เพื่อขอให้สมาชิกช่วยแลกเปลี่ยนความเห็นกัน
+ทำยังไงจึงจะรวย???
#1
โพสต์เมื่อ 24 September 2006 - 01:07 PM
เพื่อขอให้สมาชิกช่วยแลกเปลี่ยนความเห็นกัน
#2
โพสต์เมื่อ 24 September 2006 - 01:43 PM
น่าจะรวยนะครับ รวยทางโลกแล้ว จะได้รวยทางธรรม ช่วยเหลือพุทธศาสนาได้มากขึ้น
ผมกำลังทำอยู่ครับ
#3
โพสต์เมื่อ 24 September 2006 - 03:55 PM
สูตรสำเร็จหัวใจเศรษฐี
การที่จะทํ าให้เราเป็นเศรษฐีได้ ต้องทํ าให้ครบสูตรที่เราภาวนากันว่า " อุ อา กะ สะ " เน้นว่าต้องทำไม่ใช่เอาแต่ภาวนา หากเอาแต่ภาวนาแต่ไม่ปฏิบัติตาม ภาวนาให้ตายก็ไม่รวยขึ้นมาครับ
อุ = อุฏฐานสัมปทา ขยันหาทรัพย์
อา = อารักขสัมปทา รู้จักเก็บรู้จักอดออม รักษาสิ่งที่หามาได้
กะ = กัลยาณมิตตตา มีเพื่อนที่ดี มีเพื่อนกัลยาณมิตร ไม่คบเพื่อนพาล ขืนคบเพื่อนพาลทรัพย์มีแต่จะโดนผลาญหายหมด เช่นคบเพื่อนขี้เหล้า เรามีเงินมาก็โดนเพื่อนขี้เหล้าผลาญเอาไปยัดลงขวดเหล้าหมดครับ
สะ = สมชีวิตตา ใช้ทรัพย์เป็น หากใช้ไม่เป็นใช้สุรุ่ยสุร่าย ตะบี้ตะบันใช้ ใช้สนองความอยากความต้องการของตนไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ หาทรัพย์ได้มากแค่ไหนก็หายหมด
เพิ่มเติมอีกนิด สูตรปรุงแต่งของเศรษฐี มีอยู่ว่า
ของหายให้รีบหา ของเสียให้รีบซ่อม (หากหายแล้วไม่หาก็ต้องซื้อใหม่ ของเสียไม่ยอมซ่อมก็มีแต่ต้องซื้อใหม่ แล้วเงินจะไปไหนก็สูญเพราะต้องซื้อของใหม่จริงไหมครับ)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#4
โพสต์เมื่อ 24 September 2006 - 06:19 PM
---------------------------
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#5
โพสต์เมื่อ 24 September 2006 - 07:37 PM
"ตระหนี่คือไล่ ให้คือเรียก"
#6
โพสต์เมื่อ 24 September 2006 - 09:29 PM
เงินหามาได้ ใช้ 3 ส่วน ออม 1 ส่วน
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง
สุนทรพ่อ
มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ
#8
โพสต์เมื่อ 24 September 2006 - 11:36 PM
เวลาทำอะไรพลาด อย่าคิดนำไปก่อน เพราะมารจะเข้าแทรกผัง ให้เราคิดได้เป็นเรื่องเป็นราวทันที ยิ่งคิด ยิ่งมีผลเสียแก่ตัวเราเอง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วใจจะตก มารจะแทรกผังสำเร็จใส่ทันที ทำให้เรื่องที่ยังไม่มีอะไร กลับกลายเป็นเรื่องร้ายทันที ยิ่งคิดจะยิ่งเสีย ฉะนั้น เมื่อเกิดเรื่อง ให้เราทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายอย่างเดียว (ขุมทรัพย์จากคุณยาย)
#9
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 12:50 AM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#10
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 01:59 AM
