่มีต่อ มหาปูชนียาจารย์

6.เป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ เพราะได้ทำทานที่ประกอบไปด้วยปัญญา บูชาผู้ที่ปัญญาถึงพร้อมด้วยวิชชา และ จรณะ

7.ขึ้นชื่อว่าสายบุญเชื่อมกับมหาปูชนียาจารย์ และธรรมใดที่ท่านบรรลุ ก็จะสามารถบรรลุตามอย่างท่านได้โดยง่าย สามารถเข้าถึงนิพพานและที่สุดแห่งธรรมได้โดยง่าย

8.เป็นผู้มีสัมมาทิฐิ เกิดในปฎิรูปเทส ในดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรื่อง เพราะได้สร้างเหตุแห่งความเจริญไว้ในพระพุทธศาสนา

9.หลังจากละโลกแล้ว ได้ไปเสวยทิพยสมบัติอันเป็นเลิศ ถึงพร้อมด้วยลาภ ยศ สรรญเสริญ สุข ในทิพยวิมาน
ฯลฯ

ที่มาจากหนังสือ: คำน้อย ยอดคนกตัญญู หัวใจทองคำ

ไฟล์แนบ



#2 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 05 September 2008 - 09:34 AM

เอ๋

koonpatt คิดว่า น่าจะเป็นอานิสงค์ จากการตั้งใจจริงที่จะทำบุญนะคะ

คือ

QUOTE
ดังนี้ พระเจ้ามหารถจึงคิดว่า เราจะส่งแก้วสิ่ง
ใดหนอซึ่งมีค่ามากเหนือสิ่งอื่นใด พิจารณาแล้วเห็นว่า แก้วใดๆจะประเสริฐกว่าพุทธรัตนะย่อมไม่มี
จึงตกลงใจจะส่งพุทธรัตนะไปถวาย จึงสั่งให้ช่างนำแผ่นทองคำตีเป็นแผ่นบางแล้วให้เขียนรูปพระพุทธเจ้า
ลงไปในแผ่นทองคำด้วยชาตหรคุณมีขนาดองค์ประมาณ 1 ศอก
แล้วสั่งให้อำมาตย์เชิญพระพุทธรูปทองนั้นลงสู่สำเภาเพื่อนำไปถวายพระเจ้าปัญจาลราช ก่อนที่จะส่งราชทูตไป

พระองค์ยกมือขึ้นประณมถวายนมัสการ โดยทรงระลึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย พระองค์มีความประสงค์จะสั่งสอนเวไนยสัตว์ในประเทศใดๆ
ขอพระองค์ทรงเสด็จไปยังประเทศนั้นๆ แล้วยังประโยชน์ให้เกิด แก่สัตว์จำพวกนั้นเถิด
พระเจ้าปัญจาลราชสหายของหม่อมฉันเป็นมิจฉาทิฎฐิ มีความเห็นผิดจากทำนองครองธรรม
มิได้มีความเชื่อความเลื่อนใสในพระองค์ ถ้าพระองค์เสด็จไปยังพระนครนั้นแล้ว
ขอพระองค์ได้โปรดแสดงปาฎิหาริย์ทรมานพระเจ้าปัณจาลราชให้ละซึ่งมิจฉาทิฎฐิด้วยเถิด"


สิ่งที่พระเจ้ามหารถ คิดคือ แก้วใดประเสริฐกว่าพุทธรัตนะย่อมไม่มี พร้อมทั้งคำอธิษฐานดังกล่าวนั้น

ทำให้อานิสงค์มากยิ่ง


หรือ

QUOTE
ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็นคนเข็ญใจในเมืองนั้น
เมื่อได้ยินเสียงโฆษณาดังกล่าวแล้วตัดสินใจ อำลาลูกอำลาเมียเพื่อไปขายตัวให้เป็นทาส
แล้วจะได้เงินมาซื้อทองปิดพระพุทธรูป แต่ด้วยความเห็นใจของภรรยา ภรรยาจึงยอมขายตนและลูกเป็นค่าทอง
พระโพธิสัตว์นำลูกเมียไปขายในตระกูลที่มั่งคั่งแล้วนำไปซื้อทอง
ปิดพระพุทธรูป

