ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

จุดเริ่มต้น-สิ้นสุด แห่งสังสารวัฎไม่มี


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 4 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ลูกพระพุทธ

ลูกพระพุทธ
  • Members
  • 136 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 December 2008 - 04:34 PM

มีแต่พระนิพพานเท่านั้น คือจุดหลุดจากสังสารวัฎ ให้เกิดภพเกิดชาติพวกนี้

" ข้าแต่พระนาคเสน อะไรเป็นมูลแห่งกาลนาน อันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ? "

พระเถระตอบว่า

" ขอถวายพระพร อวิชชา เป็นมูลแห่งกาลนาน อันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เพราะว่า อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิด สฬายตนะ สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิด อุปาทาน อุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิด ภพ ภพ เป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ ชาติ เป็นปัจจัยให้เกิด ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ( ตั้งแต่ อวิชชา มาถึง อุปายาส รวมเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ) เป็นอันว่า ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ปุริมโกฏิ คือที่สุดเบื้องต้นแห่งกาลนานย่อมไม่ปรากฏ "

พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขถูกต้องดีแล้ว "
-----------------------------------------------------

ปัญหาที่ ๒ ถามที่สุดเบื้องต้นแห่งสงสาร

" คำที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า " ปุริมโกฏิไม่ปรากฏนั้น " โยมยังสงสัยอยู่ อะไรเป็นปุริมโกฏิ กาลนานอันอันเป็นอดีตนั้นหรือเป็นปุริมโกฏิ ? "

" มหาราชะ ปุริมโกฏินั้นแหละ เป็นกาลนานอันเป็นอดีต "

" ข้าแต่พระนาคเสน เพราะเหตุไรปุริมโกฏิจึงไม่ปรากฏ ? "

" ขอถวายพระพร ปุริมโกฏิบางอย่างก็ปรากฏ บางอย่างก็ไม่ปรากฏ "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อย่างไหนปรากฏอย่างไหนไม่ปรากฏ ? "

" ขอถวายพระพร สิ่งทั้งปวงที่ไม่เคยมีเบื้องต้นปรากฏเลย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา อันนี้แหละ เรียกว่า ปุริมโกฏิ คือที่สุดเบื้องต้นไม่ปรากฏ อีกประการหนึ่ง สิ่งที่ไม่เคยมีมามีขึ้นมีขึ้นแล้วกลับหายไป อันนี้แหละเรียกว่า ปุริมโกฏิ คือที่สุดเบื้องต้นปรากฏ "

" ข้าแต่พระนาคเสน ข้อที่ว่า ที่สุดเบื้องต้นไม่ปรากฏนั้น จะเปรียบเหมือนด้วยสิ่งใด ขอนิมนต์อุปมา"

อุปมาด้วยพืช

http://www.dharma-ga...-index-page.htm



อุปมาด้วยแม่ไก่

" มหาราชะ ไข่ออกจากแม่ไก่ แม่ไก่ออกมาจากไข่ ไข่ก็ออกมาจากไก่อีก ที่สุดแห่งการสืบต่อแห่งไก่นี้มีอยู่หรือไม่ ? "

" ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ที่สุดเบื้องต้นแห่งกาลนานไม่ปรากฏ "

" ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก "

--------------------------------------------------------------------------------------------
งานวิจัยชีวิตกับสังสารวัฎ (บางส่วน) จากท่านผู้รู้

http://www.thaimisc....v...&topic=7730



http://www.thaimisc....v...&topic=8821

พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่สอนให้รู้จักเหตุผลแห่งชีวิตซึ่งเป็นส่วนวัฏฏะ คือ ส่วนให้รู้จักการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสงสาร และเหตุผลส่วนวิวัฏฏะเป็นส่วนที่อยู่เหนือการเวียนว่ายตายเกิด อันได้แก่ พระนิพพาน

ปฏิจจสมุปบาท หมายถึง หลักการที่ว่าด้วยระบบการกำเนิดแห่งชีวิต


ชีวิตประกอบขึ้นจากส่วนสำคัญ ๕ ส่วน เรียกว่า ขันธ์ ๕ อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือเรียกโดยย่อว่า รูปธรรมและนามธรรม หรือเรียกว่ารูปขันธ์และนามขันธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดดับอยู่ทุก ๆ ขณะ จึงเป็นอนิจจังคือเป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน คงทนไม่ได้ ถือไว้ไม่ได้ ดูแลไม่ได้ ให้ความสุขไม่ได้ เพราะดับไปแล้วจึงเป็นทุกขัง เป็นสิ่งไม่คงทนเป็นของเปล่า และเป็นอนัตตา คือเป็นสิ่งที่ปราศจากอัตตาคือตัวตน

ด้วยเหตุนี้ตามหลักปฏิจจสมุปบาท พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ชีวิตนี้คือกองทุกข์ ฉะนั้น ชีวิตนี้จึงได้แก่ความทุกข์ไม่มีสุขที่ไหนเลย (ในพระสัทธรรม พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์) แม้บางครั้งเมื่อได้รับความสบายกาย ได้รับความสบายใจ สิ่งที่เป็นความรู้สึกสบายกายสบายใจ ก็ไม่ใช่อะไรที่ไหนก็คือทุกข์ที่เบาบางลง มันอ่อนตัวลงเท่านั้นเองมันยังไม่แก่ คือความสุขที่อ่อนตัวลง มันยังไม่งอมเหมือนยังเมื่อยไม่มากนั่นเอง ที่เรียกว่าสุขคือสุขในกองทุกข์อันได้แก่สุขเวทนานั่นเอง


