มีเรื่องที่เรารู้สึกดีใจแบบบอกอารมณ์ไม่ถูก ไม่รู้จะเล่าให้ใครฟังดี ขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้หน่อยนะคะ
ถ้าเว็บมาสเตอร์เห็นไม่สมควรก็ลบทิ้งได้นะคะ
เรื่องย่อ เราเป็นลูกคนโต มีน้องอีก 4 คน เรามีเรื่องที่ไม่ถูกกับพ่อเรามาตั้งแต่สมัยเราเรียน ม. ต้น เป็นความไม่เข้าใจกันและต่างก็มีทิฏฐิเข้าใส่กัน ปีนึงจะพูดกันนับครั้งได้ ไม่จำเป็นก็แทบจะไม่มองหน้ากัน เราต้องเป็นฝ่ายหลบหน้าตลอดเวลา ประมาณว่าถ้าเขากลับจากข้างนอกมา เราต้องรีบหลบขึ้นชั้นบนของบ้าน ไม่งั้นเขาก็จะด่า ๆ ๆ หาว่าอยู่ขวางหูขวางตา เราก็ไม่อยากมีเรื่อง บางครั้งเราก็นึกน้อยใจอยู่ว่าทำไมเขารักลูกไม่เท่ากัน ทำไมน้องได้อะไรดี ๆ มากมาย แต่เราไม่ได้ ทำไมน้องทำผิดเขาไม่เคยว่า ไม่เคยตักเตือน มีคำพูดดี ๆ จนบางครั้งเหมือนให้ท้าย หลายครั้งที่เรารู้สึกว่าเราทำดี เป็นลูกที่ดี แล้วทำไมเราถึงไม่ได้อะไรดี ๆ บ้างเลย และอื่น ๆ อีกมากมายที่เป็นปัญหาที่ทำให้เราเคยคิดแม้กระทั่งอยากฆ่าตัวตาย แต่ก็รู้สึกกลัว และไม่รู้จะตายวิธีไหนดี ก็เลยไม่ได้ทำซะที
แต่หลังจากที่เราได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมบ่อย ๆ มาวัดบ่อย ๆ ได้ฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านพร่ำสอนอยู่ทุกวัน เราก็รู้สึกถึงความรู้สึกตัวเองได้ว่า ใจเราอ่อนนุ่มลงอย่างที่เราเองก็รู้สึกได้ ถึงแม้ว่าบางครั้งก็ยังคงมีความกระด้างในอารมณ์อยู่เหมือนเดิม เราก็ใช้หลักของการแผ่เมตตาไป โดยทุกครั้งเราก็จะขอให้กรรมที่มีกับพ่อของเราถ้าหนักก็ขอให้เบา ถ้าเบาก็ขอให้หาย เวลาทำบุญใหญ่ ๆ เราก็จะใส่ชื่อของเขาบ้าง แต่เราก็ไม่ได้บอกเขา เพราะเขาเองก็ยังไม่เปิดใจเรื่องนี้เท่าไร
จากการที่เราได้ฟังธรรมนั้น อย่างนึงที่เราได้คิดคือ เรื่องของการขออโหสิกรรมกันในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แม่เราเห็นพ่อไม่ถูกกับลูกก็ไม่สบายใจ เราเองก็รู้อยู่ว่าพ่อยังไงเราก็เอาชนะเขาไม่ได้ สิ่งนึงที่เราทำได้ คือ "ยอม"
มันยากมากเลยนะ ที่เราจะต้องยอม ทั้ง ๆ ที่หลายครั้งเราก็รู้ว่าเราไม่ได้ผิด แต่พ่อก็คือพ่อ ใคร ๆ ก็พูดแบบนี้ เราอึดอัดใจมาตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา จนมาเมื่อปีที่แล้ว เราคุยกับแม่แล้วก็ตัดสินใจที่จะขออโหสิกรรมกับเขา.....รู้มั้ยว่ามันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากกกกกกมากกกกสำหรับเรา แต่เราก็คิดว่ามีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะตัดวงจรของ "วิบากกรรม" ที่เรากับเขามีร่วมกัน