#11
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 03:04 AM
อา = อารักขสัมปทา รู้จักเก็บรู้จักอดออม รักษาสิ่งที่หามาได้
กะ = กัลยาณมิตตตา มีเพื่อนที่ดี มีเพื่อนกัลยาณมิตร ไม่คบเพื่อนพาล ขืนคบเพื่อนพาลทรัพย์มีแต่จะโดนผลาญหายหมด เช่นคบเพื่อนขี้เหล้า เรามีเงินมาก็โดนเพื่อนขี้เหล้าผลาญเอาไปยัดลงขวดเหล้าหมดครับ
สะ = สมชีวิตตา ใช้ทรัพย์เป็น หากใช้ไม่เป็นใช้สุรุ่ยสุร่าย ตะบี้ตะบันใช้ ใช้สนองความอยากความต้องการของตนไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ หาทรัพย์ได้มากแค่ไหนก็หายหมด
ใคร่ขอเรียนถามว่า หลักที่เรียกว่า "คาถาหัวใจเศรษฐี (อุ อา กะ สะ)" นั้น มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่าอย่างไรครับ? (๓ คะแนน)
ของหายให้รีบหา ของเสียให้รีบซ่อม (หากหายแล้วไม่หาก็ต้องซื้อใหม่ ของเสียไม่ยอมซ่อมก็มีแต่ต้องซื้อใหม่ แล้วเงินจะไปไหนก็สูญเพราะต้องซื้อของใหม่จริงไหมครับ)
รู้สึกว่าจะยังปรุงได้ไม่ครบเครื่องนะครับ อยากทราบว่าเครื่องปรุงที่ขาดหายไปนอกจาก "ของหายให้รีบหา ของเสียให้รีบซ่อม" คืออะไรครับ? (๒ คะแนน)
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#12
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 09:02 AM
เรียกว่า "ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์" 4 อย่าง
อ้างอิง หนังสือธรรมวิภาคและคิหิปฏิบัติ ฉบับมาตรฐาน ของนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นตรี
หน้า 165 สำนักพิมพ์ เลี่ยงเชียง
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#13
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 09:49 AM
ต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ตอบช้า
ที่จริงสูตรปรุงแต่งมีทั้งหมด4ข้อครับ แต่2ข้อที่เหลือคล้ายกับคาถาหัวใจเศรษฐีในข้อ กะ และ สะ ผมเลยยกมาแค่ที่ต้องเพิ่มเติมเท่านั้น
ที่จริงแล้วมีดังนี้ครับ
1. ของหายให้หา
2. ของเสียให้ซ่อม
3. รู้จักประมาณในการใช้สมบัติ ซึ่งตรงกับข้อ สะ=สมชีวิตา หรือรู้จักใช้จ่ายทรัพย์นั้นเองครับ
4. ตั้งคนมีศีลเป็นผู้นำ ซึ่งก็อยู่ในข่ายของข้อ กะ=กัลยาณมิตตตา คือคบกัลยาณมิตรหรือสร้างเครือข่ายคนดีนั่นเองครับ
เพิ่มเติมให้นะครับนอกจากนี้แล้วคนจะรวยได้ต้องไม่ขาดธรรมะที่จะทำให้พบความสำเร็จด้วย นั่นก็คืออิทธิบาท4 คือ
1. ฉันทะ = เต็มใจทำหรือมีใจรักหรือพึงพอใจที่จะทำ
2. วิริยะ = แข็งใจทำหรือการทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานนั้นอย่างเต็มที่
3. จิตตะ = ตั้งใจทำหรือการเอาใจใส่ในงานที่กำลังทำไม่ให้เกิดความผิดพลาดและต้องละเอียดแม่นยำ
4. วิมังสา = เข้าใจทำหรือการพิจารณา ไตร่ตรอง ในงานนั้นจนเข้าใจ
