วิบากกรรมใด ทำให้เงินไม่มาหา ครับ
#1
โพสต์เมื่อ 04 November 2008 - 04:36 PM
จะได้แก้ให้ถูกทาง เผื่อจะมีเงินกับเขาบ้างครับ
#2
โพสต์เมื่อ 04 November 2008 - 04:47 PM
สมัยพุทธกาลมีพราหมณ์คนหนึ่ง มีผ้าอยู่ผื่นเดียว ไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า พระองค์เทศน์ให้ฟังถึงเรื่องโทษของความตระหนี่ จนพราหมณ์เกิดศรัทธา สละผ้าถวายพระพุทธเจ้่า แล้วพูดว่า เราชนะแล้ว
กษัตริย์ถามว่า เจ้าชนะอะไร
พราหมณ์ตอบว่า ชนะความตระหนี่ในใจตนได้แล้ว
กษัตริย์พอใจจึงพระราชทานรางวัลให้พราหมณ์ จนร่ำรวยขึ้นมาทีเดียว
#3
โพสต์เมื่อ 04 November 2008 - 05:00 PM
#4
โพสต์เมื่อ 05 November 2008 - 12:16 AM
คือ ให้ทำทาน รักษาศีสให้บริสุทธิ์ และเจริญสมาธิภาวนาให้ใจหยุดนิ่ง
เลือกเอา ใจใสๆ
#5
โพสต์เมื่อ 05 November 2008 - 12:37 AM
จากประสบการณ์ตรง
ช่วงที่ย่ำแย่ ได้รับการแนะนำจากพระอาจารย์ ดังนี้
นอกเหนือจากบุญต่างๆ ที่ลูกพระธัมฯ ทุกคนทำกันอยู่แล้ว ( เช่น สวดมนต์ทำวัตร นั่งสมาธิ บูชาเจดีย์ ฯลฯ )
ผมได้รับการแนะนำเพิ่มเติมดังนี้
เช้า ให้ใส่บาตรพระ ทุกวัน โดยให้หุงข้าวเอง หากับข้าวเอง ( จัดเตรียมอาหารใส่บาตรเอง บรรจุข้าวลงถุงเอง ให้ปราณีต ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาก ก็ทำได้ ทำแบบนี้ ผู้ทำจะรู้ึสึกได้เองว่า สุขใจขนาดไหน ตอนนี้ผมยังจำภาพควันที่ลอยจากหม้อหุงข้าวที่เตรียมใส่บาตร ได้อยู่เลย )
เพล ผมลงทุนนั่งรถเมล์ ประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อมาถวายภัตตาหารพระที่หอฉัน ถวายเสร็จรับพรพระก็แวะนั่งสมาธิแป๊บนึง แล้วก็กลับไปทำงานต่อ
ช่วงกลางปีที่ผ่านมา (50) ก็ทำ2อย่างนี้ จากนั้น ชีวิต ก็ค่อยๆ ดีขึ้นมาเรื่อยๆ
จนล่าสุด ได้ทำบุญหล่อรูปเหมือนทองคำหลวงปู่ ไป 2 บาท และ ทำบุญแผ่นทองจารึกชื่อในแผ่นญาณ อีก 1 ชื่อ (15,000 )
ปลื้มมากครับ ยินดีแบ่งบุญให้ทุกท่านครับ
#6
โพสต์เมื่อ 05 November 2008 - 02:28 AM
#7
โพสต์เมื่อ 05 November 2008 - 08:07 AM
#8
โพสต์เมื่อ 05 November 2008 - 10:03 AM
หลวงพ่อ ท่านเพิ่งพูดอีกว่า ทรัพย์สมบัตินั้นเป็นของกลาง มันจะไหลไปหา ผู้มีบุญ
ทำให้เรามีกำลังใจ สั่งสมบุญ ให้มากๆ
ทรัพย์สมบัติ จะได้ไหลมาหาเรา
#9
โพสต์เมื่อ 05 November 2008 - 10:15 AM
-ผู้ให้บริสุทธิ์
-ผู้รับบริสุทธิ์
-วัตถุบริสุทธิ์
ที่สำคัญ ต้องทุ่มทำอย่างเต็มที่ และตลอดต่อเนื่อง รวมทั้งทำใ้ห้ถูกแหล่งแห่งบุญ ครับ
ลองอ่านเรื่อง เ็ด็กสลัม ซิครับ
#10
โพสต์เมื่อ 05 November 2008 - 12:27 PM
สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ
ลูกพระธัมฯ หลานหลวงปู่ หลานคุณยาย
#11
โพสต์เมื่อ 05 November 2008 - 05:56 PM
#12
โพสต์เมื่อ 05 November 2008 - 08:13 PM
อีกพวกหนึ่ง เกิดจากกรรมเก่ามาปิดโอกาส คืองานมีเขาก็ไม่รับ ถามว่าพวกนี้เคยทำกรรมไว้อย่างไร ตอบว่าเขาเป็นคนประเภทบอกบุญไม่รับ เคยเจอไหม ที่เราไปบอกบุญแล้วโดนไล่ คนพวกนี้แหละเวลาหางานทำ หายากที่สุด ก็ขนาดคนมาบอกบุญยังไล่ พอถึงคราวตัวเองเข้าไปหางานที่ไหนๆ ก็โดนไล่พอกัน
ตั้งแต่โบราณแล้วเขาถือเป็นเรื่องสำคัญนัก ถ้าใครมาบอกบุญถึงบ้าน จะมากจะน้อยก็ทำตามกำลังตามสมควร โบราณเขาไม่ไล่คนที่มาบอกบุญเป็นอันขาด ขอฝากเรื่องนี้ให้พิจารณากันให้ดี
การปฏิเสธบุญ คือ การปฏิเสธความสุขและความสำเร็จในชีวิตทุก ๆ ระดับ ถ้าชาตินี้เราลำเค็ญ แปลว่า ชาติที่ผ่านมาเราปฏิเสธบุญ เพราะเราคิดว่า ที่เราประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะหนึ่งสมอง สองมือ ทีมถึง ทุนถึง ใจถึง มือถึง แต่มันไม่ใช่แค่นั้น
ชาติที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะชาติก่อนหน้านั้นได้สั่งสมบุญเอาไว้แต่ชาตินี้ลำเค็ญ เพราะปฏิเสธบุญในชาติที่ผ่านมาหรือใครมาชวนทำบุญแล้วเราก็ปฏิเสธบุญ เพราะความประมาทในการดำเนินชีวิต บวกกับมีความตระหนี่หวงแหนทรัพย์ แล้วก็เลยทำให้ไม่เข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ชาตินี้ก็เลยมีชีวิตที่ลำเค็ญ
ดังนั้นเราคงจะลำเค็ญเพียงพอแล้ว มันถึงเวลาที่เราจะปฏิเสธความลำเค็ญ โดยการยอมรับความรวย ยอมรับความสำเร็จในชีวิตกันซะ แต่จะยอมรับอย่างนี้ได้ก็ต้องสั่งสมบุญ ถึงจะมีบุญ มีบุญนั่นแหละจึงมีความสุขและความสำเร็จในชีวิตทุก ๆ ระดับ นี่เป็นเรื่องที่เราจะต้องศึกษากันให้ดี
โอวาทพระภาวนาวิริยคุณ (ครูไม่เล็ก) เรื่อง "ทำอย่างไรจึงจะเกิดมารวย ???"