เมื่อทองไม่พอจึงรำพึง "ใครหนอจักทำเนื้อมนุษย์ ให้เป็นทองได้ เราจักบริจาคตน "
ในครั้งนั้นท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมายืนอยู่ตรงหน้าแสดงตนเป็นช่างทอง ต่อพระโพธิสัตว์
เมื่อทราบว่าช่างทองนั้นสามารถทำเนื้อให้เป็นทองได้จึงประกาศแก่เทพเทวดาขออาวุธเชือดเลือดเนื้อตกลงมา
เมื่อได้ ศัสตราวุธแล้วพระโพธิสัตว์ก็เชือดเนื้อของตนจนตราบเท่าปิดทองสำเร็จ
เกิดความยินดีโสมนัส สลบลงแทบเท้าพระพุทธรูป
พระอินทร์ได้เยียวยาให้หายเป็นปรกติ แล้วเป็นผู้มีกายดุจสีทอง พระอินทร์ตรัสพยากร "


ดังกล่าวนี้คือ ยอมเชือดเนื้อของตน เพราะไม่มีอะไรที่จะนำมาร่วมบุญปิดทองพระพุทธรูปได้

นั่นคือ การเสียสละที่ยิ่งใหญ่

ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า เจตนานั้น สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด


อย่ามุ่งเน้นที่วัตถุเลยค่ะ

มองที่เจตนาเป็นสำคัญเถิด

สงสารคนที่ลำบากมากๆ เค้าจะเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจได้

เพราะบางคนอย่าพูดถึงทองเลย แค่เงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัวยังยาก

หากเอาวัตถุเป็นหลัก คนที่ยอมอดข้าว เอาเงินมาทำบุญ จะท้อถอยเอาได้นะคะ



จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#3 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 05 September 2008 - 09:50 AM

มีเรื่องนี้มาให้อ่านค่ะ

ทำบุญน้อย ได้บุญมาก

ในสมัยพุทธกาล มีเพื่อนของวังคันตพราหมณ์ผู้เป็นบิดาของพระสารีบุตรเถระ
ชื่อมหาเสนพราหมณ์ อยู่ในกรุงราชคฤห์ เป็นคนยากจน ไม่มีสมบัติอะไรเลย
เช้าวันหนึ่ง พระสารีบุตรเถระได้ออกไปบิณฑบาตที่บ้านของพราหมณ์นั้น
เพื่ออนุเคราะห์เขา แต่เขาคิดว่า บุตรของเรามาบิณฑบาตที่บ้านเรา
ตอนนี้เราเป็นคนยากจน ทรัพย์สมบัติหรือวัตถุสิ่งของอะไรๆ ที่จะใส่บาตรก็ไม่มี
บุตรของเราอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ก็ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงหลบหน้า ไม่กล้าออกมาพบพระเถระ
ในวันต่อมาพระเถระก็ได้ไปบิณฑบาตอีก
พราหมณ์ก็ได้หลบหน้า อีกเช่นเคย แต่ในใจเขาก็คิดอยู่ว่า
... ถ้าวันไหนเรามีอะไรที่จะถวายพระเถระเราก็จะถวายแก่ท่าน... แต่วันแล้ววันเล่าเขาก็ไม่ได้วัตถุสิ่งของอะไรที่จะถวายพระเถระเลย

ต่อมาวันหนึ่งเขาได้ข้าวปายาสเต็มถาด และผ้าสาฎกเนื้อหยาบผืนหนึ่งจากที่แห่งหนึ่ง
เมื่อกลับไปถึงบ้านจึงนึกถึงพระเถระขึ้นมาว่า ... เราควรจะถวายสิ่งของเหล่านี้แก่พระเถระ...
ในขณะเดียวกันนั่นเอง พระเถระซึ่งกำลังนั่งสมาธิเข้าฌานอยู่
เห็นพราหมณ์ในนิมิต และคิดว่า... ขณะนี้พราหมณ์ได้ไทยธรรมแล้ว และอยากถวายสิ่งของเหล่านั้นกับเรา เราควรจะไปที่นั่น... คิดดังนั้นแล้วจึงลุกขึ้นห่มผ้าจีวรพร้อมพาดสังฆาฏิ เดินอุ้มบาตรไปยืนอยู่ที่หน้าบ้าน ของพราหมณ์


