ผลแห่งการถวายดวงประทีป
ของพระอชิตเถระ
***การถวายดวงประทีปเป็นพุทธบูชา เป็นบุญพิเศษที่พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ในอดีตเคยกระทำมา หากบุคคลใดได้ถวายดวงประทีป แม้เพียงเล็กน้อยด้วยจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย จะไม่ไปบังเกิดในทุคติเลย มีแต่มนุษยโลกและเทวโลกเป็นที่ไปเท่านั้น เพราะบุญกุศลที่ทำถูกเนื้อนาบุญย่อมมีอานิสงส์มากมายเกินกว่าจะนับจะประมาณได้ สายบุญจากพระนิพพานจะไหลลงสู่ศูนย์กลางกายมนุษย์ สว่างไสวต่อเนื่อง จะทำให้มีความสุขสมบูรณ์ไปทุกภพทุกชาติ ดังเรื่องราวที่มาในพระไตรปิฎก อชิตเถราปทานที่ ๑๐ ว่าด้วยผลแห่งการถวายประทีป
ในสมัยของพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งขณะนั้นอชิตมาณพเที่ยวแสวงหาอาหารอยู่ในป่า ได้พบพระพุทธเจ้าปทุมุตตระซึ่งประทัปอยู่ที่ภูเขาหิมวันต์ อชิตะนั้นไม่เคยเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เสียงก็ไม่เคยได้ยิน เมื่อเห็นท่านนั่งอยู่เช่นนั้น ก็นึกแปลกใจ ‘ทำไมหนอบุรุษนี้จึงมีผิวพรรณผ่องใสงดงามยิ่งนัก’ เมื่อตรวจดูเห็นลักษณะมหาบุรุษอันประเสริฐดังเช่นที่เคยทราบว่า ต้องเป็นพระพุทธเจ้าบรมครูของโลก ซึ่งบัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อนเคยกล่าวไว้ จึงคิดว่า ‘ถ้าหากผู้นี้เป็นพระพุทธเจ้าจริง เมื่อเราสักการะพระองค์ พระองค์ก็จะชำระบอกทางพระนิพพานแก่เรา’ จึงรีบกลับไปยังที่พักแล้วถือเอาน้ำผึ้ง น้ำมัน และหม้อ แล้วกลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
อชิตมาณพได้ถือเอาท่อนไม้ ๓ ท่อนไปวางไว้กลางแจ้ง แล้วก่อไฟให้ลุกโพลง แล้วถวายบังคม ๘ ครั้งด้วยจิตเลื่อมใสโสมนัสยิ่ง
พระปทุมุตตรพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ ตลอด ๗ คืน ๗ วัน จึงเสด็จลุกขึ้น บริเวณภูเขาคันธมาสนั้นมีกลิ่นดอกไม้หอมฟุ้งไปทั่ว ดอกไม้บานสะพรั่ง นาคและครุฑทั้งสองพวกที่ภูเขาหิมวันต์ มีประมาณเท่าไร พากันมาต้องการฟังธรรม พระสมณะเทวละเป็นพระอัครสาวกพร้อด้วยภิกษุสงฆ์หลานแสนองค์ ต่างเดินทางมาสู่สถานที่ประทับในป่านั้น
พระพุทธเจ้าปทุมุตตระประทับท่ามกลางหมู่สงฆ์เหล่านั้นแล้ว จึงได้ตรัสถึงอชิตมาณพ ที่ได้ถวายประทีปให้ภิกษุสงฆ์ฟังว่า
“ผู้ใดมีความเลื่อมใส ตามประทีปถวายเราด้วยมือทั้งสองของตน เราจักพยากรณ์ผู้นั้น เขาจักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอดหกหมื่นกัปและจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ๑,๐๐๐ ครั้ง ได้เป็นท้าวสักกะ (พระอินทร์) ๓๖ ครั้ง เสวยราชสมบัติอันไพบูลย์ในปฐพี ๓๐๐ ครั้ง เป็นพระเจ้าประเทศราชคณานับมิได้ ด้วยการตามประทีปถวายนี้ จะเป็นผู้ที่มีทิพยจักษุ คือตาทิพย์ มีตามที่มองเห็นได้ไกล ๒๕๐ ชั่วธนูโดยรอบทุกเมื่อ เมื่อบังเกิดเป็นมนุษย์ จะมีผู้จุดประทีปให้ทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยบุญนั้นทั่วพระนครจักโชติช่วงด้วยแสงสว่างแห่งดวงประทีป และด้วยบุญที่บำรุงพระพุทธเจ้า เมื่อมากำเนิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา ชนทั้งหลายจะตามประทีปถวายบำรุงผู้นี้
ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระศาสดานามว่า โคดม จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ผู้นั้นจักเป็นทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น และจักได้เป็นสาวกมีนามชื่อว่า อชิตะ”
ครั้นพระปทุมุตตระตรัสพยากรณ์แล้ว อชิตมาณพเกิดปีติโสมนัส เบิกบานในบุญกรรมที่ได้กระทำถูกเนื้อนาบุญเช่นนั้น และได้สั่งสมบุญบารมีทุกอย่างมาโดยลำดับจนตลอดชีวิต เมื่อละโลกแล้วก็ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เมื่อจุติจากเทวโลกชั้นดุสิต ลงสู่ครรภ์มารดา ครั้นถึงวันออกจากครรภ์ มีแสงสว่างเกิดขึ้น
เมื่ออชิตมาณพมาเกิดในชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย มีรัศมีพุ่งโพลงออกไปในเทวโลกและมนุษยโลก ท่านระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดแล้ว ยังความโสมนัสให้เกิดยิ่งขึ้นแล้ว ปรารถนาจักออกบวชเป็นบรรพชิต ได้เข้าไปหาพราหมณ์พาวรีขอเป็นศิษย์ แล้วออกไปอยู่ที่ภูเขาหิมวันต์ เมื่อได้ทราบข่าวการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าจึงได้ไปเข้าเฝ้า พระองค์ตรัสบอกทางนิพพานอันเป็นทางออกพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ได้สำเร็จวิชชา ๓ ไปโดยลำดับ “คำสอนของพระพุทธเจ้าเราทำเสร็จแล้ว เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ภพชาติถอนขึ้นหมดแล้ว กิเลสเครื่องผูกสัตว์ทั้งหลายให้ติดอยู่ในโลก เราได้ตัดขาดหมดแล้ว” ในที่สุดท่านได้บรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์
ชีวิตการสร้างบารมีของพระอชิตเถระ จึงเป็นต้นแบบและเป็นแบบอย่างให้นักสร้างบารมีในภายหลังเจริญรอยตามท่าน ด้วยบุญที่ได้ถวายประทีปเป็นพุทธบูชา เป็นเครื่องนำความสุขความสำเร็จมาสู่ท่าน