เด็กเทศว่าพุทธศาสนาโกหก
#1
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 12:30 PM
จะตอบอย่างไร เมื่อเด็กในต่างประเทศว่า"พุทธศาสนาโกหก ว่าพระพุทธเจ้าเกิดจากท้องแม่ใหม่ๆก็เดินได้ 7 ก้าว เป็นไปไม่ได้"
#2
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 12:44 PM
มันก็เหมือนกับที่เลือดของใครบางคน รักษาโรคได้ บางคนก็ตายแล้วฟื้นขึ้นมาได้อีก บางคนตั้งท้องได้โดยไม่ต้องมีสามี บางคนเก่ากว่านั้น แหวกน้ำทะเลได้อีก เรื่องราวเหล่านี้เอามาสร้างเป็นภาพยนต์ไม่รู้กี่เรื่อง
เรื่องทั้งหมด มีอยู่ในประวัติศาสตร์ของโลก สุดแล้วแต่ใครที่จะเลือกฟัง เลือกศัทรา เลือกจับผิดวิจารณ์เรื่องใดๆเป็นเรื่องของใครของมันครับ เราได้แต่เป็นเพียงผู้แก้ต่างแทนพระศาสนาอย่างแยบคาย
#3
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 12:53 PM
#4
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 01:14 PM
ในพระพุทธศาสนา เรามีเรื่องปาฏิหารย์ มากมาย รอการพิสูจน์ ด้วยการทำใจหยุดนิ่ง ...
#5
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 01:46 PM
#6
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 02:39 PM
#7
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 03:16 PM
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)
#8
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 03:55 PM
คุณครูไม่ใหญ่ ที่ท่านเคยกล่าวว่า เรื่องพุทธานุภาพเป็นอจินไตย คนปัจจุบันคิดไม่ออกว่าเป็นไปได้อย่างไร
ก็นะ......ทำหน้าที่กันต่อไป บอกเล่าเรื่องบุญ บาป ให้เขาฟัง ถ้าทำเต็มที่แล้วเขาไม่เชื่อ ก็วางเขาไว้ก่อน ทำต่อไป
อย่าหยุด แล้วค่อยมาชวนเขาใหม่ ทำเสมอต้นเสมอปลายกับเขา สักวันหนึ่งทุกอย่างจะดีขึ้นค่ะ น้ำใสเชื่ออย่างนั้น
ขอเป็นกำลังใจให้ชาว DMC ทุกท่านค่ะ
เหมือนดอกบัวทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เปิดกลีบรับแสงตะวันธรรม
น้อมนำสู่วิถีอันดีงาม
#9
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 04:04 PM
#10
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 04:07 PM
อเมริกาประเทศเดียวก็๑๐ล้านคน ถึงจะยังไม่ใช่วิธี๐๗๒ แต่ก็ฝึกให้สงบจิตได้ระดับนึง
อนาคตเมื่อพวกเราไปแนะนำ๐๗๒แล้ว เขาก็จะไปได้เร็วกว่าไม่มีพื้นเลย
สมาธิ๐๗๒เป็นของกลาง ทุกศาสนาก็นั่งได้ เมื่อนั่งแล้วใจละเอียดมากๆและมีประสบการณ์ภายในแล้ว
ถึงตอนนั้น สอนพุทธประวัติ ฯลฯ เขาก็จะเข้าใจและเชื่อในที่สุดเอง เพราะใจละเอียดมากขึ้นแล้ว
ดังนั้น สอนเขาทำสมาธิ๐๗๒เพื่อพัฒนาสมอง,หน้าตาอ่อนวัย,ใจสบายคลายเครียด,ไปก่อนเป็น"ขั้นตอนที่หนึ่ง"ครับ
#11
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 05:14 PM
เด็กเทศ คงไม่รู้ว่า ธาตุธรรมขอพระเดชพระคุณหลวงปู่จากปากของปู่ผง ท่านเล่าว่า ตอนเด็กๆท่านไม่เคยร้องซักแอะ (อาจารย์ที่เป็นคนบรรยายการก่อสร้างวิหารหลวงปู่ท่านเล่าให้ฟัง)
เด็กเทศคงไม่เคยเห็นหลวงปู่นั่งสมาธิบนท้องฟ้า ในวัดปิดพระแกนกลาง หรือโป้งหลวงพ่อ เหนือโบสถ์วัดบางคูเวียง(พี่สาวเห็นมากับตา)
เด็กเทศ คงไม่เคยเห็น หน้าหลวงปู่บนท้องฟ้า แบบที่ป้าองุ่นเห็นบริเวณลานธรรม หรือ เห็นภูเขาทองผุดขึ้นบนท้องฟ้า แล้วเคลือนเข้าไปในยอดของมหาธรรมกายเจดีย์แบบที่น้าหงุ่นได้เห็นเช่นกัน
เสียดายเด็กเทศ ไม่ได้เกิดมาในพุทธศาสนา ไม่ได้มานั่งปฏิบัติธรรม บำเพ็ญบุญ
ขอให้เด็กเทศ เหล่านั้น มานั่งธรรมมะ แล้วคำถามเรื่องที่ว่ามานั้น
เด็กเทศ จะถามตัวเองว่า ถามไปได้ยังงัยยยยย
เลือกเอา ใจใสๆ
#12
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 05:41 PM
บอกไม่เชื่อก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง
#13
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 06:28 PM
เพราะอะไร ก็เพราะว่าเขามองออกแค่ว่าท่านเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่ง เหมือนยังกับเขา เขาไม่ได้มองไปเลยกว่านั้น o.ไหม เช่นกัน หากเด็กน้อยคนนั้นเอาพระพุทธเจ้ามาเปรียบเทียบกับคนธรรมดา ยังไงๆ เจ้าเด็กน้อยคนนั้น ก็ไม่มีวันที่จะคิดออกหรอกครับ ว่ามันจะเป็นได้ยังไง o.ไหม ที่เขาจะเชื่อ คือ
1. พิสูจน์ได้
2. มีคนทำได้
3.มีเหตุ มีผลรองรับ (ชัดเจน)
กรณีของเราจัดว่ามีเหตุมีผลไหม ก็ต้องขอตอบว่ามี แต่มันเป็นเหตุผลในระดับ ผู้มีรู้มีญาณเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้ ว่ามันมีเหตุเป็นเช่นนี้ จึงมีผลเป็นเช่นนั้น ดังนั้นที่เขาบอกไม่เชื่อ จึงถูก(สำหรับเขา) เพราะว่าเขาเอาเหตุและผลแบบชาวโลกมาจับประเด็นกัน
ก็ต้องปล่อยให้เขาคิดเลื่อยเปลื่อยกันไปสักพักหนึ่งบ้าง เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกที่จะดื้อดันเขาว่า เฮ้ย!มันเป็นอย่างนั้นจริงๆนะ นี่ไงเขาบัณทึกไว้ในพระไตรปิฎกตั้ง 2500 กว่าปีนู้นแนะ you เห็นไหม แม้กางหนังสือให้เขาดูจนหมดตู้ คุณเชื่อไหมว่า ยังไงๆเขาก็ไม่เชื่อหรอกครับ จนกว่าเขาจะได้มาศึกษาด้วยตัวเขาเองก่อน เขาถึงจะรู้ว่า บุคคลที่เขาพูดถึงนั้น เป็นใคร มาจากไหน มีคุณสมบัติอย่างไร ทำหน้าที่อะไรนู้นแหละครับ เขาถึงจะเข้าใจ
ของอย่างนี้พระพุทธองค์ก็ได้ทรงตรัสไว้แล้วว่า มันเป็นอจินไตย คือไม่ใช่เรื่องที่ควรคิด เพราะจะมีส่วนแห่งความเป็นบ้าได้ แต่เราจะไปบอกเขาอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ เขาไม่เข้าใจหรอก เพราะที่จะเข้าใด้เหมือนอย่างเราๆได้นั้น ก็คือ
1. เขาต้องเชื่อเรื่องการเวียนว่าย ตายเกิด
2. เขาต้องเชื่อเรื่อง บุญ บาป
3. เขาต้องศึกษาเรื่องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากพอ
แล้วถามต่อไปว่า เอ้าแล้วชาวพุทธเราทำไมถึงได้เชื่อเช่นนั้นละ ไม่มงมงายรึ! ไม่งมงาย...ทำไมละ? ก็เพราะว่า ก่อนที่เราจะหมดความสงสัยได้นั้น เราก็ผ่านการทำทั้งสามข้อที่ว่านั้นมาแล้วไง
ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำ ในฐานที่เราเป็นลูกของพระตถาคตก็คือ......เราต้องไปทำหน้าที่เป็นแสงสว่างให้กับเขา เพราะการที่มีคำถามเช่นนี้เกิดขึ้นมา ก็แสดงว่า การเผยแผ่ของเรายังไปไม่ทั่วถึง