ฝ่ายพราหมณ์เมื่อมองไปเห็นพระเถระยืนอุ้มบาตรอยู่หน้าบ้าน
ก็เกิดมีจิตเลื่อมใสเป็น อย่างยิ่ง จึงเข้าไปไหว้และนิมนต์ให้เข้าไปนั่งในบ้าน แล้วนำข้าวปายาสมาถวาย ขณะที่เขานำข้าวปายาสใส่ลงไปในบาตรอยู่นั้น พอใส่ไปได้ครึ่งหนึ่งพระเถระก็เอามือปิดบาตรไว้คิดว่าน่าจะพอแล้ว
เหลือไว้ให้พราหมณ์ได้กินบ้าง เพราะเขาเป็นคนจนไม่มีอะไรเลย แต่พราหมณ์กลับบอกว่า

... ข้าวปายาสนี้มีนิดเดียว ขอท่านจงสงเคราะห์ผมในโลกหน้าเถิด
อย่าสงเคราะห์ในโลก นี้เลย กระผมอยากจะถวายทั้งหมด...
กล่าวแล้ว พราหมณ์จึงตักข้าวปายาสทั้งหมดใส่ลงไปในบาตร
เมื่อพราหมณ์ใส่บาตรเรียบร้อยแล้วพระเถระก็นั่งฉันอยู่ที่บ้านของพราหมณ์นั่นเอง
หลังจากฉันเสร็จ พราหมณ์ก็นำผ้าสาฎกมาถวายอีก
แล้วตั้งความปรารถนาไว้ว่า
... ขอให้กระผมบรรลุธรรมเหมือนอย่างที่พระคุณเจ้าบรรลุเถิด...
พระเถระจึงให้พรว่า ... จงสำเร็จอย่างนั้น พราหมณ์...

จากอานิสงส์ที่ได้ถวายทานด้วยจิตที่เลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่ง
จึงทำให้เกิดความอิ่มอก อิ่มใจมาก
และพราหมณ์นี้ก็มีความเคารพรักในพระเถระยิ่งนัก
ดังนั้น เมื่อตายไปจึงไปบังเกิดในตระกูลของคนที่เป็นผู้อุปัฏฐากพระเถระ ในกรุงสาวัตถี

ในขณะที่มารดาของเขาตั้งครรภ์ นางได้งดการบริโภคอาหารที่ร้อนจัด
เย็นจัด และเปรี้ยวจัด เป็นต้น
ในเวลาแพ้ท้อง นางคิดว่า อยากจะนิมนต์ภิกษุสัก ๕๐๐ รูป
มีพระสารี-บุตรเถระเป็นประธานมาที่บ้านแล้วถวายข้าวปายาส แล้วตนเองก็บริโภคข้าวปายาสที่เหลือจาก
ที่พระฉัน นางได้ทำอย่างที่คิดนั้นความแพ้ท้องจึงสงบลง
เมื่อทารกคลอดออกมา พวกญาติจึงอาบน้ำให้แล้วให้นอนบนผ้ากัมพล
ที่มีราคาแพงถึง หนึ่งแสน และในวันนั้นก็ได้นิมนต์พระมาฉันภัตตาหารที่บ้าน
ทารกที่นอนอยู่บนผ้ากัมพลนั้นก็ได้แลดูพระเถระและคิดว่า
พระเถระนี้เป็นบุรพจารย์ของเรา เราได้สมบัตินี้เพราะอาศัยพระเถระนี้
เราควรจะทำบุญด้วยการบริจาคทานอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ท่าน

ดังนั้นในขณะที่พวกญาติอุ้มทารกไปรับศีลจากพระ
ทารกน้อยได้เอานิ้วก้อยเกี่ยวผ้ากัมพลนั้นไว้
พวกญาตินึกว่าผ้าไปเกี่ยวติดมือเด็กจึงเอาออก ทำให้ทารกร้องไห้
พวกญาติจึงพูดกันว่า ... พาไปที่อื่นเถอะ อย่าให้เด็กมาร้องไห้แถวนี้เลย...
แต่ก่อนจะพาทารกน้อยออกไป นั้นก็ได้พาไปกราบลาพระ
ขณะนั้นเอง ทารกก็ชักนิ้วมือออกจากผ้ากัมพล
ทำให้ผ้ากัมพลตกลงใกล้เท้าของพระเถระ พวกญาติจึงพูดขึ้นว่า
... ผ้านี้อันบุตรของพวกข้าพเจ้าถวายแล้ว จงเป็นอันบริจาคแล้วเถิด...

หลังจากนั้นต่อมาเมื่อทารกน้อยเจริญวัย อายุได้ ๗ ขวบ
จึงได้ขอบวชเป็นสามเณรใน สำนักของพระเถระ และกลายเป็นผู้มีลาภมากอย่างน่าอัศจรรย์
จากผลแห่งการทำทานใน อดีตชาติเมื่อครั้งยังเป็นพราหมณ์ผู้ยากจนนั่นเอง
ในครั้งหนึ่งชาวเมืองสาวัตถีทราบข่าวว่า สามเณรจะเข้าไปบิณฑบาต
ได้พากันจัดเตรียมข้าวปลาอาหารและผ้าสาฎกไว้ถวายสามเณร
จำนวนมากถึง ๕๐๐ ผืน ในวันต่อมาก็ได้ตามมาถวายถึงวัดที่สามเณรพักอย
ู่ซึ่งไม่ไกลจากวิหารอีก ๕๐๐ ผืน เป็นหนึ่งพันผืน

วันหนึ่งในช่วงฤดูหนาว สามเณรได้เที่ยวจาริกไปในวัดต่างๆ
เห็นพวกภิกษุพากันนั่งผิง ไฟอยู่ จึงเรียนถามว่า
... ท่านขอรับ เหตุไรจึงนั่งผิงไฟ ทำไมไม่หาผ้ากัมพลมาห่ม...

พวกภิกษุกล่าวว่า... สามเณร เธอมีบุญมาก มีผู้ถวายผ้ากัมพล แต่พวกเราไม่มีเลย...

สามเณรได้ฟังดังนั้นจึงคิดหาผ้ากัมพลมาถวายภิกษุทุกรูป
โดยสามเณรและพวกภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป ได้เดินไปตามหมู่บ้าน
มีชาวบ้านนำผ้ากัมพลมาถวายถึง ๕๐๐ ผืน
และเมื่อเดิน เข้าไปในตลาดก็มีพ่อค้าแม่ค้าเอาผ้ากัมพลมาถวายอีก ๕๐๐ ผืน

ในขณะที่สามเณรพาภิกษุเดินไปตามตลาดอยู่นั้น
มีชายตระหนี่คนหนึ่ง เมื่อรู้ว่าสามเณร และพวกภิกษุเดินมาทางบ้านของตัวเอง
จึงเอาผ้ากัมพลสองผืนซ่อนไว้ เพราะกลัวว่าเณรจะขอ
แต่พอสามเณรเดินมาถึงหน้าบ้าน เขาได้เห็นสามเณรก็เกิดความรักขึ้นมา
ราวกับว่าสามเณร น้อยเป็นบุตรของตน เขาจึงคิดว่า เราจะให้สามเณรนี้ทุกอย่าง
แล้วจึงไปเอาผ้ากัมพลสองผืนมาวางไว้แทบเท้าถวายแก่สามเณร
แล้วกล่าวว่า ... ท่านเจ้าข้า ขอผมพึงมีส่วนแห่งธรรมที่ท่านเห็นแล้ว...

สามเณรได้ทำอนุโมทนาแก่เขาว่า... จงสำเร็จอย่างนั้นเถิด...

