เข้าพรรษาปีนี้ ผมตั้งใจจะรักษาศีล 8 ทุกวันพระในเดือนแรกและเดือนที่สอง ส่วนเืดือนที่สามจะถือศีล 8 ทุกวัน แต่ยังคงสงสัยเกี่ยวกับศีล 8 ดังนี้ครับ ผมเป็นอาจารย์สอนการแสดง ซึ่งในการสอนนั้นจำเป็นที่ต้องมีการสอนทั้งปฏิบัติและทฤษฎี ในเรื่องของการแสดงทั้งดูหนัง เล่นละคร เต้น ฟ้อน รำ การออกท่าทางต่างๆ หรือแม้แต่การฝึกซ้อมดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง เลยอยากทราบว่า หากวันพระวันนั้นตรงกับวันที่สอนในรายวิชาดังกล่าว ผมจะผิดศีลไหม? ศีลบริบูรณ์ ด่างพร้อย ไหม?
ศีล 8 กับอาชีพครูสอนการแสดง
เริ่มโดย คทาเทพ, Aug 10 2010 03:31 AM
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 10 August 2010 - 03:31 AM
ฉันคือธรรมบนเมฆา ล่องลอยบนท้องนภา มานานแสนนาน http://www.facebook.com/kathathep
#2
โพสต์เมื่อ 10 August 2010 - 08:40 AM
อยู่ที่ใจคุณ และการแสดงนั้นทำให้ความใคร่ในกามคุณ
กำเริบหรือไม่
กำเริบหรือไม่
#4
โพสต์เมื่อ 10 August 2010 - 12:17 PM
คิดว่า เป็นแค่งาน ก็ไม่ผิดศีลครับ
หากคิดเกินเลยกว่างานขึ้นมา ก็ผิดศีล นั่นแหละครับ (คือ แสดงไปแสดงมา ไปมีอารมณ์รักๆ ใคร่ๆ ขึ้นมาจริงๆ)
หากคิดเกินเลยกว่างานขึ้นมา ก็ผิดศีล นั่นแหละครับ (คือ แสดงไปแสดงมา ไปมีอารมณ์รักๆ ใคร่ๆ ขึ้นมาจริงๆ)
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#5
โพสต์เมื่อ 10 August 2010 - 03:07 PM
เห็นซักแต่ว่าเห็น
ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน
ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน
"ชีวิตนี้อุทิศเพื่อพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย"
#6
โพสต์เมื่อ 12 August 2010 - 11:00 PM
อยู่ที่การคิดของเราเองครับ
คิดบวกก้อเป้นบวก คิดลกก้อเปนลบ
^^
คิดบวกก้อเป้นบวก คิดลกก้อเปนลบ
^^
#7
โพสต์เมื่อ 13 August 2010 - 01:55 AM
เรื่องทำนองนี้มีผู้เคยทูลถามพระพุทธเจ้าแล้วครับ
สรุปว่า ....หากอุปาทานมากจนก่อเกิดเป็นกิเลสในด้านกามคุณมากไป ก็เป็นกรรมไม่ดีครับ
หากสิ้นจากภพนี้ไปแล้วอาจจะไปเกิดในนรกที่ชื่อว่าการฟ้อนรำ(จำภาษาบาลีไม่ได้)
..........
แต่อย่าพึ่งตกใจกลัวไป ..... อ่านต่อนะครับ
.........
หากพอสมควรๆ ไม่ได้ผิดศีลธรรมอะไร ไม่ได้ยึดจนเป็นนิวรณ์ ก็เป็นเพียงอุปนิสัย วาสนา เหตุปัจจัยทั่วๆไป ติดตัวไป
และหากพ้นจากภพนี้ไป อาจจะเกิดเป็นเทวดาจำพวกคนธรรพ์ ได้นะครับ แต่หากนึกถึงบุญกุศลอื่นๆ บารมีอื่นๆ มากกว่านี้ก็สามารถไปเกิดในภพภูมิดีๆกว่านี้ได้
........
อาชีพอื่นๆก็เช่นกัน หากไม่ได้อุปาทานมากไปจนเป็นนิวรณ์ให้จิตใจเศร้าหมอง ก็เป็นไปตามแรงกรรมดีกรรมชั่วครับ
........