เราเลือกวันที่ 5 ธันวาคม ปี่ที่แล้ว ขอขมาเขา ในตอนค่ำ ประมาณ 6 โมงเย็น เขากำลังเตรียมตัวไปงานเลี้ยง ขณะที่เขากำลังนั่งใสถุงเท้าอยู่ เราก็เอาพวงมาลัยที่เตรียมไว้ใส่พาน ชวนน้อง ๆ แล้วก็ไปคุกเข่าตรงหน้าเขา เวลานั้น ความรู้สึกหลายอย่างมันมาประเดประดังกันเข้ามา ก้อนอะไรก็ไม่รู้มาจุกอยู่ที่อก พยายามจะพูดโดยไม่ให้ร้องไห้ แต่ก็ทำไม่ได้ ทุกอย่างมันเร็วมาก พูดได้แค่ว่า "ป๊า หนูขอโทษที่ผ่านมา ขอให้ป๊าอโหสิกรรมให้หนูด้วยนะ" แค่นั้นแหละ น้ำตาทะลักเลย แล้วก็ก้มลงกราบ เขาก็บอกเพียงว่า "เออ ๆ" แล้วก็รีบออกจากบ้านไป
สำหรับเราแล้ว ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ มันเหมือนยกของหนักที่สุดในเวลานั้นออกไปจากใจเลยทีเดียว
แต่หลังจากนั้นก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นแฮปปี้นะ ความตึง ๆ ก็ยังมีอยู่บ้างแต่น้อยลง เข้ามาในบ้านเจอหน้ากันได้บ้าง เรียกกินข้าวก็ยัง เออ ๆ ได้บ้าง แต่เราก็ยังไม่รู้สึกอะไร แค่รู้สึกว่าได้อโหสิกรรมแล้ว อย่ามีเวรกันอีกเลย ขอให้เรามีความสุขกับการได้มีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว และบุญหล่อทองหลวงปู่เราก็ทำเป็นชื่อของพ่อเรา 1 บาทด้วย
เล่าย่อ ๆ มาถึงเมื่อวานนี้ เป็นวันที่เรา......ดีใจ
ดูเหมือนไม่มีอะไรมากเลย แค่ช่วงที่ผ่านมาเราห่างเหินกับเขามาก แต่เมื่อวานนี้เราได้มีช่วงเวลาสั้น ๆ ได้นั่งกินข้าวกับเขาที่โต๊ะอาหารที่บ้าน (ก่อนหน้านี้ไม่เคยเลย ถ้าเรานั่งอยู่เขาจะไม่นั่ง) และได้คุยกันเรื่องที่เราจะเอารถไปซ่อมและเขาก็แนะนำอู่ให้เรา พูดกันดี ๆ ด้วย ไม่ได้เถียงหรือทะเลาะอะไรเลย เป็นเวลาประมาณ 5-10 นาที มันไม่เยอะเลยนะ แต่มันเป็นเวลาที่นานที่สุดที่เรามีโอกาสได้คุยกับเขาเลย ในช่วงเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่เคยที่จะได้คุยกันเกิน 3 คำในแต่ละครั้ง เดือนนึงบางทีได้คุยกันแค่ครั้งเดียว และไม่เคยที่จะได้นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกัน ช่วงแค่ 5 นาทีที่ได้กินข้าวกัน 2 คนรอบค่ำนั้นเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์ เป็นช่วงเวลาที่พิเศษสำหรับเราเลยทีเดียว เราหวังว่าเราจะได้บรรยากาศอย่างนี้ตลอดไป
เราดีใจนะ.....เราดีใจ.....พิมพ์ไปน้ำตาก็ไหลไป :'( ....ก็แค่อยากให้มีใครรับรู้....ไม่กล้าบอกใครอ่ะ....เขิลลลลล
usr26536
เป็นสมาชิกตั้งแต่ 24 Oct 2008ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Mar 16 2009 10:21 AM