หลังจากได้ผ้าครบแล้ว สามเณรจึงได้นำมาถวายแก่พระภิกษุทุกรูปตามที่ตั้งใจไว้
ต่อมาสามเณรรูปนี้ได้ไปปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง
ชาวบ้านบริเวณนั้นก็ให้ความอุปถัมภ์บำรุง เป็นอย่างดีเช่นเคย
และในสามเดือนต่อมาสามเณรก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

........
จะเห็นได้ว่า

สามเณรนั้นตอนที่ยังเป็นพราหมณ์ผู้ยากจน ได้ถวายสิ่งของเพียงเล็กน้อย แต่ผลบุญที่ได้นั้นมากมายยิ่งนัก
นั่นก็เพราะว่า

๑. ได้ทำบุญด้วยจิตที่เลื่อมใส

๒. ของที่ถวาย ก็ได้มาด้วยความบริสุทธิ์

๓. พระสงฆ์ที่รับก็เป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์

ทั้งสามองค์ประกอบนี้เป็น สิ่งสำคัญในการทำบุญตามหลักของพระพุทธศาสนา

หากจะทำบุญให้ได้บุญมากนั้นต้องมีองค์ประกอบทั้งสามนี้ครบ

เพราะการจะได้บุญมากหรือน้อย ไม่ได้อยู่ที่จำนวนวัตถุสิ่งของ


นอกจากนั้นการทำบุญในพระพุทธศาสนานั้น ยังมีอีกหลายวิธีที่ทำให้ผู้ทำบุญได้บุญมาก

โดยไม่ต้องใช้วัตถุสิ่งของใดๆเลย เพียงแต่ต้องลงมือปฏิบัติด้วยตัวเองเท่านั้น

เช่น

การทำบุญด้วยการรักษาศีล

ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา

ทำบุญด้วยการประพฤติถ่อมตนต่อผู้ใหญ่

ทำบุญด้วยการขวนขวายช่วยเหลือผู้อื่น

ทำบุญด้วยการให้ส่วนบุญแก่ผู้อื่น

ทำบุญด้วยการอนุโมทนาในบุญที่ผู้อื่นทำ ทำบุญด้วยการฟังธรรม ทำบุญด้วยการบอกธรรมะแก่ผู้อื่น

และทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง

วิธีต่างๆ ทั้งหมดนี้ เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ เป็นหลักการทำบุญในพระพุทธศาสนา

ซึ่งผู้ที่ไม่มีเงินทอง วัตถุสิ่งของอะไร ก็สามารถทำบุญได้

และเป็นบุญที่ให้ผลบุญมากๆ เช่นเดียวกัน

จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#4 Tree

Tree
  • Members
  • 2076 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 September 2008 - 10:17 AM

สาธุครับ

#5 eq072

eq072
  • Members
  • 504 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 September 2008 - 02:26 PM

จริง ๆ เรื่องนี้ มีทั้งแง่ + และ - เหมือนเรื่องพระเวสสันดร ตอนบริจาคลูก-เมีย

จะลบกระทู้ก็ได้นะครับ

#6 pm.nipon

pm.nipon
  • Members
  • 24 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 September 2008 - 03:16 PM

happy.gif ท่านผู้รู้ทั้งหลายบอกว่า

ผู้ให้ของรัก ย่อมได้ของรัก
ผู้ให้ของชอบใจ ย่อมได้ของชอบใจ
ผู้ให้ของประเสริฐ ย่อมเข้าถึงฐานะอันประเสริฐ

อยากรวย ต้องหมั่นให้ทาน
อยากสวยอยากหล่อ ต้องหมั่นรักษาศีล
อยากมีปัญญามาก ต้องหมั่นเจริญภาวนา

ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ใสๆน่ะ แล้วจะได้ดีเอง...สาธุ ๆ ๆ อนุโมทนาบุญด้วยน่ะ happy.gif
หยุด เป็นตัวสำเร็จ

#7 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 05 September 2008 - 04:11 PM

การให้นั้น อย่างไรก็เป็นสิ่งประเสริฐครับ ผู้ให้ของชอบใจ ย่อมได้ขอบที่ชอบใจ

การที่เราบอกว่า ไม่ควรเสนอเรื่องพระเวสสันดร บริจาคลูกเมียออกไป หรือ เรื่องราวการทำทานมากๆ ออกไป เพราะอาจทำให้ผู้คนสมัยนี้ต่อต้าน เพราะไม่เข้าใจ หรืออาจทำให้บางท่านน้อยเนื้อต่ำใจว่า ไม่สามารถบริจาคลูกเมียดังเช่นพระเวสสันดรได้ หรือไม่สามารถบริจาคทานมากๆ ดังเช่น ตัวอย่างในเรื่องได้

ผมกลับเห็นเป็นตรงกันข้ามครับ เพราะสิ่งที่ถูกต้องย่อมต้องนำเสนอครับ ต้องอธิบายออกไป เมื่อเขาไม่เข้าใจเราก็ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจ

หรือ เขาอาจน้อยใจ เราก็ต้องชี้แจงให้เขาทราบว่า ไม่ควรน้อยใจ แต่ควรทุ่มเทใจ ทำให้ได้เช่นนั้นบ้างในอนาคตต่างหาก เพราะเรื่องราวดีๆ ของการบริจาคทานระดับ 1 M จึงทำให้เกิด เจ้าหญิงถั่วงอก และเจ้าชายปลาทู หรือ เจ้าหญิงเจ้าชายน้ำแข็งขึ้นมา นั่นคืือ ตัวเขาเองเดิมทีก็แค่ขายถั่วงอก ขายปลาทู ขายน้ำแข็ง แต่พอเห็นคนทำ 1 M แทนที่พวกเขาจะคิดน้อยใจว่า ฉันคงทำไม่ได้ แต่พวกเขากลับคิดว่า เขาต้องทำอย่างนั้นบ้างให้ได้ พอคิดจะทำ ปัญญาก็จะเกิด หากเขายังคงน้อยใจต่อไป ปัญญาพวกเขาก็ไม่เกิดครับ แล้วในที่สุดพวกเขาก็ทำได้

กรณีการทำทาน เป็นเรื่องการบริจาคทรัพย์ จึงอาจทำให้ผู้คนเห็นเป็นตรงกันข้าม แต่ถ้าเป็นกรณีคนเรียนเก่ง พวกเราจะเข้าใจกันได้ชัดเจนครับ

สมมุติเด็กไทยเรียนเก่ง สอบได้ที่หนึ่งของประเทศ หรือของโลก พวกเราคิดสมควรจะเสนอเรื่องราวของพวกเขาหรือเธอ ออกสู่สาธารณชนหรือไม่

แน่นอน ทุกคนในสังคมยุคนี้ย่อมเห็นพ้องต้องกันว่า ย่อมต้องสมควรเสนอเรื่องราวของพวกเขาหรือเธอ ออกสู่สังคมภายนอกให้ได้รับรู้

หากมีใครมาเสนอความเห็นในทางตรงข้ามว่า อย่าเสนอของเด็กเรียนเก่งเลย เดี๋ยวจะทำให้เด็กหัวช้า น้อยใจที่ตนเรียนไม่เก่งเลยไม่ได้รับชื่อเสียง

หากมีใครมาพูดเช่นนั้น ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่กลับเห็นตรงข้ามว่า ขอเสนอเรื่องของเด็กเรียนเก่งออกไปต่างหาก จะยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนอยากเรียนเก่งเช่นนั้นบ้าง เป็นต้น

ในเรื่องการบริจาคทานก็เช่นเดียวกันครับ ฉัีนใด ก็ฉันนั้น
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#8 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 05 September 2008 - 04:57 PM

ตอบได้ชัดเจนจริงๆ ค่ะ หมดข้อกังขา สาธุ สาธุ สาธุ โดย....คุณหัดฝันอีกแล้วววว (วันนี้อ่านมาหลายกระทู้)

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป


#9 homer324

homer324
  • Members
  • 522 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 September 2008 - 05:27 PM

เข้ามาแซ่สร้องสาธุการด้วยคนคร้าบบบบ..

อนุโมทนาทั้งเจ้าของกระทู้และเพื่อนๆสมาชิกคร้าบบบ..