"เหมือน ชายหนุ่มแอบรักหญิงสาว หญิงสาวแอบรักชายหนุ่ม แต่ก็ไม่เคยๆ ที่จะบอกรักเขาซักที ต่อให้แอบรักเขาอยู่เป็นหลายล้านปี เขาก็ไม่อาจที่จะรู้ได้"
ถ้าเราคิดแต่ว่า เราอยากที่จะให้ชาวโลกได้พบกับสันติสุขภายในที่แท้จริง แต่เราก็ไม่เคยที่จะบอกให้เขารู้เลย วันนั้น วันไหนละครับจะมาถึง วันนี้จึงได้เจอคำถามเช่นนี้ไงละครับ และคงจะเจออีกมากกมาย ถ้าผู้รู้ยังอยู่เฉยๆ
กุญแจวิเศษ
#14
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 07:44 PM
แปลกแต่จิงเด็กแรกเกิดพูดได้ 13 ภาษา
ถ้าอย่างนี้เกิดขึ้นจริง เรื่องเดินได้ตั้งแต่แรกเกิด ก็เป็นไปได้เหมือนกัน
(ปล. ยังไม่ได้เปิดดูนะคะ copy link มาฝากเฉยๆ เพราะที่ทำงาน block ไว้ค่ะ)
ลองเอาอันนี้ไปเป็นตัวอย่างนะคะ
#15
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 08:59 PM
เรื่องพุทธวิสัยเป็นหนึ่งในอจินไตย
หากนำความรู้ในทางโลกมา เขาย่อมเชื่อว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์คนใดเกิดมาแล้ว สามารถเดินได้ 7ก้าว และเปล่งวาจาได้ทันที
หากเริ่มศึกษาทางธรรมจนเข้าใจ เกิดความรู้เรื่องการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วบังเกิดศรัทธา ประกอบกับพบผู้รู้ ก็จะเริ่มทำความเข้าใจว่า บารมีเต็มเปี่ยมเป็นอย่างไร...มหาวิโลกะนะคืออะไร...มหาปุริสลักษณะ32 มีความพิเศษอย่างไร...อะไรคือบุพกรรม...ฯลฯ
ไฟล์แนบ
#16
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 11:26 PM
#17
โพสต์เมื่อ 15 October 2008 - 11:42 PM
ถึงจะศรัทธาอย่างจริงใจ แล้วจะรู้ได้ด้วยตัวท่านเอง
ด้วยวิธีการง่ายๆ ด้วยการทำใจให้หยุดนิ่ง
</a>
#18
โพสต์เมื่อ 16 October 2008 - 09:02 AM
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#19
โพสต์เมื่อ 16 October 2008 - 04:42 PM
#20
โพสต์เมื่อ 17 October 2008 - 12:33 AM
น่าจะเริ่มด้วยอะไรที่เป็นพื้นฐานก่อน หรือเราต้องสังเกตว่าเด็กในต่างประเทศเป็นเช่นไร ลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร ก็คงต้องเลือกอะไรที่ตรงกับอุปนิสัยของเขาก่อนที่จะอธิบายเรื่องที่ลึกซึ้ง ถ้าไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นถียงกันไปมาสรุปไม่ลง
แนะนำให้หาหนังสือ หรือพระธรรมเทศนา ของหลวงพ่อทัตตะ ที่เทศนาถึงเรื่องพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีรายละเอียดบอกเอาไว้ชัดเจนพอสมควรทีเดียว
แต่ที่แน่ ๆ ภาษาไทยคำว่า "ปาฏิหาริย์" สะกดเช่นนี้นะครับ
#21
โพสต์เมื่อ 17 October 2008 - 08:35 AM
เมื่อเด็กในต่างประเทศว่า"พุทธศาสนาโกหก ว่าพระพุทธเจ้าเกิดจากท้องแม่ใหม่ๆก็เดินได้ 7 ก้าว เป็นไปไม่ได้"
อนุโมทนา ทุกคำตอบที่ผ่านมาด้วยครับ
Sa_Dhu_Anumonatami.gif 22.04K 69 ดาวน์โหลด
ไม่แปลก และไม่ผิดหรอกครับ ที่คุณ (เด็กเทศ) จะไม่เชื่อ ไม่ยอมรับว่า
เรื่องสิทธัตถะ ราชกุมาร ทรงเดินได้ 7 ก้าว เมื่อวันประสูติ
ขอเสริมสักนิด เพิ่มอีกมุมมอง นะครับ
ถ้าเป็นผม......จะตอบว่า
ที่คุณ (เด็กเทศ)บอกว่า
เรื่องพระพุทธเจ้าเกิดจากท้องแม่ใหม่ๆก็เดินได้ 7 ก้าว เป็นไปไม่ได้
เพราะอะไร ??? ไหนลองขยายความ สิ
....