เมื่อมีอิทธิบาท4ก็จะทำงานงานเราสำเร็จเป็นที่พึ่งพอใจแก่หัวหน้า จะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งก็คราวนี้แหละครับ แต่ถ้าเราไม่มี4ข้อนี้ งานเราเสร็จไม่ทันกำหนด เจ้านายไม่พอใจก็โดนลงโทษ ดีไม่ดีอาจถึงกับโดนไล่ออก ไม่ดีๆไม่เอานะครับ หุหุ
ขอบพระคุณคุณI cAn AlwayS MakE U SmilE ที่ช่วยตอบให้ อนุโมทนาสาธุด้วยนะครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#14
โพสต์เมื่อ 25 September 2006 - 05:26 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#15
โพสต์เมื่อ 26 September 2006 - 09:11 AM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#16
โพสต์เมื่อ 27 September 2006 - 12:12 AM
ก็ขอขอบพระคุณทุกท่าน ความคิดเห็นทุกโพสต์ นะขอรับ
#17
โพสต์เมื่อ 06 May 2009 - 02:22 PM
เพิ่มเติมครับ คาถาเศรษฐี=ทำให้เจริญ
ส่วนของหายให้หา ขอเสียให้ซ่อม ใช้ของรู้จักประมาณ ไม่ตั้งคนพาลเป็นหัวหน้า=ไม่ทำให้เสื่อม แต่ไม่เจริญขึ้นครับเป็นการประคับประคองกันไป
ธรรมะของพระพุทธเจ้า ท่านจะมาเป็นสูตร หรือ แพ็คเกจ สังเกตดูครับ ถ้าจะทำต้องทำทุกข้อ ทำเว้นๆข้ามๆไม่ได้ผล และในแต่ละสูตรก็จะลงตัว พอดีไม่ขาด ไม่เกิน ที่สำคัญลองสังเกตข้อสุดท้ายมักจะลงด้วยปัญญา และมีลำดับจากง่ายไปหายาก และข้อสุดท้ายมักจะทำยากสุด แต่ที่สำคัญต้องทำทุกข้อครับ ทำแล้วทบทวน กลับไปกลับมาถึงจะเข้าใจครับ ใช้สูตรไหนก็ได้ที่ชอบ กับจริต และอายะตนะ ของตนครับ รับรองได้ผล ธรรมะของพระองค์ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองครับ ถ้าเอาไปใช้จริงๆจะรู้ ในหัวข้อง่ายๆ ยังแตกแยกย่อยออกไปได้อีกในทางปฎิบัติ และยังมีเทคนิคที่สนับสนุนในหัวข้อ แต่ละข้อด้วยครับ แต่ถ้าต้องการจะรวยส่วนมากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมักจะสอนให้รู้จักให้ ทาน ตัดความตระหนี่ให้ได้ก่อนเป็นหลักครับ แต่ถ้าต้องการรวยเป็นเศรษฐี ในปัจจุบัน ตามกำลังบุญ ก็ใช้คาถาเศรษฐี ถูกต้องแล้วครับ ถ้าต้องการรวยระดับมีสมบัติจักรพรรดิ์ จะต้องตัดความตระหนี่แบบ ใจไม่พร่องจากการให้เลยนะครับ ตัดใจระดับสุดยอด ไม่มีเหลือ และที่สำคัญต้องถูกหลักวิชา ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านสอนบ่อยๆครับ ว่า 1.วัตถุทานบริสุทธิ์ 2.ผู้ให้บริสุทธิ์ 3.ผู้รับบริสุทธิ์
สังเกตดูข้อสุดท้ายครับ จะหาผู้รับบริสุทธิ์ เนื้อนาบุญล้วนยากนะครับ ถ้าเจอแล้วมีโอกาส ต้องทำเต็มเหนี่ยว อย่าปล่อยโอกาสให้ผ่านไปเฉยๆครับ อย่างนี้รวยแน่นอนไม่ต้องรอชาติหน้าครับ อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ให้ ธรรมทาน เป็นเรื่องดีๆที่หาฟังทั่วๆไปได้ยากนะครับ สาธุ