ต้องรู้จักอาศัยอาชีพอันเป็นโลกิยะ เพื่อประโยชน์แก่การบรรลุโลกุตตระ โดยอย่าหลงไปให้อาชีพนั้นๆมาเป็นสิ่งกั้นขวางทางไปโลกุตตระนะครับ
แต่ละท่าน แต่ล่ะคน ต่างก็มีลีลาชีวิตในการบำเพ็ญบารมีไม่เหมือนกัน แต่หากมีโอกาศเปลี่ยนเป็นอาชีพสมณะได้ ก็ประเสริฐที่สุด
.......
พระพุทธเจ้าเคยสอนเพลงขับให้มาณพหนุ่มคนหนึ่ง นำไปขับร้องให้แก่ลูกสาวพญานาคฟัง ท้ายสุดมาณพหนุ่มผู้นั้นบรรลุพระโสดาบัน (เป็นเพลงขับที่มีความหมายทางธรรมะนะครับ)
เพลงธรรมะ หรือดนตรี สามารถทำให้ใจสบายๆรวมเป็นหนึ่งได้ในระดับใกล้เคียงปฐมฌาณ แต่สุดท้ายจำต้องละไปเองจึงจะเข้าถึงฌานที่มั่นคง
ดังนั้นบางท่านเวลาเครียสๆก็สามารถฟังเพลงธรรมะ หรือเพลงบำบัดจิต เบาๆ สบายๆ นำร่องไปก่อนได้
การแสดงก็เช่นเดียวกัน หากทำให้เป็นประโยชน์แก่โลกุตตระได้ ก็สุดยอดครับ
สรุปว่า ....หากอุปาทานมากจนก่อเกิดเป็นกิเลสในด้านกามคุณมากไป ก็เป็นกรรมไม่ดีครับ
หากสิ้นจากภพนี้ไปแล้วอาจจะไปเกิดในนรกที่ชื่อว่าการฟ้อนรำ(จำภาษาบาลีไม่ได้)
..........
แต่อย่าพึ่งตกใจกลัวไป ..... อ่านต่อนะครับ
.........
หากพอสมควรๆ ไม่ได้ผิดศีลธรรมอะไร ไม่ได้ยึดจนเป็นนิวรณ์ ก็เป็นเพียงอุปนิสัย วาสนา เหตุปัจจัยทั่วๆไป ติดตัวไป
และหากพ้นจากภพนี้ไป อาจจะเกิดเป็นเทวดาจำพวกคนธรรพ์ ได้นะครับ แต่หากนึกถึงบุญกุศลอื่นๆ บารมีอื่นๆ มากกว่านี้ก็สามารถไปเกิดในภพภูมิดีๆกว่านี้ได้
........
อาชีพอื่นๆก็เช่นกัน หากไม่ได้อุปาทานมากไปจนเป็นนิวรณ์ให้จิตใจเศร้าหมอง ก็เป็นไปตามแรงกรรมดีกรรมชั่วครับ
........
ต้องรู้จักอาศัยอาชีพอันเป็นโลกิยะ เพื่อประโยชน์แก่การบรรลุโลกุตตระ โดยอย่าหลงไปให้อาชีพนั้นๆมาเป็นสิ่งกั้นขวางทางไปโลกุตตระนะครับ
แต่ละท่าน แต่ล่ะคน ต่างก็มีลีลาชีวิตในการบำเพ็ญบารมีไม่เหมือนกัน แต่หากมีโอกาศเปลี่ยนเป็นอาชีพสมณะได้ ก็ประเสริฐที่สุด
.......
พระพุทธเจ้าเคยสอนเพลงขับให้มาณพหนุ่มคนหนึ่ง นำไปขับร้องให้แก่ลูกสาวพญานาคฟัง ท้ายสุดมาณพหนุ่มผู้นั้นบรรลุพระโสดาบัน (เป็นเพลงขับที่มีความหมายทางธรรมะนะครับ)
เพลงธรรมะ หรือดนตรี สามารถทำให้ใจสบายๆรวมเป็นหนึ่งได้ในระดับใกล้เคียงปฐมฌาณ แต่สุดท้ายจำต้องละไปเองจึงจะเข้าถึงฌานที่มั่นคง
ดังนั้นบางท่านเวลาเครียสๆก็สามารถฟังเพลงธรรมะ หรือเพลงบำบัดจิต เบาๆ สบายๆ นำร่องไปก่อนได้
การแสดงก็เช่นเดียวกัน หากทำให้เป็นประโยชน์แก่โลกุตตระได้ ก็สุดยอดครับ
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย