ศรัทธาหรือปัญญา (๒)
#1
โพสต์เมื่อ 15 October 2006 - 12:14 PM
และศรัทธาในหลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยาย และครูบาอาจาร์ยเต็มที่อยู่ครับ ตอนนี้ก็กลับมาเข้าวัดเพราะ DMC
เพราะเหตุใดท่านจึงเข้าวัด ยกตัวอย่าง
๑. ศรัทธาในมหาปูชียาจาร์ย หรือครูบาอาจาร์ย
๒. ศรัทธาในปาฏิหาร์ยหรือเคยเห็น หรือมีประสบการณ์
๓. ศรัทธาเพราะเห็นคนมากันมากจริง ๆ หรือจากรูป หรือเพื่อนชวน
๔. ปฏิบัติธรรมถูกกับจริต
๕. ฟังธรรมะแล้วเกิดศรัทธา
๖. ปฏิบัติธรรมแล้วเห็นผล
อยากเห็นแง่มุมที่ท่านเข้าวัดกันครับ ตอบตามความเป็นจริงครับ
และท่านพิจารณาโดยให้หลักกาลามสูตร (ปัญญา) อย่างไร ?
#2
โพสต์เมื่อ 15 October 2006 - 03:44 PM
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง
สุนทรพ่อ
มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ
#3
โพสต์เมื่อ 15 October 2006 - 05:22 PM
#4
โพสต์เมื่อ 15 October 2006 - 06:27 PM
หยุดนั่นเองเป็นตัวสำเร็จ
ทั้งทางโลกและทางธรรม สำเร็จหมด
#5
โพสต์เมื่อ 15 October 2006 - 07:04 PM
๑. ศรัทธาในมหาปูชียาจาร์ย หรือครูบาอาจาร์ย
๒. ศรัทธาในปาฏิหาร์ยหรือเคยเห็น หรือมีประสบการณ์
๓. ศรัทธาเพราะเห็นคนมากันมากจริง ๆ หรือจากรูป หรือเพื่อนชวน
๔. ปฏิบัติธรรมถูกกับจริต
๕. ฟังธรรมะแล้วเกิดศรัทธา
๖. ปฏิบัติธรรมแล้วเห็นผล
ไม่ใช่ที่ข้างบนทั้งหมดเลย แค่มาถึงแล้วมีความรู้สึกว่า คุ้นเคย เหมือนได้กลับบ้าน
พอมาแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาธรรมะ ทั้ง อ่าน ฟัง สนทนา เข้าหาผู้รู้ เข้าหาพระอาจารย์ ไม่เคยอิ่มในการศึกษา
เลยพอจะมีความรู้ทางธรรมแบบงูๆ ปลาๆ มาจนถึงปัจจุบัน
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#6
โพสต์เมื่อ 15 October 2006 - 07:52 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#7
โพสต์เมื่อ 15 October 2006 - 09:32 PM
------------------------------
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)
#8
โพสต์เมื่อ 15 October 2006 - 10:09 PM
ตรงทำใจให้บริสุทธิ์นี่เอง เป็นหัวใจเป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนา ที่สอนให้คนเป็นคนดีที่สุด ที่ศาสนาอื่นไม่มีคำสอนนี้ และวัดพระธรรมกายเป็นวัดเดียวในโลก ที่เน้นสอนวิธีการทำใจให้บริสุทธิ์มากที่สุด ผมจึงเลือกมาที่นี่ครับ และเมื่อได้มาแล้วก็ได้มาทราบถึงมโนปณิธานต่างๆของหมู่คณะซึ่งมันยิ่งใหญ่มากเกินกว่าจะบรรยาย จึงคิดว่าตลอดสิบกว่าปีมานี้เราเป็นผู้โชคดีมากๆๆ ไม่เสียแรงที่เต่าตาบอดตัวนี้อุตส่าดำผุดดำว่ายจนลอดห่วงขึ้นมาพบหมู่คณะของพวกเราครับ
#9
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 07:50 AM
#10
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 08:29 AM
#11
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 09:06 AM
แต่ตอนนั้น ยังไม่รู้จักเป้าหมาย ของการทำทาน รักษาศลี และการสร้างบารมี เท่ากับทุกวันนี้ค่ะ บ้างครั้งคิดว่ายังทำไม่ถูกหลักวิชา (ตอนนั้นนะคะ)
แต่พอมาเจอหลวงพ่อ ท่านให้ความรู้ดิฉันเกี่ยวกับความรู้เรื่อง การสร้างบารมี ให้ถูกหลักวิชา การอธิฐานจิต หลายอย่างเลยค่ะที่ดิฉันยังไม่เคยรู้มาก่อน
ทำให้ชอบที่จะมาวัดค่ะ
อย่างนี้ถือ ว่า ศรัทธา ในครูบาอาจารย์ หรือเป่าค่ะ
รักบุญ เชื่อในบุญ
mata072 windowslive.com
#12
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 10:12 AM
มาเจอวัด เจอคำสอนดี ๆ เจอต้นแบบดี เจอผู้คนรอบข้างที่รู้จักข้างบ้าน(ที่เข้าวัด)ที่ดี ๆ
ที่สำคัญ ***ปฏิบัติธรรมแล้วเห็นผล*** อย่างชัดเจน
#13
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 11:13 AM
ผมได้เข้าวัดพระธรรมกาย ครั้งแรก ก็เพราะว่า
มีรถบัสมารับผู้สมัครอบรมธรรมทายาทและอุปสมบทหมู่
จากศูนย์ฝึกการรบพิเศษแห่งชาติ ( หนองตระกรู ) ที่โคราช มาส่งครับ 555 +
( ขออภัยถ้าเรียกชื่อผิด )
เป็นการอบรมฝึกวินัยภาคสนาม แบบโหดเกินคาด แต่มันท้าทายกำลังใจดีมากๆ ขอบอก
เหมือนการฝึกทหารใหม่ของทหารเกณฑ์
หนักหน่วงยิ่งกว่านักศึกษาวิชาทหาร ( รด. ) หลายเท่า
และสาเหตุก็ คือ เข้ามาเพื่ออบรมธรรมทายาทและอุปสมบทหมู่
แรงบันดาลใจครั้งแรก ที่อยากอบรมธรรมทายาท คือ
ได้อ่านหนังสือ วารสารกัลยาณมิตร ฉบับที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2530
มีบันทึกการอบรมธรรมทายาทของ ธทย. ประทีป พุ่มไสว
ตอนนั้นผมไม่ทราบมาก่อนเลย ว่า
คนวัยหนุ่ม วัยคะนอง วัยฉกรรจ์ ที่อยู่ทางโลกมีชีวิตแบบ ธรรมทายาท
แรงบันดาลใจครั้งที่ 2และตัดสินใจเข้าอบบรมอย่างแน่นอน ต้นปีพ.ศ. 2531
เมื่อได้อ่านหนังสือ ธรรมทายาท เล่ม 3
ที่พี่สาวยืมมาจากชมรมพุทธ ม.ธรรมศาสตร์
แต่พี่สาวไม่เคยชวนผมคุยเรื่อง ธรรมทายาท เลย
ตอนนั้นผมยังจมจ่อมตามประสาวัยฉกรรจ์ บู๊ล้างผลาญ มีวิถีชีวิตคนละขั้วเลยครับ
ผมเข้าวัดพระธรรมกาย เพื่อต้องการพิสูจน์
เรื่อง การแสวงหาความหมายของชีวิต
ว่าสิ่งที่ผมต้องการในชีวิต คือ อะไร
อบรมธรรมทายาท จะมีคำตอบนั้นหรือไม่
อย่างนี้ก็ต้องเข้ามาพิสูจน์กันหน่อย ว่า
๑. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
๒. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
๓. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
๔. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
๕. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
๖. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
๗. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
๘. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
๙. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
ที่ตลก คือ ผมขลาด ขาดความกล้าที่บอกเพื่อนที่เรียนด้วยกัน
เพราะ อายที่จะบอกว่า ปิดเทอมนี้ จะไม่ไปฝึกงาน แต่จะไปบวช
และที่ตลก ยิ่งกว่านั้น คือ ผมมาเจอเพื่อน 5 – 6 คน ทั้งตอนฝึกวินัยภาคสนาม
และตอนมาถึงวัดแล้ว
( อีก 500- 600 คน ไปฝึกวินัยภาคสนาม ที่แก่งกระจาน )
เราต่างคิดเหมือนกัน คือ เรื่องแบบนี้ บอกเพื่อนไม่ได้หรอก เดี๋ยวเพื่อนล้อแย่เลย
พอเจอกัน จึงได้แต่ยิ้ม ๆ เพราะรู้ นะ คิดอะไรอยู่
**** ข้อมูลเพิ่มเติม
กาลามสูตร
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ
หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล เรียกว่า เกสปุตตสูตร ก็มี
กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดี
ก่อนเชื่อ มี ๑๐ ประการคือ
๑. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
๒. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
๓. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
๔. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
๕. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
๖. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
๗. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
๘. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
๙. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
๑๐.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ
ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เ
ป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
ปัจจุบันได้เกิดแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ใ
นทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ ๒๕๐๐ ปี
ก่อนบรรจุไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในประเทศพัฒนาแล้ว เรียกว่า
"การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking)
อ้างอิง
• พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต
พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด,
วัดโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548
• เกสปุตตสูตร อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐
ไฟล์แนบ
#14
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 11:32 AM
แต่รู้แล้วว่าเป้าหมายชีวิตคืออะไร