คนที่ให้ทานมามาก และคิดให้ทานอยู่ตลอดเวลา พอเกิดขึ้นมาลืมตาดูโลก ยังไม่ทันทำอะไรเลยก็รวยแล้ว เพราะมีพ่อแม่ที่ร่ำรวย มีทรัพย์สมบัติเตรียมพร้อมไว้ให้ บางคนแต่เดิมพ่อแม่ก็ไม่รวย ทันทีที่เข้ามาอยู่ในครรภ์มารดา พอแม่เริ่มตั้งท้อง ทั้งพ่อทั้งแม่ไม่ว่าจะหยิบจะทำอะไรก็โชคดีไปหมด พอออกจากท้องแม่ โตขึ้นมาหน่อย สมบัติทุกอย่างก็มาพร้อมให้ใช้ นี่..เป็นผลของทานที่สร้างไว้ในอดีตชาติ ด้วยความตั้งใจและศรัทธาเต็มที่
อย่างไรก็ตาม บางคนเมื่อเริ่มจะให้ทานไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อทำไปแล้ว ภายหลังเกิดนึกดีใจว่าเราทำไปดีแล้ว เพราะคนอื่นจะได้ประโยชน์อีกมากมาย พวกนี้ก็ได้บุญติดตัวไปเหมือนกัน แต่เป็นบุญที่ให้ผลช้า เนื่องจากทำบุญโดยไม่ศรัทธามาก่อน เพราะฉะนั้นเกิดกี่ชาติๆ ในระยะเด็กๆ ถึงวัยรุ่น ช่วงที่ยังไม่ถึงวัยกลางคนจะยากจน แต่พอเลยวัยนั้นฐานะจะดีขึ้น เป็นผลเนื่องมาจากการที่ดีใจที่ได้ทำบุญ ดีใจช้า บุญก็ตามมาอย่างช้าๆ กว่าจะตามทันก็เมื่ออายุเข้าวัยกลางคน
บางคนทำบุญทีแรกดีใจที่ได้โอกาสทำบุญ แต่พอทำไปแล้ว กลับนึกเสียดายภายหลัง บุญจึงส่งผลมาในลักษณะที่ว่า เมื่อยังเล็กร่ำรวย เข้าวัยกลางคนก็ยังรวยเรื่อยมา แต่พอตอนแก่ๆ อายุมากแล้ว การที่นึกเสียดายในภายหลัง ความเสียดายก็เริ่มมาตัดทอนกำลังบุญ เลยทำให้ยากจน อย่างนี้ก็มี
ดังนั้นจึงสรุปตอบว่า ที่เราจนก็เพราะการให้ทานของเราภพในอดีตมันหย่อน เพราะฉะนั้นในภพชาตินี้ก็จงพยายามทำทานให้เต็มที่เต็มกำลังของเรา อย่าไปนึกตระหนี่หรือนึกเสียดายทานที่ให้ไปแล้ว ที่แน่ๆ คือ เวรอทินนาฯ การลักขโมย อย่าไปก่อขึ้นอีก และอีกอย่างหนึ่งอย่าไปตัดลาภใคร ใครเขาจะทำบุญก็อย่าไปขัด อย่าไปค้านเขา ตรงกันข้ามเห็นใครเขาตักบาตรทำบุญ ควรรีบสนับสนุนให้กำลังใจเขา รีบไปกล่าวอนุโมทนาให้เขาปลื้มใจให้มากที่สุด
ที่ถามว่าทำบุญแล้วทำไมบุญไม่ส่งผลบ้าง ขอตอบว่า ส่งผลแน่ แต่อาจจะช้า
“เหมือนที่เรามัวชักช้าในการทำบุญแต่ละครั้งนั่นแหละ”
เวลาทำอะไรพลาด อย่าคิดนำไปก่อน เพราะมารจะเข้าแทรกผัง ให้เราคิดได้เป็นเรื่องเป็นราวทันที ยิ่งคิด ยิ่งมีผลเสียแก่ตัวเราเอง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วใจจะตก มารจะแทรกผังสำเร็จใส่ทันที ทำให้เรื่องที่ยังไม่มีอะไร กลับกลายเป็นเรื่องร้ายทันที ยิ่งคิดจะยิ่งเสีย ฉะนั้น เมื่อเกิดเรื่อง ให้เราทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายอย่างเดียว (ขุมทรัพย์จากคุณยาย)
#13
โพสต์เมื่อ 06 November 2008 - 03:29 PM
#14
โพสต์เมื่อ 06 November 2008 - 04:23 PM
#15
โพสต์เมื่อ 06 November 2008 - 09:12 PM