#10 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 05 September 2008 - 09:05 PM

อนุโมทนา ในธรรมทาน ของทุกท่าน ครับ สาธุ

เท่าที่อ่านดู
อานิสงส์ปิดทองพระพุทธรูป ของพระเจ้ามหารถราช
http://www.84000.org/anisong/39.html
ที่เจ้าของกระทู้นำมาแสดง

และเรื่องพระสารีบุตรอนุเคราะห์พราหมณ์ผู้ยากจน
ที่ koonpatt นำมาแสดงนั้น

สมควรสาธุการแล้วครับ

ผมเข้าใจว่า ที่ koonpatt กล่าวว่า
มองที่เจตนาเป็นสำคัญเถิด

เธอ ไม่ได้ห้ามเรื่องการบริจาคจำนวนมาก ๆ
และเธอคงไม่ได้ห้าม การนำเสนอเรื่องอานิสงส์ของบุญ ที่เป็นอจินไตย
และเธอคงไม่ได้ห้ามการนำเสนอการทุ่มเทสร้างบารมี ที่ควรสรรเสริญ หรอกกระมังครับ

แต่เธอห่วงนักบุญทุนน้อย หัวใจเต็มร้อย ที่อาจไม่ปลื้มใจในสิ่งที่ตนองทำได้
เพราะเลือกคิดในเชิงลบเ่ท่านั้น

มนุษย์เรา มีศรัทธา ศีล ทิฎฐิ จาคะ ปัญญา
ยังไม่เสมอกับพระบรมโพธิสัตว์
แม้นักสร้างบารมีแต่ละท่านในยุคนี้
ก็เป็นธรรมดาที่ระดับความเข้มข้น ความทุ่มเท
ในการละชั่ว ทำความดี การกลั่นใจให้ใส จะต่างกันบ้าง

ใครทุ่มเทในการสร้างบารมี ผมขออนุโมทนา ในกุศลกรรมนั้นด้วย
โดยสรุป คือ
ที่เจ้าของกระทู้ นำอานิสงส์ปิดทองพระพุทธรูป ของพระเจ้ามหารถราช
และเรื่องพระสารีบุตรอนุเคราะห์พราหมณ์ผู้ยากจน
ที่ koonpatt นำมาแสดง
และทัศนะมุมมองที่พี่ หัดฝัน ขยายความนั้น
สมควรแก่ การอนุโมทนา สาธุการ ครับ
ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#11 usr16818

usr16818
  • Members
  • 6 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 September 2008 - 10:23 PM

ต้องร่วมบุญเป็นทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณค่ะ

#12 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 06 September 2008 - 08:57 AM

อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ สาธุ

#13 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 06 September 2008 - 09:17 AM

ขอบพระคุณคุณ Dd2683 ค่ะ ที่เข้าใจเจตนาของ koonpatt

การนำเสนอเรื่องการทำบุญ เป็นเรื่องที่ ดี ที่สุดแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญ โดยวิธีใดก็ตาม หรือ ด้วยวัตถุทาน ใดๆ ก็ตาม

เพียงแต่ว่า ที่ koonpatt มีข้อเสนอว่าอยากให้มองที่เจตนาของการทำบุญนั้น

เพราะไม่อยากให้เกิด ความคิดด้านลบ ทั้งต่อบุคคลทั่วไปที่ได้เข้ามาอ่าน

และ พี่น้องทั้งหลายที่เข้าวัดอยู่เป็นประจำ

ซึ่งหลายๆ ครั้งที่ได้อ่านกระทู้ที่แสดงความเสียใจ

ว่า ทำบุญเต็มกำลังแล้ว แต่เหตุใด จึงยังไม่เป็นที่พอใจของกัลยาณมิตรที่ทำมากกว่า

จึงอยากให้กำลังใจผู้ที่กำลังน้อย แต่ใจใหญ่ และมีความทุ่มเทน่ะค่ะ

koonpatt ทำงานในธุรกิจแบบครอบครัว

ตัว koonpatt เอง เป็นหลานของเจ้าของกิจการ ก็ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนน่ะค่ะ

แต่ด้วยความที่เราอยู่ตรงกลางพอดี คือ มีรายได้มากว่า พนักงานทั่วไป แต่ไม่ใช่เจ้าของไงคะ