#15
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 11:55 AM
ที่จะเข้าวัด ที่พิจารณาแล้วเห็นว่าจะทำให้เกิดศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้องต่อไปได้
ที่ตั้งกระทู้นี้เพราะว่า วัด .. ถูกมองว่ามีคนเข้าจำนวนมาก โดยที่วัดอาจจะเป็นวัดที่มีการจัดการที่ดี
ทำให้คนจำนวนมากเกิดศรัทธา กระแสคนจำนวนมากไม่สนใจเรื่องปฏิบัติหรือหนทางนิพพานที่ถูกต้อง
แต่มุ่งเข้าวัดเพราะความศรัทธา ที่บางคนอาจจะเป้นศรัทธาที่ขาดเหตุผล ดังนั้นผมจึงพยายามเลือกหา
เหตุที่เข้าวัดมาจากเวปต่าง่ ๆ ว่าเพราะเหตุใด มาตั้งไว้ให้เลือก โดยมี ศรัทธา ๓ ข้อ และ ปัญญาคือศึกษา
ค้นคว้ามาแล้ว(ลองปฏิบัติมาลองมาหลายที่แล้ว) ๓ ข้อ จึงมาเข้าวัด
แต่ทว่าบางท่าน ก็ยังไม่อยู่ในข้อที่ผม ได้ค้นหามาจากเวปต่าง ๆ ที่คนอื่นมองเรา เช่น คุณ "ไอแคนออเวย์เมคยูสไมค์"
ก็สามารถเติมเข้าไปได้ และลองแยกดูว่า จริง ๆ แล้วคือศรัทธาหรือปัญญาแน่
ถ้าท่านอยู่ในข้อที่เป็นศรัทธาเช่น ศรัทธาครูบาอาจาร์ย ศรัทธาอิทธิปาฏิหาร์ย พระของขวัญ พระมหาสิริราชธาตุ
หรือ ศรัทธาเพราะคนมามาก มีแต่คนเก่ง ๆ ฉลาดทั้งนั้น ๆ ควรที่จะยกกาลามสูตรมาประกอบ เหตุผลของท่านด้วย
แต่ตอนนั้น ยังไม่รู้จักเป้าหมาย ของการทำทาน รักษาศลี และการสร้างบารมี เท่ากับทุกวันนี้ค่ะ
บ้างครั้งคิดว่ายังทำไม่ถูกหลักวิชา (ตอนนั้นนะคะ)
แต่พอมาเจอหลวงพ่อ ท่านให้ความรู้ดิฉันเกี่ยวกับความรู้เรื่อง การสร้างบารมี ให้ถูกหลักวิชา
การอธิฐานจิต หลายอย่างเลยค่ะที่ดิฉันยังไม่เคยรู้มาก่อน
ทำให้ชอบที่จะมาวัดค่ะ
อย่างนี้ถือ ว่า ศรัทธา ในครูบาอาจารย์ หรือเป่าค่ะ
อย่างนี้ไม่ถือว่าใช้ศรัทธานำหน้าครับ เพราะคุณชอบเรื่องทำทาน รักษาศ๊ล นั่งสมาธิอยู่แล้ว น่าจะได้ลองเข้าวัดอื่น ๆ
มาหลายวัดแล้วจึงมาที่วัดธรรมกาย พบหลวงพ่อท่านเทศน์ฟังจึงลองนำไปปฏิบัติแล้วเชื่อว่าเป็นที่สุดท้ายที่ดีที่สุด
#16
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 02:41 PM
ลืมบอกจุดประสงค์ของกระทู้นี้เพื่ออะไร
จุดประสงค์หลักก็คือ
[b]อยากเห็นแง่มุมที่ท่านเข้าวัดกันครับ ตอบตามความเป็นจริงครับ
และท่านพิจารณาโดยให้หลักกาลามสูตรหรือปัญญา อย่างไร ?
เพื่อจะได้ทราบความคิดที่แหลมคมและน่าสนใจของเพื่อน ๆ นะครับ เลือกวัดหรือครูบาอาจารย์ อย่างไร[/b]
#17
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 08:57 PM
เข้าวัดเพราะมีพี่น้องและผองเพื่อนที่มีเป้าหมายอย่างเดียวกัน มีอุดมการณ์อย่างแรงกล้า ที่มุ่งปลดปล่อยจากพันธนาการ และเข้าสู่สันติสุขที่แท้จริง พร้อมกันทุกคน
เหตุผลของผมอาจไม่เกี่ยวกับกาลามสูตร ไม่เกี่ยวกับปาฏิหารย์ แต่ใช้ผลงานและเป้าหมายของหมู่คณะเป็นหลัก