ฉะนั้นสุขเวทนา แปลโดยสภาพปฏิจจสมุปบาทคือ สุขในกองทุกข์ ทุกข์เท่านั้นแหละเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นแหละตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นแหละดับไป ไม่มีอะไรเกิดนอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับนอกจากทุกข์ ว่าตามหลักปฏิจจสมุปบาท ชีวิตที่เป็นมา เป็นอยู่ และเป็นไปตามกฎแห่งเหตุผลไม่มีใครมาสร้างหรือกำหนดให้เกิดขึ้น กำหนดให้อยู่และกำหนดให้ไป แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เป็นอยู่และเป็นสิ่งที่เป็นไป โดยสัมพันธ์กันเป็นลูกโซ่แห่งเหตุและผล คือ ลูกโซ่แห่งสังสารวัฏฏ์ นั่นเอง



ในพระไตรปิฎกไม่มีการกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของสังสารวัฏ สำหรับเรื่องนี้พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ดังนี้ครับ
"สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ"

อ่านเพิ่มเติมได้ที่พระสูตรที่ยกมาด้านล่างครับ

--------------------

๑. ติณกัฏฐสูตร

[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น
เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ
ไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ
[๔๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัดทอนหญ้า ไม้
กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็น
มัดๆ ละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่า นี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดา
ของเรา โดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้นไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่า หญ้า
ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชา
เป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้น
ย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูน
ปฐพีที่เป็นป่าช้า ตลอดกาลนาน เหมือนฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียง
เท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อ
จะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๑

๒. ปฐวีสูตร

[๔๒๓] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น
เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ
ไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ
[๔๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษปั้นมหาปฐพีนี้ให้เป็น
ก้อน ก้อนละเท่าเม็ดกระเบาแล้ววางไว้ สมมติว่า นี้เป็นบิดาของเรา นี้เป็นบิดา
ของบิดาของเรา โดยลำดับ บิดาของบิดาแห่งบุรุษนั้นไม่พึงสิ้นสุด ส่วนมหาปฐพี
นี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุด
เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวย
ทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้า ตลอดกาลนาน
เหมือนฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่าย
ในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๒

๓. อัสสุสูตร

[๔๒๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้อง
ต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน น้ำตาที่หลั่ง
ไหลของพวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอ
ใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนี้ กับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔
สิ่งไหนจะมากกว่ากัน ฯ
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ ย่อมทราบ
ธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า น้ำตาที่หลั่งไหลออกของพวกข้า-
พระองค์ ผู้ท่องเที่ยวไปมา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะการประสบสิ่งที่ไม่พอใจ
เพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนี้แหละ มากกว่า ส่วนน้ำใน
มหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ฯ
[๔๒๖] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละๆ พวกเธอทราบธรรมที่เรา
แสดงแล้วอย่างนี้ ถูกแล้ว น้ำตาที่หลั่งไหลออกของพวกเธอ ผู้ท่องเที่ยวไปมา ฯลฯ
โดยกาลนานนี้แหละ มากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย พวก
เธอได้ประสบมรณกรรมของมารดาตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอ
เหล่านั้น ผู้ประสบมรณกรรมของมารดา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่ง
ที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละ มากกว่า ส่วนน้ำใน
มหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของบิดา ... ของ
พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว ... ของบุตร ... ของธิดา ... ความเสื่อมแห่งญาติ ...
ความเสื่อมแห่งโภคะ ... ได้ประสบความเสื่อมเพราะโรค ตลอดกาลนาน น้ำตา
ที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น ผู้ประสบความเสื่อมเพราะโรค คร่ำครวญร้องไห้
อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละมาก
กว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุ
เพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด
พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๓

๔. ขีรสูตร

[๔๒๗] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น
เบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน น้ำนมมารดาที่
พวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมาอยู่โดยกาลนานนี้ ดื่มแล้ว กับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔
ไหนจะมากกว่ากัน ฯ
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ย่อม
ทราบธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว น้ำนมมารดาที่พวกข้าพระองค์ผู้
ท่องเที่ยวไปมาอยู่โดยกาลนาน ดื่มแล้วนั่นแหละ มากกว่า น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔
ไม่มากกว่าเลย ฯ
[๔๒๘] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละๆ พวกเธอทราบธรรมที่เรา
แสดงแล้วอย่างนี้ ถูกแล้ว น้ำนมมารดาที่พวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมาอยู่โดยกาลนาน
ดื่มแล้วนั่นแหละ มากกว่า น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ข้อนั้นเพราะ
เหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ พอเพื่อจะ
หลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๔

จาก : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎกที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค

#2 Boontomak

Boontomak
  • Members
  • 431 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 December 2008 - 07:09 AM

สาธุ
ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ยายทำ ยายก็ได้ คุณก็ไม่ได้ คุณทำคุณก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ทำมากๆ ไว้ก่อน เราทำทุกๆ วัน "ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าวัดตลอดชีวิต"

#3 ดอกอุบล

ดอกอุบล
  • Members
  • 926 โพสต์

โพสต์เมื่อ 14 December 2008 - 08:23 AM

สาธุ...อนุโมทนาบุญ ไม่มีใครรู้เท่าพระพุทธเจ้าไม่มีอีกแล้ว พระพุทธเจ้ารู้ทุกสิ่งหาที่สุดไม่ได้ ไม่มีสิ่งไหนที่พระพุทธเจ้าไม่รู้

#4 จอมเทพ

จอมเทพ
  • Members
  • 466 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 December 2008 - 01:30 PM

เยี่ยมครับ
กุญแจวิเศษ

#5 ปานสิญา

ปานสิญา
  • Members
  • 128 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 December 2008 - 10:26 PM

อนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ
 "ไม่มีอะไรใหม่  ต้องแสวงหาอีกแล้ว  เพราะใจของฉัน  มีพระแก้วใส"