จึงทำให้เห็นค่อนข้างชัด ระหว่าง คนที่มีกำลังน้อยกว่าเรา คนในสังคมที่มีรายได้พอๆ กับเรา

และคนที่มีรายได้มาก ๆ

พนักงานของที่บ้าน บางคนใส่บาตรทุกเช้า อาหารคาวหวานครบ แต่ไม่ค่อยทำบุญด้วยเงิน

เพราะ ลูกก็กำลังเรียนหนังสือ และต้องเลี้ยงพ่อแม่

พนักงานบางคน เข้ากะเช้า มาทำงานแต่เช้ามืด ไม่ค่อยมีโอกาสใส่บาตร แต่ถึงวันพระก็งดเนื้อสัตว์

ไปวัดเพื่อทำบุญในวัดหยุดบ้าง

พนักงานบางคน ไม่ค่อยมีโอกาสทำบุญ เพราะ รายได้ของตัวเอง ก็เลี้ยงครอบครัวแทบไม่พอ

ก็จะพยายามอธิบายให้เค้าเข้าใจว่า การทำบุญทำได้หลายวิธี ปัจจัยเราไม่พร้อม

ก็ใช้กายและใจทำไปก่อนได้ (เช่นปรนนิบัติ ดูแล พ่อ แม่ งดอบายมุข รักษาศีล)

เมื่อพร้อม แล้วจึงทำ

ในขณะที่ คนที่มีเงินมากๆ บางคน ก็ทำบุญที่ละมากๆ แต่ทำแบบว่า

ก็ทำๆ ไป ไม่เดือดร้อนอะไร เค้ามาบอกบุญก็หยิบให้ไป เหมือนให้เงินลูกไปซื้อขนม

ถ้าคนมีหน้ามีตาในสังคมมาบอกบุญ ก็ให้เยอะๆ เพราะจะได้ไม่เสียหน้า หรือ ไม่น่าเกลียด

ถ้าชาวบ้านมาบอกบุญ ก็ให้น้อย หรือไม่ก็ไม่ให้

จึงเห็นว่า เจตนาและความตั้งใจนี่ ยิ่งใหญ่นัก

ส่วนตัว koonpatt ชื่นชม กับบุญทุกบุญ ที่ทุกท่านได้ทำค่ะ

ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ใดๆเลย

ก็เลยอยากให้กำลังใจคนที่

ทุนน้อย แต่ใจใหญ่ น่ะค่ะ

ขออนุโมทนากับทุกท่าน ที่มีความตั้งใจอันเป็นบุญ เป็นกุศลด้วยนะคะ

สา...ธุค่ะ







จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#14 eq072

eq072
  • Members
  • 504 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 September 2008 - 09:44 AM

สาธุ ๆ ของอนุโมทนากับทุกท่านเลยนะครับ

#15 kasaporn

kasaporn
  • Members
  • 870 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 September 2008 - 05:45 PM

คุณหัดฝันอุปมาได้เห็นภาพชัดเจนมากค่ะ อนุโมทนาบุญนะคะ

#16 เศรษฐีหน้าใส

เศรษฐีหน้าใส
  • Members
  • 177 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 September 2008 - 11:43 AM

ผมจนมาก่อน เข้าใจการทำบุญทำทานอย่างลึกซึ้งครับ ผมว่ามีทรัพย์น้อยก็ทำน้อย แต่ต้องทำ เพราะไม่เช่นนั้น โอกาสที่ทานบารมีจะส่งผล จะไม่มีโอกาสครับ เช่นเรามีเนื้อนาบุญที่ดีแล้ว แต่ไม่หว่านกล้าลงไป คอยแต่ใส่ปุ๋ย พรวนดิน ผลสุดท้ายก็ไม่มีเมล็ข้าวเกิดขึ้น เหตุเป็นอย่างไร ผลเป็นอย่างนั้นครับ ผมเริ่มทำบุญตั้งแต่ ๑๐ บาทเท่านั้นเอง ใครทำมากกว่า๑๐ บาท ก็แสดงว่าดีกว่าผมแล้ว ต่อไปก็ต้องได้รับอานิสงฆ์ อย่างน้อยก็มหาเศรษฐีแหละ สาธุ