(เป้าหมายเป็นหลักอุปสรรคไม่มี)
ที่นี่เอง ดินแดนแห่งพุทธจักร พิทักษ์ธรรม
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#18
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 11:34 PM
2 ความสะดวก ห้องน้ำ ที่จอดรถ อาหาร น้ำดื่ม เพียงพอ
3 บุญ ตักบาตร สมาทานศีล นั่งสมาธิ ปล่อยปลา ยารักษารค
สร้างพระ วิหารทาน ธรรมทาน ช่วยวัดภาคใต้ ช่วยภัยพิบัติต่างต่าง
4 ความเป็นสถาบัน บางวัดพอเจ้าอาวาสมรณภาพวัดแทบร้างแต่ที่นี่มีระ
ดับรองที่เก่งมากมายและไม่ขึ้นกับตัวบุคคลมากเกินไป
5 ความรู้ เรื่องแบบรร.อนุบาลไม่มีที่อื่นที่มาบอกแบบนี้
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#19
โพสต์เมื่อ 18 October 2006 - 07:24 AM
ชีวิตหลงทางและตกต่ำ จึงต้องให้กำลังใจตัวเองอย่างหนัก
จริงๆ เป็นเรื่องยากมาก ที่จะชักชวนผู้มีบุญใหม่ ไปร่วม
งานบุญต่างๆที่ ทางวัดจัด แต่เป็นเรื่องที่ยากที่สุดคือ
บุคคลที่เป็นลูกหลานหลวงปู่ ลูกหลานยาย นั้นเปลี่ยน
ไป ถามก็ไม่บอก พอหนักเข้าไม่ยอมพูดด้วยเสียอีก
เราต้องการกำลังใจอย่างหนักที่จะทำหน้าที่ กัลยานมิตร
ต่อไป แต่ที่แน่ๆ ปัจจัยไม่เกิดก็สร้างบารมีได้ยากมากๆ
#20
โพสต์เมื่อ 11 March 2007 - 09:26 PM
#21
โพสต์เมื่อ 21 March 2007 - 02:37 PM
ใครก็ตามที่เลือกปฏิบัติตนถูกต้องตามวิสัยชีวิตที่พึงมี พึงกระทำ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้นก็หมายความได้ว่าสิ่งนั้นดีที่สุดสำหรับคนคนนั้นแล้ว อย่ามัวแต่คิดสงสัยสิคะ ว่าเป็นสาเหตุอะไร แต่ละคนบุญกรรมไม่เท่ากัน ความคิดก็ต่างกัน พื้นฐานชีวิตต่างกัน ถ้าถามเหตุผลคงร่ายกันไม่รู้จบ
เอาแค่ว่าตอนนี้คุณมีความสุข ความพอใจหรือเปล่าคะ
อนุโมทนาบุญนะคะ
#22
โพสต์เมื่อ 28 May 2007 - 05:03 PM
ที่พูดอย่างนี้เพราะมีหลายคนที่มีโอกาสมาที่นี่ แล้วเขาก็เห็นอะไรดีๆจากที่นี่ แต่เขาก็ไม่รู้สึกเหมือนเรา
เราจึงเชื่อมั่นในสายบุญกับหมู่คณะ
#23
โพสต์เมื่อ 01 September 2007 - 10:58 AM
เสพคุ้นเคยสิ่งใดในชีวิน ย่อมถวิลสิ่งนั้นอย่างมั่นใจ
ที่เปลี่ยนไปเหตุผลทุกคนเกิด ที่เลอเลิศหรือต้อยต่ำใครทำให้
หากได้พบกรรมกำหนดสลดใจ ย่อมไม่มีสิ่งใดมากั้นขวาง
ที่จะคิดสารพัดหัดฝึกฝน ดีชั่วล้นมีภายในให้ทุกอย่าง
ต่างช่วงชิงชิงช่วงดวงตรงกลาง เราจึงมีปลายทางที่ต่างกัน
จะมาด้วยสิ่งใดทำไมหรือ ภายในคือผู้ำกำหนดทั้งหมดสิ้น
เสพคุ้นเคยสิ่งใดในชีวิน ย่อมถวิลสิ่งนั้นอย่างมั่นใจ
ที่เปลี่ยนไปเหตุผลทุกคนเกิด ที่เลอเลิศหรือต้อยต่ำใครทำให้
หากได้พบกรรมกำหนดสลดใจ ย่อมไม่มีสิ่งใดมากั้นขวาง
ที่จะคิดสารพัดหัดฝึกฝน ดีชั่วล้นมีภายในให้ทุกอย่าง