....
แต่ผมคิดและเชื่อว่า
เรื่องพระพุทธเจ้าเกิดจากท้องแม่ใหม่ๆก็เดินได้ 7 ก้าว
มีความเป็นไปได้มาก ๆ
เพราะการที่คุณ (เด็กเทศ) เชื่อหรือยอมรับว่า พระพุทธเจ้า มีจริง
( เรื่องวันประสูติ เป็นต้น ฯลฯ )
ก็เป็นสิ่งยืนยันหนักแน่นได้แล้วว่า
สิ่งที่คุณ(เด็กเทศ) ยังไม่เห็นได้เห็นด้วยตา ตนเอง นั้น มีจริง เกิดได้จริง ๆ
สิ่งที่กล่าวถึง มีความเป็นไปได้อยู่ในตัว อยู่ในคำตอบของคุณ (เด็กเทศ)แล้วครับ
มนุษย์เมื่อ ค.ศ. 1500 ( ตัวเลขสมมุติ) ส่วนมาก คงไม่มีใครไม่เชื่อว่า
ในสมัยค.ศ. 2008 มนุษย์สามารถพูดคุยได้ เห็นหน้าตากันด้วย
แม้อยู่ห่างไกลกันเป็นพันไมล์
ด้วย(ผ่าน) สิ่งที่เรียกว่า Mobile Phone , computer , note book , web cam ฯลฯ
หรือไม่เชื่อว่า
ในสมัยค.ศ. 2008 มนุษย์คนเดียว แม้เป็นเด็ก ก็สามารถฆ่าคนได้มากกว่าล้านคน
โดยไม่ต้องใช้กำลังมากมายอะไร
เพียงแค่ กดสิ่งเล็ก ๆ เท่านิ้วหัวแม่มือ ที่เรียกว่า ปุ่มยิง จรวดระเบิดนิวเคลียร์
ใช้แรงเล็กน้อย กดปุ่มไม่กี่ครั้งเท่านั้น
อย่าว่าแต่คนยุคก่อน ไม่เชื่อว่า คนยุคนี้มีสิ่งประดิษฐ์พิศดาร อะไรมากมาย
หรือคนยุคนี้ ไม่เชื่อว่า คนยุคก่อน ทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่น การสร้างมหาปีรามิด
แม้คนในยุคสมัยเดียวกันแท้ ๆ
คนในครอบครัวเดียวกัน มีพื้นฐานชีวิต คล้ายกัน มีความรู้ การศึกษาใกล้เคียงกัน
ขนาดเรื่องเดียวกัน เห็นเหมือนกัน อยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน
ก็ยังคิด วิเคราะห์ คิดและเชื่อ ยอมรับว่า เป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้ ต่างกันเลยครับ
มนุษย์มีกิเลส ไม่เข้าใจเรื่องสัมมาทิฎฐิ ๑o ก็เป็นแบบนี้ เป็นเรื่องธรรมดา นานาจิตตัง ครับ
#22
โพสต์เมื่อ 17 October 2008 - 12:55 PM
พระเยซู ก็ทรงถือกำเนิด จากมารดา คือ พระแม่มารี ที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ กับ บุรุษใด
คือ พระจิตของพระเป็นเจ้ามาสถิตย์ แล้วก็ตั้งท้อง เกิดมาเป็นพระเยซู
หรือ การที่ พระเยซู ตายแล้วฟื้น
ดังนั้น เราไม่ต้องเถียงกันนะคะ ก็แค่บอกเค้าไปว่า ปาฏิหาริย์ เกิดได้กับในทุกๆ ศาสนา
เรายังไม่ลบหลู่ความเชื่อ และความศรัทธาของเค้า แล้วเค้าจะมาหลบหลู่ความเชื่อ และความศรัทธาของเราทำไม
สุขใจที่จะเชื่อก็เชื่อ
หากการเชื่อแล้วทำให้เป็นทุกข์ก็ไม่ต้องเชื่อ แต่อย่าไปลบหลู่ความเชื่อของคนอื่นเท่านั้นเอง
เพราะพระพทธเจ้าก็ยังสอนไว้ว่าไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆเลย
พระสูตรความย่อ
เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร)
ว่าด้วย ข้อห้ามมิให้เชื่อโดยอาการ ๑๐ อย่าง
ที่มา : พระไตรปีฎกภาษาไทย ฉบับหลวง พ.ศ. ๒๕๒๕
เล่ม ๒๐ ข้อ ๕๐๕ หน้า ๑๗๙ - ๑๘๔
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปถึง นิคมของพวกกาลามะชื่อว่าเกสปุตตะ พวกชนกาลามโคตร ชาวเกสปุตตนิคมได้ทราบว่าพระองค์เสด็จมาถึง ทั้งทราบกิตติศัพท์ แห่งพระพุทธคุณของพระองค์ จึงพากันไปเฝ้าพระองค์ถึงที่ประทับ และกราบทูลพระ องค์ว่าได้มีสมณพราหมณ์ที่มายัง เกสปุตตนิคมนี้ ต่างก็พูดประกาศเฉพาะลัทธิของพวก ตน และพูดตำหนิลัทธิของพวกอื่น จึงมีความสงสัยว่า ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ควรแล้วที่ท่านจะสงสัย ท่านทั้งหลาย
อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ( มา อนุสฺสเวน )
อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำสืบ ๆ กันมา ( มา ปรมฺปราย )
อย่าได้เชื่อถือ โดยตื่นข่าวว่าได้ยินอย่างนี้ เล่าลืออย่างนี้ ( มา อิติกิราย )
อย่าได้เชื่อถือ โดยอ้างตำรา หรือ คัมภีร์ ( มา ปิฎกสมฺปทาเนน )
อย่าได้เชื่อถือ โดยเดาเอาเอง โดยตรรก ( มา ตกกฺเหตุ )
อย่าได้เชื่อถือ โดยคาดคะเน โดยอนุมาน ( มา นยเหตุ )
อย่าได้เชื่อถือ โดยความตรึกตามอาการ (มา อาการปริวิตกฺเกน )
อย่าได้เชื่อถือ โดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฏฐิของตัว ( มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา )
อย่าได้เชื่อถือ โดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ( มา ภพฺพรูปตาย )
อย่าได้เชื่อถือ โดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา ( มา สมโณ โน ครู ติ )
เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมใดเป็นอกุศล มีโทษ ผู้รู้ติเตียน และการปฏิบัติธรรม เหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์ เป็นทุกข์ เมื่อนั้น ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสีย
ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร ความโลภ,ความโกรธ,ความหลง นี้ เมื่อเกิดขึ้นในคนเราแล้ว จะเป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์?
พวกชนกาลามโคตร ต่างกราบทูลว่าไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้า : ท่านทั้งหลาย บุคคลผู้โลภ,โกรธ,หลง ย่อมฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ คบชู้ พูดเท็จก็ได้ ย่อมชักชวนผู้อื่น ให้กระทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เป็นทุกข์ชั่วกาลนานก็ได้
กาลามโคตร : จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้า : ท่านทั้งหลาย ท่านเห็นว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรืออกุศล มีโทษหรือ ไม่มีโทษ ท่านผู้รู้ติเตียนหรือสรรเสริญ?
กา. เป็นอกุศล มีโทษ ท่านผู้รู้ติเตียน พระเจ้าข้า
พ. การปฏิบัติธรรมเหล่านี้ ย่อมไม่เป็นประโยชน์ เป็นทุกข์ มิใช่หรือ?
กา. ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็นว่า การปฏิบัติธรรมเหล่านี้ ไม่เป็นประโยชน์ เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
ท่านทั้งหลาย ด้วยเหตุผลดังกล่าวมานั้นแหละ เราจึงได้ กล่าวไว้ว่า ท่านทั้งหลาย อย่าได้เชื่อถือด้วยเหตุต่าง ๆ ๑๐ ประการ เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนเอง ว่า ธรรมใดเป็นอกุศล มีโทษ ผู้รู้ติเตียน และการปฏิบัติธรรมเหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์ เป็นทุกข์ เมื่อนั้นท่านควรละธรรม เหล่านั้นเสีย
ท่านทั้งหลาย อย่าได้เชื่อถือ ด้วยเหตุต่าง ๆ ๑๐ ประการ เมื่อใด ท่านรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมใด เป็นกุศล ไม่มีโทษ ผู้รู้สรรเสริญ และการปฏิบัติธรรมเหล่านี้เป็นประโยชน์ เป็นสุข เมื่อนั้น ท่านควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
สาธุ ค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#23
โพสต์เมื่อ 17 October 2008 - 02:37 PM
#24
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 12:47 AM