ต่างช่วงชิงชิงช่วงดวงตรงกลาง เราจึงมีปลายทางที่ต่างกัน
#24
โพสต์เมื่อ 06 November 2007 - 03:29 PM
เพราะชมรมพุทธฯ มศว.ประสานมิตร ชวนมาช่วยงานบวชที่วัดเบญจมบพิตร 5 วันรวด เมื่อ ยี่สิบสองปีก่อนโน้น
นอนที่วัดเบญฯตื่นเช้ามาพบกับผู้ที่เรียกว่า ธรรมทายาท ได้ดูแลท่านก่อนและหลังบวช ประทับใจครับภาพและที่รับรู้ กับคนประมาณ 400 คนที่เดินเข้าวัดตอนตีสี่ครึ่ง แต่เงียบมากๆ ทำได้อย่างไร จนเสร็จสิ้นงานบวชเลยตั้งใจว่า
นี่แหละการบวช ที่รอคอยมานาน ความเหมือนที่แตกต่าง (ตอนนี้น ไม่เข้าใจว่า ทำไม นาคธรรมทายาท จะต้องเสียฟอร์ม หลั่งน้ำตาผู้ชาย สุดท้ายก็รู้ด้วยตัวเองแล้วครับ )
ตอนตามมาใส่บาตรพระที่เรามีส่วนร่วมในงานบวช วัดพระธรรมกายก็แสนไกล แตพอ่มาถึงครั้งแรกก็ประทับใจ ในตัวพระสงฆ์ในวัดที่น่ากราบ น่าไหว้ ได้อย่างสนิทใจ ด้วยคำเทศนาที่ตรงใจ ( ถึงแม้จะนั่งสมาธิแล้วยัง แว่บไปแว่บมา)
ชอบในสถานที่ การต้อนรับ ห้องน้ำ โดยเฉพาะอัธยาศัยของคุณยาย (พบท่านครั้งแรกที่โรงครัวภายในวัด) พร้อมคำถามที่ถามตัวเองว่า
วัดนี้ก็อยู่ไกล ทำไมต้องมีเต้นท์ต้องมีเต้นท์ใหญ่ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไว้รองรับคน แล้วคนก็มาไม่น้อย น่าฉงนใจมากๆๆๆๆๆๆ ว่า วัดทีอยู่ไกลความเจริญ ทำไม คนถึงมากันมากนัก (ไม่เห็นเหมือนวันแถวบ้านผมเลย )
ราวๆปี 41 -43 ก็หลุดจากวงจรทำความดีไประยะหนึ่งตามกระแสข่าว ที่กระหน่ำ และด้วยความเขลาของตัวเอง แต่สุดท้าย น้องที่เขายังคงมาวัดอย่างเหนียวแน่น เพราะเชื่อมั่นในบุญ ก็ชวนให้กลับมาร่วมสร้างความดีกันต่อ จนมีถึงทุกวันนี้
สุดท้าย ก็ได้คำตอบว่า ที่มาวัด เพราะมีกัลยาณมิตร ชวนทำความดีอย่างต่อเนื่อง
มาแล้วตัวเองก็ยังประโยชน์ให้เกิดแก่วัด สร้างความรู้สึกว่า เราเป็นเจ้าของวัดด้วย มีประโยชน์กับวัดด้วย
ทั้งยังเป็นเวทีในการฝึกการทำงานเป็นทีมให้แก่ ผู้ที่กำลังจะจบการศึกษาในทางโลกด้วย
ธรรมะทั้งหยาบและละเอียด ที่ได้รับ เข้าใจง่ายและใช้ได้เลยโดยตรงในชีวิตประจำวันที่สำคัญ
ทำให้ได้รู้ว่า เป้าหมายของชีวิต คืออะไร ยาวไกลแค่ไหนถึงจะถึงฝั่ง นาวาชีวิตนี้ จะไปตัวเปล่า
หรืออยากจะเอาเสบียงบุญอะไรติดตัวไปบ้างไหม ด้วยบุญที่คุณครูไม่ใหญ่ ปรารถนาดีมอบให้
แต่เรา จะขนติดตัวไปสักเท่าใด แล้วแต่ใจจะไขว่คว้า
กลับบ้านเรา รักรออยู่
#25
โพสต์เมื่อ 08 November 2007 - 04:05 PM
ฝันในฝันที่อื่นไม่มี เรื่องละเอียดเช่น บั้งไฟพญานาค อธิบายได้ชัดเจน เคลียร์
มีบุญให้ทำทุกชนิดที่อยากทำ มีการถวายสังฆทานครั้งละหลายร้อย หลายพันวัด ซึ่งที่อื่นไม่มี
มีการปฏิบัติธรรมเจ็ดวันที่ยอดเยี่ยม ทั้งพนาวั๖น์ และภูเรือ
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์